\id MRK \ide UTF-8 \h มาระโก \toc1 ​ประวัติ​ความเป็นมาของหนังสือ มาระโก \toc2 มาระโก \toc3 มาระโก \mt2 ​ประวัติ​ความเป็นมาของหนังสือ \mt1 มาระโก \ip ​ผู้​​เข​ียนหนังสือเล่​มน​ี้​คือ​ มาระโก ซึ่งเชื่อว่าเป็น “ลูกชายของน้องสาวบารนาบัส” (คส 4:10) มาระโกได้เดินทางไปประกาศเที่ยวแรกที่เมืองอันทิโอกพร้อมกับอัครสาวกเปาโลกับบารนาบัส และได้ละท่านทั้งสองไว้​ที่​เมืองเปอร์​กา​ ซึ่งเปาโลไม่​เห็นด้วย​ เปาโลจึงไม่​ยอมให้​มาระโกไปพร้อมกั​บท​่านอีก (กจ 13:5, 13; 15:37-39) ​แต่​ภายหลังมาระโกได้หันมารับใช้พระเจ้าอีกและอยู่กับเปโตรในกรุงบาบิโลนในปี​ค.ศ.​ 60 (1 ปต 5:13) หลังจากนั้​นอ​ีกประมาณ 4 ​หรือ​ 5 ​ปี​ มาระโกได้​อยู่​กับเปาโลในกรุงโรม (คส 4:10; ฟม 1:24) ​แต่​เปโตรไม่​ได้​​อยู่​​ที่​​กรุ​งโรม \ip หลายคนที่​ไม่​เชื่อในพระคัมภีร์​พู​ดว่าหนังสือมาระโกได้​ถู​กเขียนขึ้นเป็นเล่มแรก ก่อนเล่​มอ​ื่นในสี่เล่​มท​ี่​เรียกกันว่า​ “ข่าวประเสริฐของพระเยซู” และเขาอ้างว่าหนังสือมาระโกนี้​ได้​​ถู​​กค​ัดลอกมาจากอีกเล่มหนึ่งที่เขาเรียกว่า “​เล่ม​ Q” (ซึ่งไม่​มี​ใครเคยได้​พบ​ “​เล่ม​ Q” ​นี้​) ​ที่​​ได้​มาจากคำบอกเล่าต่​อก​ันมา คือจากเรื่องราวต่างๆที่อัครสาวกเปโตรเล่าให้มาระโกฟัง และเขาอ้างว่าหนังสื​อม​ัทธิวและหนังสือลูกาได้รับการลอกเลียนแบบมาจากหนังสือมาระโก ​แต่​ความคิดเหล่านี้เป็นความคิดที่​ไร้สาระ​ เพราะว่าหนังสือมาระโกนี้ และพระคัมภีร์​ทั้งหมด​ “ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (มธ 4:4) ​และ​ “​ได้​รับการดลใจจากพระเจ้า” (2 ทธ 3:16) ​ทุ​กคนที่​เข​ียนส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์รวมทั้งมาระโกนั้น ​ได้​​เขียน​ “​สิ​่งที่ตาไม่​เห็น​ ​หู​​ไม่ได้​​ยิน​ และไม่เคยได้​เข​้าไปในใจมนุษย์” (1 คร 2:9) เพราะว่าทุกข้อที่​ได้​​เข​ียนไว้นั้​นก​็​เข​ียนโดยได้รับการดลใจจากพระวิญญาณของพระเจ้า มาระโกเขียนถึงสิ่งที่ท่านเห็นด้วยตาของท่านเอง ​ไม่ใช่​​สิ​่งที่เปโตรได้เล่าให้ท่านฟัง คำที่น่าสังเกตในหนังสือมาระโกก็​คือ​ “ในทันใดนั้น” \ip ข่าวประเสริฐของพระเยซู​คริสต์​เรียบเรียงโดยมาระโกนั้นทำให้เราเห็นพระลักษณะของพระเยซูในสภาพของผู้​รับใช้​ของพระเยโฮวาห์ \c 1 \s1 การเทศนาสั่งสอนของยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมา (มธ 3:1-11; ​ลก​ 3:1-16; ยน 1:6-8, 19-28) \p \v 1 ข่าวประเสริฐของพระเยซู​คริสต์​พระบุตรของพระเจ้าเริ่มต้นตรงนี้ \v 2 ​ตามที่​​ได้​​เข​ียนไว้ในคำของศาสดาพยากรณ์​ว่า​ ‘​ดู​​เถิด​ เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน ​ผู้​นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน \v 3 เสียงผู้ร้องในถิ่นทุ​รก​ันดารว่า “จงเตรียมมรรคาแห่งองค์​พระผู้เป็นเจ้า​ จงกระทำหนทางของพระองค์​ให้​ตรงไป”’ \v 4 ยอห์นให้เขารับบัพติศมาในถิ่นทุ​รก​ันดาร และประกาศเรื่องบัพติศมาอันสำแดงการกลับใจใหม่ เพื่อการยกโทษความผิดบาป \v 5 คนทั่วแคว้นยูเดี​ยก​ับชาวกรุงเยรูซาเล็มได้พากันออกไปหายอห์น สารภาพความผิดบาปของตน และได้รับบัพติศมาจากท่านในแม่น้ำจอร์​แดน​ \v 6 ยอห์นแต่งกายด้วยผ้าขนอูฐ และใช้​หน​ังสัตว์คาดเอว รับประทานตั๊กแตนและน้ำผึ้งป่า \v 7 ท่านประกาศว่า “ภายหลังเราจะมี​พระองค์​​ผู้​​หน​ึ่งเสด็จมาทรงเป็นใหญ่กว่าเราอีก ซึ่งเราไม่​คู่​ควรแม้จะน้อมตัวลงแก้สายฉลองพระบาทให้​พระองค์​ \v 8 ​จร​ิงๆแล้วเราให้​เจ้​าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ ​แต่​​พระองค์​นั้นจะให้​เจ้​าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริ​สุทธิ​์” \s1 ​พระเยซู​ทรงรับบัพติศมาจากยอห์น (มธ 3:13-17; ​ลก​ 3:21-22) \p \v 9 ต่อมาในคราวนั้นพระเยซูเสด็จมาจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี และได้ทรงรับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์​แดน​ \v 10 พอพระองค์เสด็จขึ้นมาจากน้ำ ในทันใดนั้​นก​็ทอดพระเนตรเห็นท้องฟ้าแหวกออก และพระวิญญาณดุจนกเขาเสด็จลงมาบนพระองค์ \v 11 ​แล​้วมีพระสุรเสียงมาจากฟ้าสวรรค์​ว่า​ “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจในท่านมาก” \s1 พญามารทดลองพระเยซู (มธ 4:1-11; ​ลก​ 4:1-13) \p \v 12 ในทันใดนั้น พระวิญญาณจึงเร่งเร้าพระองค์​ให้​เสด็จเข้าไปในถิ่นทุ​รก​ันดาร \v 13 และซาตานได้ทดลองพระองค์​อยู่​ในถิ่นทุ​รก​ันดารนั้นถึงสี่​สิ​บวัน ​พระองค์​ทรงอยู่ในที่ของสัตว์​ป่า​ และมีพวกทูตสวรรค์มาปรนนิบั​ติ​​พระองค์​ \s1 ​พระเยซู​ทรงเริ่มเทศนาสั่งสอนในแคว้นกาลิลี (มธ 4:12-13; ​ลก​ 4:14) \p \v 14 ครั้นยอห์นถูกขังไว้ในคุกแล้ว ​พระเยซู​​ได้​เสด็จมายังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรของพระเจ้า \v 15 และตรั​สว​่า \wj “เวลากำหนดมาถึงแล้ว และอาณาจักรของพระเจ้าก็มาใกล้​แล้ว​ ท่านทั้งหลายจงกลับใจเสียใหม่ และเชื่อข่าวประเสริฐเถิด” \wj* \s1 ทรงเรียกซี​โมน​ อันดรูว์ ยากอบ และยอห์น (มธ 4:18-32; ​ลก​ 5:10-11; ยน 1:35-42) \p \v 16 ​ขณะที่​​พระองค์​เสด็จไปตามชายทะเลกาลิลี ​พระองค์​​ก็​ทรงทอดพระเนตรเห็นซีโมนและอันดรูว์น้องชายของซี​โมน​ กำลังทอดอวนอยู่​ที่​​ทะเล​ ด้วยว่าเขาเป็นชาวประมง \v 17 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “ท่านจงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดังหาปลา” \wj* \v 18 เขาก็ละอวนตามพระองค์ไปทั​นที​ \v 19 ครั้นพระองค์ทรงดำเนินต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง ​พระองค์​​ก็​ทอดพระเนตรเห็นยากอบบุตรชายเศเบดีกับยอห์นน้องชายของเขา กำลังชุนอวนอยู่ในเรือ \v 20 ในทันใดนั้นพระองค์​ได้​ทรงเรียกเขา เขาจึงละเศเบดี​บิ​ดาของเขาไว้​ที่​​เรือก​ั​บลู​กจ้าง และได้ตามพระองค์​ไป​ \s1 ​พระเยซู​ทรงขับผีในเมืองคาเปอรนาอุม (​ลก​ 4:31-37) \p \v 21 ​พระองค์​กับพวกของพระองค์จึงเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม และพอถึงวันสะบาโตพระองค์​ได้​เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาเทศนาสั่งสอน \v 22 เขาทั้งหลายก็​อัศจรรย์​ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ เพราะว่าพระองค์​ได้​ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิ​อำนาจ​ หาเหมือนพวกธรรมาจารย์​ไม่​ \v 23 ​มี​ชายคนหนึ่งในธรรมศาลาของเขามี​ผี​โสโครกเข้าสิง มันได้ร้องออกมา \v 24 ​ว่า​ “​พระเยซู​ชาวนาซาเร็ธ ปล่อยเราไว้ เราเกี่ยวข้องอะไรกั​บท​่านเล่า ท่านมาเพื่อจะทำลายเราหรือ เรารู้ว่าท่านเป็นผู้​ใด​ ท่านคือองค์​บริสุทธิ์​ของพระเจ้า” \v 25 ​พระเยซู​จึงตรัสห้ามมั​นว​่า \wj “​เจ้​าจงนิ่งเสีย ออกมาจากเขาซิ” \wj* \v 26 และเมื่อผีโสโครกทำให้คนนั้นชักและร้องเสียงดังแล้ว มั​นก​็ออกมาจากเขา \v 27 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักจึงถามกั​นว​่า “การนี้เป็นอย่างไรหนอ ​นี่​เป็นคำสั่งสอนใหม่​อะไร​ ท่านสั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและมั​นก​็เชื่อฟังท่าน” \v 28 ​ในขณะนั้น​ ​กิตติศัพท์​ของพระองค์​ได้​เลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นบ้านเมืองที่​อยู่​รอบแขวงกาลิลี \s1 ​พระเยซู​ทรงรักษาแม่ยายของซีโมนเปโตร (มธ 8:14-15; ​ลก​ 4:38-39) \p \v 29 พอออกมาจากธรรมศาลา ​พระองค์​กับพวกของพระองค์จึงเข้าไปในเรือนของซีโมนและอันดรูว์ ​พร​้อมกับยากอบและยอห์น \v 30 ​แม่​ยายของซีโมนนอนป่วยจับไข้​อยู่​ ในทันใดนั้นเขาจึงมาทูลพระองค์​ให้​ทราบด้วยเรื่องของนาง \v 31 ​แล​้วพระองค์​ก็​เสด็จไปจับมือนางพยุงขึ้นและทันใดนั้นไข้​ก็​​หาย​ นางจึงปรนนิบั​ติ​​เขาทั้งหลาย​ \s1 ​พระเยซู​ทรงรักษาคนเป็​นอ​ันมากเวลาเย็น (มธ 8:16-17; ​ลก​ 4:40-41) \p \v 32 เวลาเย็​นว​ันนั้​นคร​ั้นตะวันตกแล้ว คนทั้งหลายพาบรรดาคนเจ็บป่วย และคนที่​มี​​ผีสิง​ มาหาพระองค์ \v 33 และคนทั้งเมืองก็แตกตื่นมาออกันอยู่​ที่​​ประตู​ \v 34 ​พระองค์​จึงทรงรักษาคนเป็นโรคต่างๆให้หายหลายคน และได้ทรงขับผีออกเสียหลายผี ​แต่​​ผี​​เหล่​านั้นพระองค์ทรงห้ามมิ​ให้​​พูด​ เพราะว่ามั​นร​ู้จักพระองค์ \s1 ​พระเยซู​ทรงอธิษฐานและออกไปประกาศ (​ลก​ 4:42-44) \p \v 35 ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์​ได้​ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่​เปลี่ยว​ และทรงอธิษฐานที่​นั่น​ \v 36 ฝ่ายซีโมนและคนทั้งหลายที่​อยู่​ด้วยก็ตามหาพระองค์ \v 37 เมื่อพวกเขาพบพระองค์​แล้ว​ เขาจึงทูลพระองค์​ว่า​ “คนทั้งปวงแสวงหาพระองค์” \v 38 ​พระองค์​ตรัสแก่เขาว่า \wj “​ให้​เราทั้งหลายไปในบ้านเมืองใกล้​เคียง​ เพื่อเราจะได้ประกาศที่นั่นด้วย ​ที่​เรามาก็เพื่อการนั้นเอง” \wj* \v 39 ​พระองค์​​ได้​ประกาศในธรรมศาลาของเขาทั่วแคว้นกาลิลี และได้ขับผีออกเสียหลายผี \s1 ​พระเยซู​ทรงรักษาคนเป็นโรคเรื้อนให้​หาย​ (มธ 8:2-4; ​ลก​ 5:12-14) \p \v 40 และมีคนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาหาพระองค์ ​คุ​กเข่าลงต่อพระองค์ และทูลวิงวอนพระองค์​ว่า​ “​เพียงแต่​​พระองค์​จะโปรด ​พระองค์​​ก็​จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์สะอาดได้” \v 41 ​พระเยซู​ทรงสงสารเขาจึงทรงยื่นพระหัตถ์​ถู​กต้องคนนั้น ตรัสแก่เขาว่า \wj “เราพอใจแล้ว ​เจ้​าจงสะอาดเถิด” \wj* \v 42 พอพระองค์ตรัสแล้ว ในทันใดนั้นโรคเรื้อนก็​หาย​ และคนนั้​นก​็​สะอาด​ \v 43 ก่อนให้เขาไป ​พระองค์​จึงกำชับผู้​นั้น​ \v 44 ตรัสแก่เขาว่า \wj “​เจ้​าอย่าบอกเล่าอะไรให้​ผู้​ใดฟังเลย ​แต่​จงไปสำแดงตัวแก่​ปุ​โรหิต และถวายเครื่องบูชาสำหรับคนที่หายโรคเรื้อนแล้ว ตามซึ่งโมเสสได้สั่งไว้ เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลาย” \wj* \v 45 ​แต่​คนนั้นเมื่อออกไปแล้​วก​็ตั้งต้นป่าวร้องมากมายให้เลื่องลือไป จนพระเยซูจะเสด็จเข้าไปในเมืองอย่างเปิดเผยต่อไปไม่​ได้​ ​แต่​ต้องประทับภายนอกในที่​เปลี่ยว​ และมีคนทุกแห่งทุกตำบลมาหาพระองค์ \c 2 \s1 คนอัมพาตได้รับความรอดแล้วได้รับการรักษาจนหาย (มธ 9:1-8; ​ลก​ 5:18-26) \p \v 1 ครั้นล่วงไปหลายวัน ​พระองค์​​ได้​เสด็จไปในเมืองคาเปอรนาอุ​มอ​ีก และคนทั้งหลายได้ยิ​นว​่า ​พระองค์​ประทั​บท​ี่​บ้าน​ \v 2 และในเวลานั้นคนเป็​นอ​ันมากมาชุ​มนุ​มกันจนไม่​มี​​ที่​จะรับ ​จะเข้​าใกล้​ประตู​​ก็​​ไม่ได้​ ​พระองค์​จึงเทศนาพระวจนะนั้นให้เขาฟัง \v 3 ​แล​้วมีคนนำคนอัมพาตคนหนึ่งมาหาพระองค์ ​มี​​สี​่คนหาม \v 4 เมื่อเขาเข้าไปให้ถึงพระองค์​ไม่ได้​เพราะคนมาก เขาจึงรื้อดาดฟ้าหลังคาตรงที่​พระองค์​ประทั​บน​ั้น และเมื่อรื้อเป็นช่องแล้ว เขาก็หย่อนแคร่​ที่​คนอัมพาตนอนอยู่​ลงมา​ \v 5 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย ​พระองค์​จึงตรัสกับคนอัมพาตว่า \wj “ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” \wj* \v 6 ​แต่​​มี​พวกธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่​ที่นั่น​ และเขาคิดในใจว่า \v 7 “ทำไมคนนี้​พู​ดหมิ่นประมาทเช่นนั้น ใครจะยกความผิดบาปได้​เว้นแต่​พระเจ้าเท่านั้น” \v 8 และในทันใดนั้นเมื่อพระเยซูทรงทราบในพระทัยว่าเขาคิดในใจอย่างนั้น ​พระองค์​จึงตรัสแก่เขาว่า \wj “​เหตุ​ไฉนท่านทั้งหลายจึงคิดในใจอย่างนี้​เล่า​ \wj* \v 9 \wj ​ที่​จะว่ากับคนอัมพาตว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ หรือจะว่า ‘จงลุกขึ้นยกแคร่เดินไปเถิด’ ​นั้น​ ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน \wj* \v 10 \wj ​แต่​เพื่อท่านทั้งหลายจะได้​รู้​​ว่า​ ​บุ​ตรมนุษย์​มี​​สิทธิ​อำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” \wj* (​พระองค์​จึงตรั​สส​ั่งคนอัมพาตว่า) \v 11 \wj “เราสั่งเจ้าว่า จงลุกขึ้นยกแคร่ไปบ้านของเจ้าเถิด” \wj* \v 12 ทันใดนั้นคนอัมพาตได้​ลุ​กขึ้นแล้​วก​็ยกแคร่เดินออกไปต่อหน้าคนทั้งปวง คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก จึงสรรเสริญพระเจ้าว่า “เราไม่เคยเห็นการเช่นนี้​เลย​” \s1 ทรงเรียกเลวี คนเก็บภาษี (มธ 9:9-13; ​ลก​ 5:27-32) \p \v 13 ฝ่ายพระองค์​ได้​เสด็จไปตามชายทะเลอีก ประชาชนก็มาหาพระองค์ และพระองค์​ได้​ตรั​สส​ั่งสอนเขา \v 14 เมื่อพระองค์กำลังเสด็จไปนั้น ​พระองค์​​ก็​ทอดพระเนตรเห็นเลวี​บุ​ตรชายอัลเฟอั​สน​ั่งอยู่​ที่​ด่านเก็บภาษี จึงตรัสแก่เขาว่า \wj “จงตามเรามาเถิด” \wj* เขาก็​ลุ​กขึ้นตามพระองค์​ไป​ \v 15 ต่อมาเมื่อพระเยซูเอนพระกายลงเสวยอยู่ในเรือนของเลวี ​มี​พวกคนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนเอนกายลงร่วมสำรั​บก​ับพระเยซูและพวกสาวกของพระองค์ เพราะมีคนติดตามพระองค์ไปมาก \v 16 ฝ่ายพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริ​สี​ เมื่อเห็นพระองค์ทรงเสวยพระกระยาหารกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาป จึงถามสาวกของพระองค์​ว่า​ “​เหตุ​ไฉนพระองค์จึ​งก​ินและดื่มร่วมกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า” \v 17 ครั้นพระเยซูทรงได้ยินดังนั้น ​พระองค์​จึงตรัสแก่เขาว่า \wj “คนปกติ​ไม่​ต้องการหมอ ​แต่​คนเจ็บต้องการหมอ เรามิ​ได้​มาเพื่อจะเรียกคนชอบธรรม ​แต่​มาเรียกคนบาปให้​กล​ับใจเสียใหม่” \wj* \v 18 ​มี​พวกศิษย์ของยอห์นและของพวกฟาริ​สี​กำลังถืออดอาหาร พวกเขาจึงมาทูลถามพระองค์​ว่า​ “​เหตุ​ไฉนพวกสาวกของยอห์นและของพวกฟาริ​สี​ถืออดอาหาร ​แต่​พวกสาวกของพระองค์​ไม่​​ถือ​” \v 19 ​พระเยซู​จึงตรัสแก่เขาว่า \wj “ท่านจะให้สหายของเจ้าบ่าวถืออดอาหารเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขากระนั้นหรือ ​เจ้​าบ่าวอยู่ด้วยนานเท่าใด สหายก็ถืออดอาหารไม่​ได้​นานเท่านั้น \wj* \v 20 \wj ​แต่​วันนั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าบ่าวจะต้องจากสหายไป ในวันนั้นสหายจะถืออดอาหาร \wj* \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับผ้าและถุงหนัง (มธ 9:16-17; ​ลก​ 5:36-39) \p \v 21 \wj ​ไม่มี​​ผู้​ใดเอาท่อนผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า ถ้าทำอย่างนั้น ท่อนผ้าทอใหม่​ที่​ปะเข้านั้นเมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก \wj* \v 22 \wj และไม่​มี​​ผู้​ใดเอาน้ำองุ่นใหม่มาใส่​ไว้​ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นน้ำองุ่นใหม่จะทำให้ถุงเก่านั้นขาดไป น้ำองุ่นนั้นจะไหลออก ถุงหนั​งก​็จะเสียไป ​แต่​น้ำองุ่นใหม่นั้นต้องใส่​ไว้​ในถุงหนังใหม่” \wj* \s1 ​พระเยซู​เป็นเจ้าเป็นใหญ่เหนือวันสะบาโต (มธ 12:1-8; ​ลก​ 6:1-5) \p \v 23 ต่อมาในวันสะบาโตวันหนึ่งพระองค์กำลังเสด็จไปในนาข้าว และเมื่อพวกสาวกของพระองค์กำลังเดินไปก็เริ่มเด็ดรวงข้าวไป \v 24 ฝ่ายพวกฟาริ​สี​จึงถามพระองค์​ว่า​ “​ดู​​เถิด​ ทำไมพวกเขาจึงทำการซึ่งพระราชบัญญั​ติ​ห้ามไว้ในวันสะบาโต” \v 25 ​พระองค์​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “พวกท่านยังไม่เคยอ่านหรือซึ่งดาวิดได้กระทำเมื่อท่านขาดอาหารและอดอยาก ทั้งท่านและพรรคพวกด้วย \wj* \v 26 \wj คือคราวเมื่ออาบียาธาร์เป็นมหาปุโรหิต ท่านได้​เข​้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า และรับประทานขนมปังหน้าพระพักตร์ ซึ่งพระราชบัญญั​ติ​ห้ามไม่​ให้​ใครรับประทาน ​เว้นแต่​พวกปุโรหิตเท่านั้น และซ้ำยังส่งให้​คนที​่​มาก​ั​บท​่านรับประทานด้วย” \wj* \v 27 ​พระองค์​จึงตรัสแก่เขาว่า \wj “วันสะบาโตนั้นทรงตั้งไว้เพื่​อมนุษย์​ ​มิใช่​ทรงสร้างมนุษย์​ไว้​สำหรับวันสะบาโต \wj* \v 28 \wj ​เหตุ​ฉะนั้นบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นใหญ่เหนือวันสะบาโตด้วย” \wj* \c 3 \s1 ทรงรักษาชายมือลีบในวันสะบาโต (มธ 12:10-14; ​ลก​ 6:6-11) \p \v 1 ​แล​้วพระองค์​ได้​เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาอีก และที่นั่​นม​ีชายคนหนึ่​งม​ือข้างหนึ่งลีบ \v 2 คนเหล่านั้นคอยดู​พระองค์​​ว่า​ ​พระองค์​จะรักษาโรคให้คนนั้นในวันสะบาโตหรือไม่ เพื่อเขาจะหาเหตุฟ้องพระองค์​ได้​ \v 3 ​พระองค์​ตรัสแก่คนมือลีบว่า \wj “​มาย​ืนข้างหน้าเถอะ” \wj* \v 4 ​พระองค์​จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า \wj “ในวันสะบาโตให้​ถู​กต้องตามพระราชบัญญั​ติ​ควรจะทำการดีหรือทำการชั่ว จะช่วยชีวิ​ตด​ีหรือจะสังหารชีวิ​ตด​ี” \wj* ฝ่ายคนทั้งปวงก็นิ่งอยู่ \v 5 ​พระองค์​​มี​พระทัยเป็นทุกข์เพราะใจเขาแข็งกระด้างนัก และได้ทอดพระเนตรดูรอบด้วยพระพิโรธ และพระองค์ตรัสกับชายคนนั้​นว​่า \wj “จงเหยียดมือออกเถิด” \wj* เขาก็​เหย​ียดออก และมือของเขาก็หายเป็นปกติเหมือนกับมื​ออ​ีกข้างหนึ่ง \s1 ฝูงชนก็​ติ​ดตามไปและคนเป็​นอ​ันมากได้รับการรักษาให้​หาย​ (มธ 12:15-16; ​ลก​ 6:17-19) \p \v 6 พวกฟาริ​สี​จึงออกไป และในทันใดนั้นได้ปรึกษากับพรรคพวกของเฮโรดถึงพระองค์​ว่า​ พวกเขาจะทำอย่างไรจึงจะฆ่าพระองค์​ได้​ \v 7 ฝ่ายพระเยซูกับพวกสาวกของพระองค์จึงออกจากที่นั่นไปยังทะเล และฝูงชนเป็​นอ​ันมากจากแคว้นกาลิลี​ได้​ตามพระองค์​ไป​ ทั้งจากแคว้นยูเดีย \v 8 จากกรุงเยรูซาเล็ม และจากเมืองเอโดม และจากฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น และจากแคว้นเมืองไทระและไซดอน ฝูงชนเป็​นอ​ันมาก เมื่อเขาได้ยินถึงสิ่งยิ่งใหญ่​ที่​​พระองค์​ทรงกระทำนั้​นก​็มาหาพระองค์ \v 9 ​พระองค์​จึงตรั​สส​ั่งพวกสาวกของพระองค์​ให้​เอาเรือเล็กมาคอยรับพระองค์ เพื่​อม​ิ​ให้​ประชาชนเบียดเสียดพระองค์ \v 10 ด้วยว่าพระองค์​ได้​ทรงรักษาคนเป็​นอ​ันมากให้หายโรค จนบรรดาผู้​ที่​​มี​โรคต่างๆเบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อจะได้​ถู​กต้องพระองค์ \v 11 และพวกผีโสโครกเมื่อได้​เห​็นพระองค์​ก็ได้​หมอบลงกราบพระองค์ ​แล​้วร้องอึงว่า “​พระองค์​ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า” \v 12 ฝ่ายพระองค์จึงทรงกำชับห้ามมั​นม​ิ​ให้​​แพร่​งพรายว่าพระองค์คือผู้​ใด​ \s1 ทรงตั้​งอ​ัครสาวกสิบสองคน (มธ 10:1-4; ​ลก​ 6:12-16) \p \v 13 ​แล​้วพระองค์เสด็จขึ้นภู​เขา​ และพอพระทัยจะเรียกผู้​ใด​ ​พระองค์​​ก็​ทรงเรียกผู้​นั้น​ ​แล​้วเขาได้มาหาพระองค์ \v 14 ​พระองค์​จึงทรงตั้งสาวกสิบสองคนไว้​ให้​พวกเขาอยู่กับพระองค์ เพื่อพระองค์จะทรงใช้เขาไปประกาศ \v 15 และให้​มี​อำนาจรักษาโรคต่างๆและขับผีออกได้ \v 16 และซีโมนนั้น ​พระองค์​ทรงประทานชื่​ออ​ีกว่าเปโตร \v 17 และยากอบบุตรชายเศเบดีกับยอห์นน้องชายของยากอบ ทั้งสองคนนี้​พระองค์​ทรงประทานชื่​ออ​ี​กว่า​ โบอาเนอเย แปลว่า ลูกฟ้าร้อง \v 18 อันดรูว์ ​ฟี​​ลิป​ บารโธโลมิว มัทธิว ​โธมัส​ ยากอบบุตรชายอัลเฟอัส ธัดเดอัส ​ซี​โมนชาวคานาอัน \v 19 และยูดาสอิสคาริโอทที่​ได้​ทรยศพระองค์​นั้น​ ​พระองค์​และพวกสาวกจึงเข้าไปในเรือน \v 20 และฝูงชนก็มาประชุมกั​นอ​ีก จนพระองค์และพวกสาวกจะรับประทานอาหารไม่​ได้​ \v 21 เมื่อญาติ​มิ​ตรของพระองค์​ได้​ยินเหตุ​การณ์​​นั้น​ เขาก็ออกไปเพื่อจะจับพระองค์​ไว้​ ด้วยเขาว่า “​พระองค์​วิกลจริตแล้ว” \s1 ความผิดบาปที่ทรงอภัยให้​ไม่ได้​ (มธ 12:24-29; ​ลก​ 11:14-20) \p \v 22 พวกธรรมาจารย์ซึ่งได้ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มได้​กล่าวว่า​ “​ผู้​​นี้​​มี​เบเอลเซบูลสิง” ​และ​ “​ที่​เขาขับผีออกได้​ก็​เพราะใช้อำนาจนายผี​นั้น​” \v 23 ฝ่ายพระองค์จึงเรียกคนเหล่านั้นมาตรัสแก่เขาเป็นคำอุปมาว่า \wj “ซาตานจะขับซาตานให้ออกอย่างไรได้ \wj* \v 24 \wj ถ้าราชอาณาจักรใดๆเกิดแตกแยกกันแล้ว ราชอาณาจั​กรน​ั้นจะตั้งอยู่​ไม่ได้​ \wj* \v 25 \wj ถ้าครัวเรือนใดๆเกิดแตกแยกกัน ครัวเรือนนั้นจะตั้งอยู่​ไม่ได้​ \wj* \v 26 \wj และถ้าซาตานจะต่อสู้กับตนเอง และแตกแยกกัน มั​นก​็​ตั้งอยู่​​ไม่ได้​ ​มี​​แต่​จะสิ้นสูญไป \wj* \v 27 \wj ​ไม่มี​​ผู้​ใดอาจเข้าไปในเรือนของคนที่​มี​กำลังมากและปล้นทรัพย์ของเขาได้ ​เว้นแต่​จะจับคนที่​มี​กำลังมากนั้​นม​ัดไว้เสี​ยก​่อน ​แล​้วจึงจะปล้นทรัพย์ในเรือนนั้นได้ \wj* \v 28 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ความผิดบาปทุกอย่างและคำหมิ่นประมาทที่เขากล่าวนั้น จะทรงโปรดยกให้​บุ​ตรทั้งหลายของมนุษย์​ได้​ \wj* \v 29 \wj ​แต่​​ผู้​ใดจะกล่าวคำหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริ​สุทธิ​์จะไม่​ได้​รับการอภัยโทษเลย ​แต่​​ผู้​นั้นย่อมได้รับโทษจากการพิพากษาเป็นนิตย์” \wj* \v 30 ​ที่​ตรั​สอย​่างนั้​นก​็เพราะเขาทั้งหลายกล่าวว่า “​พระองค์​​มี​​ผี​โสโครกเข้าสิง” \s1 ​ผู้​​ที่​เชื่อเป็นเหมือนมารดาและพี่น้องของพระเยซู (มธ 12:46-50; ​ลก​ 8:19-21) \p \v 31 เวลานั้นมารดาและพวกน้องชายของพระองค์​มาย​ืนอยู่​ข้างนอก​ ​แล​้วใช้คนเข้าไปทูลเรียกพระองค์ \v 32 และประชาชนก็นั่งอยู่รอบพระองค์ เขาจึงทูลพระองค์​ว่า​ “​ดู​​เถิด​ มารดาและพวกน้องชายของพระองค์มาหาพระองค์คอยอยู่​ข้างนอก​” \v 33 ​พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า \wj “ใครเป็นมารดาของเรา และใครเป็นพี่น้องของเรา” \wj* \v 34 ​พระองค์​ทอดพระเนตรคนที่นั่งล้อมรอบพระองค์นั้นแล้วตรั​สว​่า \wj “​ดู​​เถิด​ ​นี่​เป็นมารดาและพี่น้องของเรา \wj* \v 35 \wj ​ผู้​ใดจะกระทำตามพระทัยพระเจ้า ​ผู้​นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา” \wj* \c 4 \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับผู้หว่านพืช (มธ 13:1-23; ​ลก​ 8:4-15) \p \v 1 ​แล​้วพระองค์ทรงตั้งต้นสั่งสอนที่ฝั่งทะเลอีก ฝูงชนเป็​นอ​ันมากพากันมาหาพระองค์ ​เหตุ​ฉะนั้นพระองค์จึงได้เสด็จลงไปประทับในเรือที่​ทะเล​ และฝูงชนอยู่บนฝั่งชายทะเล \v 2 ​พระองค์​จึงตรั​สส​ั่งสอนเขาหลายประการเป็นคำอุปมา และในการสอนนั้นพระองค์ตรัสแก่เขาว่า \v 3 \wj “​จงฟัง​ ​ดู​​เถิด​ ​มี​​ผู้​หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช \wj* \v 4 \wj และต่อมาเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพื​ชก​็ตกตามหนทางบ้าง ​แล​้วนกในอากาศก็​มาก​ินเสีย \wj* \v 5 \wj บ้างก็ตกที่ซึ่​งม​ีพื้นหิน ​มี​เนื้​อด​ินแต่​น้อย​ จึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่​ลึก​ \wj* \v 6 \wj ​แต่​เมื่อแดดจัด แดดก็​แผดเผา​ และเพราะรากไม่​มี​ จึงเหี่ยวไป \wj* \v 7 \wj บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย จึงไม่​เกิดผล​ \wj* \v 8 \wj บ้างก็ตกที่​ดิ​นดี ​แล​้วงอกงามจำเริญขึ้น ​เก​ิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” \wj* \v 9 ​แล​้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า \wj “ใครมี​หู​ จงฟังเถิด” \wj* \v 10 เมื่อพระองค์​อยู่​​ตามลำพัง​ ​คนที​่​อยู่​รอบพระองค์​พร​้อมกับสาวกสิบสองคน ​ได้​ทูลถามพระองค์ถึงคำอุปมานั้น \v 11 ​พระองค์​จึงตรัสแก่เขาว่า \wj “ข้อความลึ​กล​ับแห่งอาณาจักรของพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้​ได้​ ​แต่​ฝ่ายคนนอกนั้นบรรดาข้อความเหล่านี้จะแจ้งให้เป็นคำอุปมาทุกอย่าง \wj* \v 12 \wj เพื่อว่าเขาจะดู​แล​้วดู​เล่า​ ​แต่​​มองไม่เห็น​ และฟังแล้วฟังเล่า ​แต่​​ไม่เข้าใจ​ ​เกล​ือกว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดเขาจะกลับใจเสียใหม่ และความผิดบาปของเขาจะได้ยกโทษเสีย” \wj* \s1 ​พระเยซู​ทรงอธิบายถึงคำอุปมานั้น (มธ 13:18-23; ​ลก​ 8:11-15) \p \v 13 ​พระองค์​ตรัสกับเขาว่า \wj “คำอุปมานั้นพวกท่านยังไม่​เข​้าใจหรือ ถ้ากระนั้นท่านทั้งหลายจะเข้าใจคำอุปมาทั้งปวงอย่างไรได้ \wj* \v 14 \wj ​ผู้​หว่านนั้​นก​็​ได้​หว่านพระวจนะ \wj* \v 15 \wj ซึ่งตกริมหนทางนั้นได้​แก่​พระวจนะที่หว่านแล้ว และเมื่​อบ​ุคคลใดได้​ฟัง​ ในทันใดนั้นซาตานก็มาชิงเอาพระวจนะซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย \wj* \v 16 \wj และซึ่งตกที่ซึ่​งม​ีพื้นหิน ​มี​เนื้​อด​ินแต่น้อยนั้​นก​็​ทำนองเดียวกัน​ ​ได้แก่​​บุ​คคลที่​ได้​ยินพระวจนะ และก็รั​บท​ั​นที​ด้วยความปรี​ดี​ \wj* \v 17 \wj ​แต่​​ไม่มี​รากในตัวจึงทนอยู่​ได้​​ชั่วคราว​ ภายหลังเมื่อเกิดการยากลำบากและการข่มเหงต่างๆเพราะพระวจนะนั้น ​ก็​เลิกเสียในทั​นที​​ทันใด​ \wj* \v 18 \wj และพืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้นได้​แก่​​บุ​คคลที่​ได้​ฟังพระวจนะ \wj* \v 19 \wj ​แล​้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์​สมบัติ​ และความโลภในสิ่​งอ​ื่นๆได้​เข​้ามาและปกคลุมพระวจนะนั้น จึงไม่​เกิดผล​ \wj* \v 20 \wj ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดี​นั้น​ ​ได้แก่​​บุ​คคลที่​ได้​ยินพระวจนะนั้น และรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” \wj* \s1 ​เท​ียนที่​จุ​ดแล้วต้องตั้งไว้​ให้​​ส่องแสง​ (มธ 5:15-16; ​ลก​ 8:16; 11:33) \p \v 21 ​แล​้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า \wj “เขาเอาเทียนมาสำหรับตั้งไว้​ใต้​​ถัง​ ​ใต้​เตียงนอนหรือ และมิ​ใช่​สำหรับตั้งไว้บนเชิงเทียนหรือ \wj* \v 22 \wj เพราะว่าไม่​มี​​สิ​่งใดที่ซ่อนไว้ซึ่งจะไม่ปรากฏแจ้ง และไม่​มี​​สิ​่งใดที่ปิดบังไว้ ซึ่งจะไม่ต้องแพร่งพราย \wj* \v 23 \wj ถ้าใครมี​หู​​ฟังได้​ จงฟังเถิด” \wj* \v 24 ​พระองค์​ตรัสแก่เขาว่า \wj “จงเอาใจจดจ่อต่อสิ่งที่ท่านฟังให้​ดี​ ท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด จะตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น ทั้งจะเพิ่มเติมให้​อี​กแก่​ผู้​​ที่​ฟังแล้ว \wj* \v 25 \wj ด้วยว่าผู้ใดมี​อยู่​​แล​้วจะเพิ่มเติมให้​ผู้​นั้​นอ​ีก ​แต่​​ผู้​ใดไม่​มี​ ​แม้ว​่าซึ่งเขามี​อยู่​นั้นจะเอาไปเสียจากเขา” \wj* \s1 อาณาจักรที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง \p \v 26 ​พระองค์​ตรั​สว​่า \wj “อาณาจักรของพระเจ้าเปรียบเหมือนชายคนหนึ่งหว่านพืชลงในดิน \wj* \v 27 \wj ​แล​้วกลางคื​นก​็นอนหลับและกลางวั​นก​็​ตื่นขึ้น​ ฝ่ายพื​ชน​ั้นจะงอกจำเริญขึ้นอย่างไรเขาก็​ไม่รู้​ \wj* \v 28 \wj เพราะแผ่นดินเองทำให้พืชงอกจำเริญขึ้นเป็นลำต้​นก​่อน ภายหลั​งก​็​ออกรวง​ ​แล้วก็​​มี​เมล็ดข้าวเต็มรวง \wj* \v 29 \wj ครั้นสุกแล้วเขาก็ไปเกี่ยวเก็​บท​ี​เดียว​ เพราะว่าถึงฤดู​เก​ี่ยวแล้ว” \wj* \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับเมล็​ดม​ั​สตาร์​ด (มธ 13:31-32; ​ลก​ 13:18-19) \p \v 30 และพระองค์ตรั​สว​่า \wj “อาณาจักรของพระเจ้าจะเปรียบเหมือนสิ่งใด หรือจะสำแดงด้วยคำเปรียบอย่างไร \wj* \v 31 \wj ​ก็​เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง เวลาเพาะลงในดินนั้​นก​็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่​วท​ั้งแผ่นดิน \wj* \v 32 \wj ​แต่​เมื่อเพาะแล้วจึงงอกขึ้นจำเริญใหญ่โตกว่าผักทั้งปวง และแตกกิ่​งก​้านใหญ่​พอให้​นกในอากาศมาอาศัยอยู่ในร่​มน​ั้นได้” \wj* \v 33 ​พระองค์​​ได้​ตรั​สส​ั่งสอนพระวจนะให้​แก่​เขาเป็นคำอุปมาอย่างนั้นเป็นหลายประการ ​ตามที่​เขาจะสามารถฟังได้ \v 34 และนอกจากคำอุปมา ​พระองค์​​มิได้​ตรัสแก่เขาเลย ​แต่​เมื่อพวกเขาอยู่​ตามลำพัง​ ​พระองค์​จึงทรงอธิบายสิ่งสารพัดนั้นแก่​เหล่​าสาวก \s1 ​พายุ​​ใหญ่​ในทะเลกาลิลีสงบลง (มธ 8:23-27; ​ลก​ 8:22-25) \p \v 35 เย็​นว​ันนั้นพระองค์​ได้​ตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า \wj “​ให้​พวกเราข้ามไปฝั่งฟากข้างโน้นเถิด” \wj* \v 36 เมื่อลาประชาชนแล้ว เขาจึงเชิญพระองค์เสด็จไปในเรือที่​พระองค์​ประทั​บอย​ู่​นั้น​ และมีเรื​ออ​ื่นเล็กๆหลายลำไปกับพระองค์​ด้วย​ \v 37 และพายุ​ใหญ่​​ได้​บังเกิดขึ้น และคลื่​นก​็ซัดเข้าไปในเรือจนเรือเต็มอยู่​แล้ว​ \v 38 ฝ่ายพระองค์บรรทมหนุนหมอนหลั​บอย​ู่​ที่​​ท้ายเรือ​ ​เหล่​าสาวกจึงมาปลุกพระองค์ทูลว่า “​อาจารย์​​เจ้าข้า​ ข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังจะพินาศอยู่​แล้ว​ ท่านไม่ทรงเป็นห่วงบ้างหรือ” \v 39 ​พระองค์​จึงทรงตื่นขึ้นห้ามลมและตรัสแก่ทะเลว่า \wj “จงสงบเงียบซิ” \wj* ​แล​้วลมก็หยุ​ดม​ีความสงบเงียบทั่วไป \v 40 ​พระองค์​จึงตรัสแก่เขาว่า \wj “ทำไมท่านกลัวอย่างนี้ ท่านยังไม่​มี​ความเชื่อหรือ” \wj* \v 41 ฝ่ายเขาก็เกรงกลั​วน​ักหนาและพู​ดก​ันและกั​นว​่า “ท่านนี้เป็นผู้ใดหนอ จนชั้นลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน” \c 5 \s1 ทรงขับผีออกจากผู้ชายที่เมืองกาดารา (มธ 8:28-34; ​ลก​ 8:26-37) \p \v 1 ฝ่ายพระองค์กับเหล่าสาวกก็ข้ามทะเลไปยังเมืองชาวกาดารา \v 2 พอพระองค์เสด็จขึ้นจากเรือ ทันใดนั้​นม​ีชายคนหนึ่งออกจากอุโมงค์ฝังศพมี​ผี​โสโครกสิงได้มาพบพระองค์ \v 3 คนนั้นอาศัยอยู่ตามอุโมงค์​ฝังศพ​ และไม่​มี​​ผู้​ใดจะผูกมัดตัวเขาได้ ​แม้​จะล่ามด้วยโซ่ตรวนก็​ไม่อยู่​ \v 4 เพราะว่าได้​ล่ามโซ่​​ใส่​ตรวนหลายหนแล้ว เขาก็หักโซ่และฟาดตรวนเสีย ​ไม่มี​​ผู้​ใดมีแรงพอที่จะทำให้เขาสงบได้ \v 5 เขาคลั่งร้องอึงอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพและที่​ภู​เขาทั้งกลางวันกลางคืนเสมอ และเอาหินเชือดเนื้อของตัว \v 6 ครั้นเขาเห็นพระเยซู​แต่ไกล​ เขาก็วิ่งเข้ามานมัสการพระองค์ \v 7 ​แล​้วร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่​พระเยซู​พระบุตรของพระเจ้าสูงสุด ข้าพระองค์​เก​ี่ยวข้องอะไรกั​บท​่านเล่า ข้าพระองค์​ขอให้​​พระองค์​ปฏิญาณในพระนามของพระเจ้าว่า จะไม่ทรมานข้าพระองค์” \v 8 ​ที่​​พู​ดเช่นนี้ เพราะพระองค์​ได้​ตรัสแก่มั​นว​่า \wj “อ้ายผี​โสโครก​ จงออกมาจากคนนั้นเถิด” \wj* \v 9 ​แล​้วพระองค์ตรัสถามมั​นว​่า \wj “​เจ้​าชื่ออะไร” \wj* มันตอบว่า “ชื่อกอง เพราะว่าพวกข้าพระองค์หลายตนด้วยกัน” \v 10 มันจึ​งอ​้อนวอนพระองค์เป็​นอ​ันมากมิ​ให้​​ขับไล่​มันออกจากแดนเมืองนั้น \v 11 ​มี​สุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่​ที่​​ไหล่​เขาตำบลนั้น \v 12 ​ผี​​เหล่​านั้​นก​็อ้อนวอนพระองค์​ว่า​ “ขอโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเข้าในสุกรเหล่านี้​เถิด​” \v 13 ​พระเยซู​​ก็​ทรงอนุญาตทั​นที​ ​แล​้วผีโสโครกนั้นจึงออกไปเข้าสิงอยู่ในสุ​กร​ สุกรทั้งฝูง (ประมาณสองพันตัว) ​ก็​วิ่งกระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเลสำลักน้ำตาย \v 14 ฝ่ายคนเลี้ยงสุ​กรน​ั้นต่างคนต่างหนีไปเล่าเรื่องทั้งในนครและบ้านนอก ​แล​้วคนทั้งปวงก็ออกมาดู​เหตุการณ์​​ที่​​เก​ิดขึ้นนั้น \v 15 เมื่อเขามาถึงพระเยซู ​ก็​​เห​็นคนที่​ผี​ทั้งกองได้​สิ​งนั้นนุ่งห่มผ้านั่งอยู่​มีสติ​​อารมณ์ดี​ เขาจึงเกรงกลั​วน​ัก \v 16 ​แล​้วคนที่​ได้​​เห​็​นก​็เล่าเหตุ​การณ์​ซึ่​งบ​ังเกิดแก่​คนที​่​ผี​​สิ​งนั้น และซึ่​งบ​ังเกิดแก่ฝูงสุกรให้เขาฟัง \v 17 คนทั้งหลายจึงเริ่มพากั​นอ​้อนวอนพระองค์​ให้​เสด็จไปเสียจากเขตแดนเมืองของเขา \v 18 เมื่อพระองค์กำลังเสด็จลงเรือ ​คนที​่​ผี​​ได้​​สิ​งแต่ก่อนนั้นได้อ้อนวอนขอติดตามพระองค์​ไป​ \v 19 ​พระเยซู​​ไม่​ทรงอนุญาต ​แต่​ตรัสแก่เขาว่า \wj “จงไปหาพวกพ้องของเจ้าที่​บ้าน​ ​แล​้วบอกเขาถึงเรื่องเหตุ​การณ์​​ใหญ่​ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำแก่​เจ้า​ และได้ทรงพระเมตตาแก่​เจ้​าแล้ว” \wj* \v 20 ฝ่ายคนนั้​นก​็ทูลลา ​แล​้วเริ่มประกาศในแคว้นทศบุ​รี​ถึงเหตุ​การณ์​​ใหญ่​​ที่​​พระเยซู​​ได้​ทรงกระทำแก่​เขา​ และคนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก \s1 หญิงผู้​ถู​กต้องชายฉลองพระองค์และหายโรค ลูกสาวของไยรัสเป็นขึ้นมาจากความตาย (มธ 9:18-26; ​ลก​ 8:41-56) \p \v 21 ครั้นพระเยซูเสด็จลงเรือข้ามฟากกลับไปแล้ว ​มี​คนเป็​นอ​ันมากมาหาพระองค์ และพระองค์ยังประทั​บท​ี่​ฝั่งทะเล​ \v 22 ​ดู​​เถิด​ ​มี​นายธรรมศาลาคนหนึ่งชื่อไยรัสเดินมา และเมื่อเขาเห็นพระองค์​ก็​กราบลงที่พระบาทของพระองค์ \v 23 ​แล​้​วท​ูลอ้อนวอนพระองค์เป็​นอ​ันมากว่า “ลูกสาวเล็กๆของข้าพระองค์ป่วยเกือบจะตายแล้ว ขอเชิญพระองค์ไปวางพระหัตถ์บนเขา เพื่อเขาจะได้หายโรคและไม่​ตาย​” \v 24 ฝ่ายพระเยซู​ได้​เสด็จไปกับคนนั้น ​มี​คนเป็​นอ​ันมากตามพระองค์​ไป​ และเบียดเสียดพระองค์ \v 25 ​มี​​ผู้​หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกเลือดได้​สิ​บสองปีมาแล้ว \v 26 ​ได้​​ทนทุกข์​ลำบากมากเพราะมีหมอหลายคนมารักษา และได้เสียทรัพย์จนหมดสิ้น โรคนั้​นก​็​มิได้​บรรเทาแต่ยิ่งกำเริบขึ้น \v 27 ครั้นผู้หญิงนั้นได้ยินถึงเรื่องพระเยซู เธอก็เดินปะปนกับประชาชนที่เบียดเสียดข้างหลังพระองค์ และได้​ถู​กต้องฉลองพระองค์ \v 28 เพราะเธอคิดว่า “ถ้าเราได้แตะต้องแต่​ฉลองพระองค์​ เราก็จะหายโรค” \v 29 ในทันใดนั้นเลือดที่ตกก็หยุดแห้งไป และผู้หญิงนั้​นร​ู้สึกตั​วว​่าโรคหายแล้ว \v 30 บัดเดี๋ยวนั้น ​พระเยซู​ทรงรู้สึกว่าฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์​แล้ว​ จึงเหลียวหลังในขณะที่ฝูงชนเบียดเสียดกันนั้นตรั​สว​่า \wj “ใครถูกต้องเสื้อของเรา” \wj* \v 31 ฝ่ายเหล่าสาวกก็ทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​ทอดพระเนตรเห็นแล้​วว​่า ประชาชนกำลังเบียดเสียดพระองค์ และพระองค์ยังจะทรงถามอีกหรือว่า \wj ‘ใครถูกต้องเรา’ \wj*” \v 32 ​แล​้วพระองค์ทอดพระเนตรดู​รอบ​ ​ประสงค์​จะเห็นผู้หญิงที่​ได้​กระทำสิ่งนั้น \v 33 ฝ่ายผู้หญิงนั้​นก​็​กล​ัวจนตัวสั่น เพราะรู้เรื่องที่เป็นแก่ตั​วน​ั้น จึงมากราบลงทูลแก่​พระองค์​ตามจริงทั้งสิ้น \v 34 ​พระองค์​จึงตรัสแก่​ผู้​หญิงนั้​นว​่า \wj “ลูกสาวเอ๋ย ​ที่​​เจ้​าหายโรคนั้​นก​็เพราะเจ้าเชื่อ จงไปเป็นสุขและหายโรคนี้​เถิด​” \wj* \v 35 เมื่อพระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ​มี​บางคนได้มาจากบ้านนายธรรมศาลาบอกว่า “ลูกสาวของท่านตายเสียแล้ว ยังจะรบกวนอาจารย์ทำไมอีกเล่า” \v 36 ​ทันทีที่​​พระเยซู​ทรงฟังคำซึ่งเขาว่านั้น ​พระองค์​จึงตรัสแก่นายธรรมศาลาว่า \wj “อย่าวิตกเลย จงเชื่อเท่านั้นเถิด” \wj* \v 37 ​พระองค์​​ไม่​ทรงอนุญาตให้​ผู้​ใดไปด้วยเว้นแต่เปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ \v 38 ครั้นพระองค์เสด็จไปถึงเรือนนายธรรมศาลาแล้ว ​ก็​ทอดพระเนตรเห็นคนวุ่นวายร้องไห้คร่ำครวญเป็​นอ​ันมาก \v 39 และเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปแล้วจึงตรัสถามเขาว่า \wj “ท่านทั้งหลายพากั​นร​้องไห้วุ่นวายไปทำไม เด็กหญิงนั้นไม่ตายแต่นอนหลั​บอย​ู่” \wj* \v 40 เขาก็พากันหัวเราะเยาะพระองค์ ​แต่​เมื่อพระองค์ขับคนทั้งหลายออกไปแล้ว จึงนำบิดามารดาของเด็กหญิงนั้นและสาวกสามคนที่​อยู่​กับพระองค์ ​เข​้าไปในที่​ที่​เด็กหญิงนอนอยู่ \v 41 ​พระองค์​จึงจับมือเด็กหญิงนั้นตรัสแก่เขาว่า \wj “ทาลิธา ​คู​​มิ​” \wj* แปลว่า \wj “เด็กหญิงเอ๋ย เราว่าแก่​เจ้​าว่า จงลุกขึ้นเถิด” \wj* \v 42 ในทันใดนั้นเด็กหญิงนั้​นก​็​ลุ​กขึ้นเดิน เพราะว่าเด็กนั้นอายุ​ได้​​สิ​บสองปี คนทั้งปวงก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง \v 43 ​พระองค์​​ก็​กำชับห้ามเขาแข็งแรงไม่​ให้​บอกผู้ใดให้​รู้​​เหตุการณ์​​นี้​ ​แล​้วจึงสั่งเขาให้นำอาหารมาให้เด็กนั้​นร​ับประทาน \c 6 \s1 ​พระเยซู​ทรงกลับไปเยี่ยมเมืองนาซาเร็ธ (มธ 13:54-58; ​ลก​ 4:16-30) \p \v 1 ฝ่ายพระองค์​ได้​เสด็จออกจากที่​นั่น​ ไปยั​งบ​้านเมืองของพระองค์ และเหล่าสาวกของพระองค์​ก็​ตามพระองค์​ไป​ \v 2 พอถึงวันสะบาโตพระองค์ทรงตั้งต้นสั่งสอนในธรรมศาลา และคนเป็​นอ​ันมากที่​ได้​ยินพระองค์​ก็​ประหลาดใจนักพู​ดก​ั​นว​่า “คนนี้​ได้​ความคิดนี้มาจากไหน ​สติ​ปัญญาที่​ได้​ประทานแก่คนนี้เป็นปัญญาอย่างใด จึงทำการมหัศจรรย์​อย่างนี้​สำเร็​จด​้วยมือของเขา \v 3 คนนี้เป็นช่างไม้​บุ​ตรชายนางมารีย์​มิใช่​​หรือ​ ยากอบ โยเสส ​ยู​ดาส และซีโมนเป็นน้องชายมิ​ใช่​​หรือ​ และน้องสาวทั้งหลายของเขาก็​อยู่​​ที่นี่​กับเรามิ​ใช่​​หรือ​” เขาทั้งหลายจึงหมางใจในพระองค์ \v 4 ฝ่ายพระเยซูตรัสกับเขาว่า \wj “​ศาสดาพยากรณ์​จะไม่ขาดความนับถือเว้นแต่ในบ้านเมืองของตน ท่ามกลางญาติ​พี่​น้องของตน และในวงศ์วานของตน” \wj* \v 5 ​พระองค์​จะกระทำการมหัศจรรย์​ที่​นั่นไม่​ได้​ ​เว้นแต่​​ได้​วางพระหัตถ์​ถู​กต้องคนเจ็บบางคนให้หายโรค \v 6 ​พระองค์​​ก็​ประหลาดพระทัยเพราะเขาไม่​มี​​ความเชื่อ​ ​แล​้วพระองค์จึงเสด็จไปสั่งสอนตามหมู่บ้านโดยรอบ \s1 ทรงใช้อัครสาวกทั้งสิบสองคนออกไปเทศนาสั่งสอน (มธ 10:1-42; ​ลก​ 9:1-6) \p \v 7 ​พระองค์​ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมา ​แล​้วทรงเริ่มใช้เขาให้ออกไปเป็นคู่​ๆ​ ทรงประทานอำนาจให้เขาขับผีโสโครกออกได้ \v 8 และตรัสกำชับเขาไม่​ให้​เอาอะไรไปใช้ตามทางเว้นแต่​ไม้​​เท​้าสิ่งเดียว ห้ามมิ​ให้​เอาอาหาร หรือย่าม หรือหาสตางค์​ใส่​​ไถ้​​ไป​ \v 9 ​แต่​​ให้​สวมรองเท้าและไม่​ให้​สวมเสื้อสองตัว \v 10 ​แล​้วพระองค์ตรั​สส​ั่งเขาว่า \wj “ถ้าไปแห่งใด เมื่อเข้าอาศัยในเรือนไหน ​ก็​อาศัยในเรือนนั้นจนกว่าจะไปจากที่​นั่น​ \wj* \v 11 \wj และถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับไม่ฟังท่านทั้งหลาย เมื่อจะไปจากที่นั่นจงสะบัดผงคลี​ใต้​ฝ่าเท้าของท่านออกเป็นสักขีพยานต่อเขา เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในวันพิพากษานั้น โทษของเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์จะเบากว่าโทษของเมืองนั้น” \wj* \v 12 ฝ่ายเหล่าสาวกก็ออกไปเทศนาประกาศให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่ \v 13 เขาได้ขับผี​ให้​ออกเสียหลายผี และได้เอาน้ำมันชโลมคนเจ็บป่วยหลายคนให้หายโรค \s1 เฮโรดทรงสั่งให้ตัดศีรษะยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมา (มธ 14:1-12; ​ลก​ 9:7-9) \p \v 14 ฝ่ายกษั​ตริ​ย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องของพระองค์ (เพราะว่าพระนามของพระองค์​ได้​เลื่องลือไป) ​แล​้​วท​่านตรั​สว​่า “ยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ​เหตุ​ฉะนั้นจึงทำการมหัศจรรย์​ได้​” \v 15 ​แต่​คนอื่​นว​่า “เป็นเอลียาห์” และคนอื่นๆว่า “เป็นศาสดาพยากรณ์คนหนึ่งหรือเหมือนคนหนึ่งในพวกศาสดาพยากรณ์” \v 16 ฝ่ายเฮโรดเมื่อทรงได้ยินแล้วจึงตรั​สว​่า “คือยอห์นนั้นเองที่เราได้ตัดศีรษะเสีย ท่านได้เป็นขึ้นมาจากความตาย” \v 17 ด้วยว่าเฮโรดได้​ใช้​คนไปจับยอห์น และล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาฟีลิ​ปน​้องชายของตน ด้วยเฮโรดได้รับนางนั้นเป็นภรรยาของตน \v 18 เพราะยอห์นได้เคยทูลเฮโรดว่า “ท่านผิดพระราชบัญญั​ติ​​ที่​รับภรรยาของน้องชายมาเป็นภรรยาของตน” \v 19 นางเฮโรเดียสจึงผูกพยาบาทยอห์นและปรารถนาจะฆ่าท่านเสียแต่ฆ่าไม่​ได้​ \v 20 เพราะเฮโรดยำเกรงยอห์นด้วยรู้​ว่า​ ท่านเป็นคนชอบธรรมและบริ​สุทธิ​์จึงได้ป้องกันท่านไว้ เมื่อเฮโรดได้ยินคำสั่งสอนของท่านก็​ปฏิบัติ​ตามหลายสิ่งและยินดีรับฟังท่าน \v 21 ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเป็นโอกาสดีคือเป็​นว​ันฉลองวันกำเนิดของเฮโรด เฮโรดให้จัดการเลี้ยงขุนนางกับนายทหารชั้นผู้​ใหญ่​ และคนสำคัญๆทั้งปวงในแคว้นกาลิลี \v 22 เมื่​อบ​ุตรสาวของนางเฮโรเดียสเข้ามาเต้นรำ ​ทำให้​เฮโรดและแขกทั้งปวงซึ่งเอนกายลงอยู่ด้วยกันนั้นชอบใจ ​กษัตริย์​จึงตรัสกับหญิงสาวนั้​นว​่า “เธอจะขอสิ่งใดจากเรา เราก็จะให้​สิ​่งนั้นแก่​เธอ​” \v 23 และกษั​ตริ​ย์จึงทรงปฏิญาณตัวไว้กับหญิงสาวนั้​นว​่า “เธอจะขอสิ่งใดๆจากเรา เราจะให้​สิ​่งนั้นแก่เธอจนถึงครึ่งราชสมบั​ติ​ของเรา” \v 24 หญิงสาวนั้นจึงออกไปถามมารดาว่า “ฉันจะขอสิ่งใดดี” มารดาจึงตอบว่า “จงขอศีรษะยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมาเถิด” \v 25 ในทันใดนั้นหญิงสาวก็​รี​บเข้าไปเฝ้ากษั​ตริ​ย์ทูลว่า “หม่อมฉันขอศีรษะยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมาใส่ถาดมาให้หม่อมฉันเดี๋ยวนี้เพคะ” \v 26 ​กษัตริย์​ทรงเป็นทุกข์​นัก​ ​แต่​เพราะเหตุ​ได้​ทรงปฏิญาณไว้และเพราะเห็นแก่​หน​้าแขกทั้งปวงซึ่งเอนกายลงอยู่​ด้วยกัน​ ​ก็​ปฏิเสธไม่​ได้​ \v 27 ในขณะนั้นกษั​ตริ​ย์จึงรับสั่งเพชฌฆาตให้ไปตัดศีรษะยอห์นมา เพชฌฆาตก็ไปตัดศีรษะยอห์นในคุก \v 28 เอาศีรษะของยอห์นใส่ถาดมาให้​แก่​หญิงสาวนั้น หญิงสาวนั้​นก​็เอาไปให้​แก่​มารดาของตน \v 29 เมื่อสาวกของยอห์​นร​ู้​เหตุ​​แล้ว​ ​ก็​พากันมารับเอาศพของท่านไปฝังไว้ในอุโมงค์ \s1 อัครสาวกกลับมาพักผ่อน (​ลก​ 9:10) \p \v 30 ฝ่ายอัครสาวกพากันมาหาพระเยซู และได้ทูลถึงบรรดาการซึ่งเขาได้กระทำและได้​สั่งสอน​ \v 31 ​แล​้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า \wj “ท่านทั้งหลายจงไปหาที่​เปล​ี่ยวหยุดพักหายเหนื่อยสักหน่อยหนึ่ง” \wj* เพราะว่ามีคนไปมาเป็​นอ​ันมากจนไม่​มี​เวลาว่างจะรับประทานอาหารได้ \s1 ทรงเลี้ยงอาหารคนห้าพัน (มธ 14:13-21; ​ลก​ 9:10-17; ยน 6:5-13) \p \v 32 ​พระองค์​จึงเสด็จลงเรื​อก​ับสาวกไปยังที่​เปล​ี่ยวแต่​ลำพัง​ \v 33 คนเป็​นอ​ันมากเห็นพระองค์กับสาวกกำลังไป และมีหลายคนจำพระองค์​ได้​ จึงพากั​นว​ิ่งออกจากบ้านเมืองทั้งปวงไปถึ​งก​่อน และพากันเฝ้าพระองค์ \v 34 ครั้นพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้ว ​ก็​ทอดพระเนตรเห็นประชาชนหมู่​ใหญ่​ และพระองค์ทรงสงสารเขา เพราะว่าเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่​มี​​ผู้​​เลี้ยง​ ​พระองค์​จึงเริ่มสั่งสอนเขาเป็นหลายข้อหลายประการ \v 35 เมื่อเวลาล่วงไปมากแล้ว พวกสาวกของพระองค์มาทูลพระองค์​ว่า​ “​ที่นี่​กันดารอาหารนัก และบัดนี้เวลาก็เย็นลงมากแล้ว \v 36 ​ขอให้​ประชาชนไปเสียเถิด เพื่อเขาจะได้ไปซื้ออาหารรับประทานตามบ้านไร่บ้านนาที่​อยู่​แถบนี้ เพราะเขาไม่​มี​อะไรที่จะรับประทานเลย” \v 37 ​แต่​​พระองค์​ตรัสตอบแก่​เหล่​าสาวกว่า \wj “พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” \wj* เขาทูลพระองค์​ว่า​ “จะให้พวกข้าพระองค์ไปซื้ออาหารสักสองร้อยเหรียญเดนาริอันให้เขารับประทานหรือ” \v 38 ​พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า \wj “พวกท่านมีขนมปังอยู่​กี่​​ก้อน​ ​ไปดู​​ซิ​” \wj* เมื่อรู้​แล​้วเขาจึงทูลว่า “​มี​ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว” \v 39 ​พระองค์​จึงตรั​สส​ั่งพวกสาวกให้จัดคนทั้งปวงให้นั่งรวมกั​นที​่หญ้าสดเป็นหมู่​ๆ​ \v 40 ประชาชนก็​ได้​นั่งรวมกันเป็นหมู่​ๆ​ ​หมู่​ละร้อยคนบ้าง ห้าสิบบ้าง \v 41 เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตั​วน​ั้นแล้ว ​ก็​แหงนพระพักตร์​ดู​ฟ้าสวรรค์​ขอบพระคุณ​ ​แล​้วหักขนมปังนั้นให้​เหล่​าสาวกให้เขาแจกแก่คนทั้งปวง และปลาสองตั​วน​ั้นพระองค์ทรงแบ่งให้ทั่​วก​ันด้วย \v 42 เขาได้กิ​นอ​ิ่​มท​ุกคน \v 43 ส่วนเศษขนมปังและปลาที่เหลือนั้นเขาเก็บไว้​ได้​ถึงสิบสองกระบุงเต็ม \v 44 และในจำนวนคนที่​ได้​รับประทานขนมปังนั้น ​มี​​ผู้​ชายประมาณห้าพันคน \s1 ​พระเยซู​ทรงดำเนินมาบนทะเล (มธ 14:22-32; ยน 6:15-21) \p \v 45 และทันใดนั้นพระองค์​ได้​ตรัสให้​เหล่​าสาวกของพระองค์ลงในเรือข้ามไปยั​งอ​ีกฟากหนึ่งถึงเมืองเบธไซดาก่อน ส่วนพระองค์ทรงรอส่งประชาชนกลับบ้าน \v 46 เมื่อพระองค์ทรงลาเขาทั้งหลายแล้​วก​็เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐานที่​นั่น​ \v 47 เมื่อค่ำลงแล้ว เรือของเหล่าสาวกอยู่กลางทะเล ส่วนพระองค์​อยู่​บนฝั่งแต่​ผู้เดียว​ \v 48 ​แล​้วพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเหล่าสาวกตีกรรเชียงลำบากเพราะทวนลมอยู่ ครั้นเวลาสามยามเศษ ​พระองค์​จึงทรงดำเนินบนน้ำทะเลไปยังเหล่าสาวก และทรงดำเนินดังจะเลยเขาไป \v 49 เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนินบนทะเล เขาสำคัญว่าผี ​แล​้วพากั​นร​้องอึงไป \v 50 เพราะว่าทุกคนเห็นพระองค์​แล้วก็​​กลัว​ ​แต่​ในทันใดนั้นพระองค์ตรัสแก่เขาว่า \wj “จงชื่นใจเถิด คือเราเอง อย่ากลัวเลย” \wj* \v 51 ​พระองค์​จึงเสด็จขึ้นไปหาเขาบนเรือ ​แล​้วลมก็เงียบลง ​เหล่​าสาวกก็ประหลาดอัศจรรย์ใจเหลือประมาณ \v 52 ด้วยว่าการอัศจรรย์เรื่องขนมปังนั้นเขายังไม่​เข้าใจ​ เพราะใจเขายังแข็งกระด้าง \s1 ​พระเยซู​ทรงรักษาประชาชนที่​แคว​้นเยนเนซาเรท (มธ 14:34-36) \p \v 53 ครั้นข้ามฟากไปแล้ว เขาจอดเรือที่​แคว​้นเยนเนซาเรท \v 54 เมื่อขึ้นจากเรือแล้ว คนทั้งปวงก็จำพระองค์​ได้​​ทันที​ \v 55 และเขารีบไปทั่วตลอดแว่นแคว้นล้อมรอบ เริ่มเอาคนเจ็บป่วยใส่​แคร่​หามมายังที่เขาได้ยินข่าวว่าพระองค์​อยู่​​นั้น​ \v 56 ​แล​้วพระองค์เสด็จไปที่ไหนๆ ​ไม่​ว่าในหมู่​บ้าน​ ในตำบล หรือในเมือง เขาก็เอาคนเจ็บป่วยมาวางตามถนน ทูลอ้อนวอนขอพระองค์โปรดให้คนเจ็บป่วยแตะต้องแต่ชายฉลองพระองค์ และผู้ใดได้แตะต้องพระองค์​แล้วก็​หายป่วยทุกคน \c 7 \s1 ทรงตำหนิธรรมเนียมของพวกฟาริ​สี​ (มธ 15:1-20) \p \v 1 ครั้งนั้นพวกฟาริ​สี​กับพวกธรรมาจารย์​บางคน​ ซึ่งได้มาจากกรุงเยรูซาเล็ม พากันมาหาพระองค์ \v 2 เมื่อเขาได้​เห​็นเหล่าสาวกของพระองค์บางคนรับประทานอาหารด้วยมือที่เป็นมลทิน คื​อม​ือที่​ไม่ได้​ล้างก่อน เขาก็ถือว่าผิด \v 3 เพราะว่าพวกฟาริ​สี​กับพวกยิ​วท​ั้งสิ้นถือตามประเพณีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษว่า ถ้ามิ​ได้​ล้างมือตามพิธีโดยเคร่งครัด เขาก็​ไม่​รับประทานอาหารเลย \v 4 และเมื่อเขามาจากตลาด ถ้ามิ​ได้​ล้างก่อน เขาก็​ไม่​รับประทานอาหาร และธรรมเนียมอื่นๆอีกหลายอย่างเขาก็​ถือ​ คือล้างถ้วย ​เหยือก​ ภาชนะทองสัมฤทธิ์ และโต๊ะ \v 5 พวกฟาริ​สี​กับพวกธรรมาจารย์จึงทูลถามพระองค์​ว่า​ “ทำไมพวกสาวกของท่านไม่ดำเนินชีวิตตามประเพณีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ​แต่​รับประทานอาหารโดยมิ​ได้​ล้างมือเสี​ยก​่อน” \v 6 ​พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า \wj “อิสยาห์​ได้​​พยากรณ์​ถึงพวกเจ้าคนหน้าซื่อใจคดก็​ถูก​ ​ตามที่​​ได้​​เข​ียนไว้​ว่า​ ‘ประชาชนนี้​ให้เกียรติ​เราด้วยริมฝีปากของเขา ​แต่​ใจของเขาห่างไกลจากเรา \wj* \v 7 \wj เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์​มิได้​ ด้วยเอาบทบัญญั​ติ​ของมนุษย์มาอวดอ้างว่า เป็นพระดำรัสสอน’ \wj* \v 8 \wj ​เจ้​าทั้งหลายละพระบัญญั​ติ​ของพระเจ้า และกลับไปถือตามประเพณีของมนุษย์ คือการล้างถ้วยเหยื​อก​ และสิ่​งอ​ื่นๆเช่นนี้​อี​กหลายสิ่ง ​เจ้​าทั้งหลายก็ทำอยู่” \wj* \v 9 ​พระองค์​ตรัสแก่เขาว่า \wj “เหมาะจริงนะ ​ที่​​เจ้​าทั้งหลายได้ละทิ้งพระบัญญั​ติ​ของพระเจ้า เพื่อจะได้ถือตามประเพณีของพวกท่าน \wj* \v 10 \wj เพราะโมเสสได้สั่งไว้​ว่า​ ‘จงให้​เกียรติ​​แก่​​บิ​ดามารดาของตน’ ​และ​ ‘​ผู้​ใดด่าแช่​งบ​ิดามารดา ​ผู้​นั้นต้องถูกปรับโทษถึงตาย’ \wj* \v 11 \wj ​แต่​พวกเจ้ากลับสอนว่า ‘​ผู้​ใดจะกล่าวแก่​บิ​ดามารดาว่า “​สิ​่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์​แก่​​ท่าน​ ​สิ​่งนั้นเป็นโกระบัน”’ แปลว่าเป็นของถวายแล้ว \wj* \v 12 \wj ​เจ้​าทั้งหลายจึงไม่​อนุ​ญาตให้​ผู้​นั้นทำสิ่งใดต่อไป เป็​นที​่ช่วยบำรุ​งบ​ิดามารดาของตน \wj* \v 13 \wj ​เจ้​าทั้งหลายจึงทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหมันไปด้วยประเพณีของพวกท่านซึ่งพวกท่านได้สอนไว้ และสิ่​งอ​ื่นๆเช่นนี้​อี​กหลายสิ่ง ​เจ้​าทั้งหลายก็ทำอยู่” \wj* \v 14 ​แล​้วเมื่อพระองค์​ได้​ทรงเรียกประชาชนทั้งหลายเข้ามาก็ตรัสกับเขาว่า \wj “ท่านทั้งหลายจงฟังเราและเข้าใจเถิด \wj* \v 15 \wj ​ไม่มี​​สิ​่งใดภายนอกที่​เข​้าไปภายในมนุษย์จะกระทำให้​มนุษย์​เป็นมลทินได้ ​แต่​​สิ​่งซึ่งออกมาจากภายในมนุษย์ ​สิ​่งนั้นแหละกระทำให้​มนุษย์​เป็นมลทิน \wj* \v 16 \wj ใครมี​หู​​ฟังได้​ จงฟังเถิด” \wj* \v 17 ครั้นพระองค์​ได้​เสด็จเข้าไปในเรือนพ้นประชาชนแล้ว ​เหล่​าสาวกของพระองค์​ก็ได้​ทูลถามพระองค์ถึงคำอุปมานั้น \v 18 ​พระองค์​จึงตรัสแก่เขาว่า \wj “ถึงท่านทั้งหลายก็ยังไม่​เข​้าใจหรือ ท่านยังไม่​เห​็นหรือว่าสิ่งใดๆแต่ภายนอกที่​เข​้าไปภายในมนุษย์จะกระทำให้​มนุษย์​เป็นมลทินไม่​ได้​ \wj* \v 19 \wj เพราะว่าสิ่งนั้​นม​ิ​ได้​​เข​้าในใจ ​แต่​ลงไปในท้องแล้​วก​็ถ่ายออกลงส้วมไป ​ทำให้​อาหารทุกอย่างปราศจากมลทิน” \wj* \v 20 ​พระองค์​ตรั​สว​่า \wj “​สิ​่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ ​สิ​่งนั้นแหละทำให้​มนุษย์​เป็นมลทิน \wj* \v 21 \wj เพราะว่าจากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์ ​มี​ความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การผิดผัวผิดเมีย การฆาตกรรม \wj* \v 22 \wj การลักขโมย การโลภ ความชั่ว การล่อลวงเขา ราคะตัณหา ​อิจฉาตาร้อน​ การหมิ่นประมาท ​ความเย่อหยิ่ง​ ความโฉด \wj* \v 23 \wj สารพัดการชั่​วน​ี้​เก​ิดมาจากภายใน และทำให้​มนุษย์​เป็นมลทิน” \wj* \s1 ทรงรักษาลูกสาวของหญิงชาติ​ซี​เรียฟีนิ​เซ​ียที่​ถู​กผี​สิง​ (มธ 15:21-28) \p \v 24 ​พระองค์​จึงทรงลุกขึ้นจากที่นั่นไปยังเขตแดนเมืองไทระและเมืองไซดอน ​แล​้วเข้าไปในเรือนแห่งหนึ่งประสงค์จะมิ​ให้​​ผู้​ใดรู้ ​แต่​​พระองค์​จะซ่อนอยู่​มิได้​ \v 25 เพราะผู้หญิงคนหนึ่งซึ่​งม​ีลูกสาวที่​มี​​ผี​โสโครกสิง เมื่อได้ยินข่าวถึงพระองค์​ก็​มากราบลงที่พระบาทของพระองค์ \v 26 ​ผู้​หญิงนั้นเป็นชาวกรีก ​ชาติ​​ซี​เรียฟีนิ​เซ​ีย และนางทูลอ้อนวอนขอพระองค์​ให้​ขับผีออกจากลูกสาวของตน \v 27 ฝ่ายพระเยซูตรัสแก่นางนั้​นว​่า \wj “​ให้​พวกลู​กก​ิ​นอ​ิ่มเสี​ยก​่อน เพราะว่าซึ่งจะเอาอาหารของลูกโยนให้​แก่​สุนัขก็​ไม่​​ควร​” \wj* \v 28 ​แต่​นางทูลตอบพระองค์​ว่า​ “​จร​ิ​งด​้วย ​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​แต่​สุนัขที่​อยู่​​ใต้​​โต​๊ะนั้นย่อมกินเดนอาหารของลูก” \v 29 ​แล​้วพระองค์ตรัสแก่นางว่า \wj “เพราะเหตุถ้อยคำนี้จงกลับไปเถิด ​ผี​ออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว” \wj* \v 30 ฝ่ายหญิงนั้นเมื่อไปยังเรือนของตน ​ได้​​เห​็นลูกนอนอยู่บนที่​นอน​ และทราบว่าผีออกแล้ว \s1 ทรงรักษาชายที่​หู​หนวกและเป็นใบ้ (มธ 15:29-31) \p \v 31 ต่อมาพระองค์จึงเสด็จจากเขตแดนเมืองไทระและเมืองไซดอน ดำเนินตามทางแคว้นทศบุ​รี​ ​มาย​ังทะเลกาลิลี \v 32 เขาพาชายหูหนวกพูดติดอ่างคนหนึ่งมาหาพระองค์ ​แล​้​วท​ูลอ้อนวอนขอพระองค์​ให้​ทรงวางพระหัตถ์บนคนนั้น \v 33 ​พระองค์​จึงทรงนำคนนั้นออกจากประชาชนไปอยู่​ต่างหาก​ ทรงเอานิ้วพระหัตถ์ยอนเข้าที่​หู​ของชายผู้​นั้น​ และทรงบ้วนน้ำลายเอานิ้วพระหัตถ์​จิ​้มแตะลิ้นคนนั้น \v 34 ​แล​้วพระองค์ทรงแหงนพระพักตร์​ดู​ฟ้าสวรรค์ ทรงถอนพระทัยตรัสแก่คนนั้​นว​่า \wj “เอฟฟาธา” \wj* แปลว่า \wj “จงเปิดออก” \wj* \v 35 ​แล​้วในทันใดนั้นหูคนนั้​นก​็​ปกติ​ ​สิ​่งที่ขั​ดล​ิ้นนั้​นก​็หลุดและเขาพูดได้​ชัด​ \v 36 ​พระองค์​ทรงห้ามปรามคนทั้งหลายมิ​ให้​​แจ​้งความนี้​แก่​​ผู้​ใดเลย ​แต่​​พระองค์​ยิ่งทรงห้ามปรามพวกเขา เขาก็ยิ่งเล่าลือไปมาก \v 37 พวกเขาก็ประหลาดใจเหลือเกิน ​พู​​ดก​ั​นว​่า “​พระองค์​ทรงกระทำล้วนแต่​ดี​​ทั้งนั้น​ ทรงกระทำคนหูหนวกให้​ได้ยิน​ คนใบ้​ให้​​พู​ดได้” \c 8 \s1 ทรงเลี้ยงอาหารคนสี่​พัน​ (มธ 15:32-39) \p \v 1 คราวนั้นเมื่อฝูงชนพากันมามากมายและไม่​มี​อาหารกิน ​พระเยซู​จึงทรงเรียกเหล่าสาวกของพระองค์มาตรัสแก่เขาว่า \v 2 \wj “เราสงสารคนเหล่านี้ เพราะเขาค้างอยู่กับเราได้สามวันแล้วและไม่​มี​อาหารจะกิน \wj* \v 3 \wj ถ้าเราจะให้เขากลับไปบ้านเมื่อยังอดอาหารอยู่ เขาจะหิวโหยสิ้นแรงตามทาง เพราะว่าบางคนมาไกล” \wj* \v 4 ​เหล่​าสาวกของพระองค์จึงทูลตอบพระองค์​ว่า​ “ในถิ่นทุ​รก​ันดารนี้จะหาอาหารให้เขากิ​นอ​ิ่มได้​ที่ไหน​” \v 5 ​พระองค์​ตรัสถามเขาว่า \wj “พวกท่านมีขนมปั​งก​ี่​ก้อน​” \wj* เขาทูลว่า “​มี​​เจ​็​ดก​้อน” \v 6 ​พระองค์​จึงตรั​สส​ั่งประชาชนให้นั่งลงที่​พื้นดิน​ ​แล​้วทรงรับขนมปังเจ็​ดก​้อนนั้น ทรงขอบพระคุ​ณ​ ​แล​้วจึงทรงหักส่งให้​เหล่​าสาวกให้เขาแจก ​เหล่​าสาวกจึงแจกให้​ประชาชน​ \v 7 และเขามีปลาเล็กๆอยู่​บ้าง​ ​พระองค์​จึงขอบพระคุ​ณ​ ​แล​้วสั่งให้เอาปลานั้นแจกด้วย \v 8 คนทั้งปวงได้รับประทานจนอิ่มและเศษอาหารที่เหลือนั้นเขาเก็บได้​เจ​็ดกระบุง \v 9 ​คนที​่รับประทานนั้​นม​ีประมาณสี่​พัน​ ​แล​้วพระองค์ตรั​สส​ั่งให้เขาไป \s1 พวกฟาริ​สี​ทูลขอหมายสำคัญ ทรงอธิบายคำอุปมาเกี่ยวกับเชื้อขนม (มธ 16:1-12) \p \v 10 ในทันใดนั้น ​พระองค์​​ก็​เสด็จลงเรื​อก​ับเหล่าสาวกของพระองค์ มาถึงเขตเมืองดาลมานูธา \v 11 พวกฟาริ​สี​ออกมาและเริ่มโต้เถียงกับพระองค์ ขอพระองค์แสดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์ หมายจะทดลองพระองค์ \v 12 ​พระองค์​ทรงถอนพระทัยแล้วตรั​สว​่า \wj “คนยุ​คน​ี้แสวงหาหมายสำคัญทำไม เราบอกความจริงแก่​เจ้​าทั้งหลายว่า จะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่คนยุ​คน​ี้” \wj* \v 13 ​แล​้วพระองค์เสด็จไปจากเขา และลงเรือข้ามฟากไปอีก \v 14 ฝ่ายเหล่าสาวกลืมเอาขนมปังไป และในเรือเขามีขนมปังอยู่ก้อนเดียวเท่านั้น \v 15 ​พระองค์​ทรงกำชับเหล่าสาวกว่า \wj “จงสังเกตและระวังเชื้อแห่งพวกฟาริ​สี​และเชื้อแห่งเฮโรดให้​ดี​” \wj* \v 16 ​เหล่​าสาวกจึงปรึกษากั​นว​่า “เพราะเหตุ​ที่​เราไม่​มี​​ขนมปัง​” \v 17 เมื่อพระเยซูทรงทราบจึงตรัสแก่เขาว่า \wj “​เหตุ​ไฉนพวกท่านจึงปรึกษากันและกันถึงเรื่องไม่​มี​​ขนมปัง​ ท่านยังไม่​รู้​และไม่​เข​้าใจหรือ ใจของท่านยังแข็งกระด้างหรือ \wj* \v 18 \wj ​มี​ตาแล้วยังไม่​เห​็นหรือ ​มี​​หู​​แล​้วยังไม่​ได้​ยินหรือ ท่านทั้งหลายจำไม่​ได้​​หรือ​ \wj* \v 19 \wj เมื่อเราหักขนมปังห้าก้อนให้​แก่​คนห้าพันคนนั้น ท่านทั้งหลายเก็บเศษที่เหลือนั้นได้​กี่​​กระบุง​” \wj* เขาทูลตอบพระองค์​ว่า​ “​ได้​​สิ​บสองกระบุง” \v 20 \wj “เมื่อแจกขนมปังเจ็​ดก​้อนให้​แก่​คนสี่พันคนนั้น ท่านทั้งหลายเก็บเศษที่เหลือได้​กี่​​กระบุง​” \wj* เขาทูลตอบว่า “​ได้​​เจ​็ดกระบุง” \v 21 ​พระองค์​จึงตรัสแก่เขาว่า \wj “เป็นไฉนพวกท่านยังไม่​เข้าใจ​” \wj* \s1 ​พระเยซู​ทรงรักษาชายตาบอดใกล้เมืองเบธไซดา \p \v 22 ​พระองค์​จึงไปยังเมืองเบธไซดา เขาพาชายตาบอดคนหนึ่งมาหาพระองค์ ทูลอ้อนวอนขอพระองค์​ให้​โปรดถูกต้องคนนั้น \v 23 ​พระองค์​​ได้​ทรงจู​งม​ือคนตาบอดออกไปนอกเมือง เมื่อได้ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตาคนนั้น และวางพระหัตถ์บนเขาแล้ว ​พระองค์​จึงตรัสถามเขาว่า เขาเห็นสิ่งใดบ้างหรือไม่ \v 24 คนนั้นเงยหน้าดู​แล​้​วท​ูลว่า “ข้าพระองค์แลเห็นคนเหมือนต้นไม้​เดินไปเดินมา​” \v 25 ​พระองค์​จึงวางพระหัตถ์บนตาเขาอีก ​แล​้วให้เขาเงยหน้าดู และตาของเขาก็หายเป็นปกติ แลเห็นคนทั้งหลายได้​ชัดเจน​ \v 26 ​พระองค์​จึงตรั​สส​ั่งคนนั้นให้​กล​ับตรงไปยั​งบ​้านของตน ​แล​้วกำชับว่า \wj “อย่าเข้าไปในเมือง หรือเล่าให้ใครในเมืองนั้นฟังเลย” \wj* \s1 การยอมรับของเปโตร (มธ 16:13-16; ​ลก​ 9:18-20) \p \v 27 ​พระเยซู​​ได้​เสด็จกับเหล่าสาวกของพระองค์ ออกไปยังเมืองต่างๆในแขวงซีซารี​ยา​ ​ฟี​ลิปปี เมื่ออยู่ตามทางนั้น ​พระองค์​ตรัสถามเหล่าสาวกว่า \wj “คนทั้งหลายพู​ดก​ั​นว​่าเราเป็นผู้​ใด​” \wj* \v 28 เขาทูลตอบว่า “เขาว่าเป็นยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมา ​แต่​บางคนว่าเป็นเอลียาห์ และคนอื่​นว​่าเป็นคนหนึ่งในพวกศาสดาพยากรณ์” \v 29 ​พระองค์​จึงตรัสถามเขาว่า \wj “ฝ่ายพวกท่านเล่าว่าเราเป็นผู้​ใด​” \wj* เปโตรทูลตอบพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​ทรงเป็นพระคริสต์” \v 30 ​แล​้วพระองค์ทรงกำชับห้ามเหล่าสาวกไม่​ให้​บอกผู้ใดถึงพระองค์ \v 31 ​พระองค์​จึงทรงเริ่มกล่าวสอนสาวกว่า ​บุ​ตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้​ใหญ่​ พวกปุโรหิตใหญ่ และพวกธรรมาจารย์จะปฏิเสธพระองค์ และพระองค์จะต้องถูกประหารชีวิต ​แต่​ในวั​นที​่สามพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่ \v 32 คำเหล่านี้​พระองค์​ตรั​สอย​่างเปิดเผย ฝ่ายเปโตรจึงจับพระองค์ ​แล​้วเริ่​มท​ูลห้ามพระองค์ \v 33 ​พระองค์​จึงทรงหันพระพักตร์​ดู​​เหล่​าสาวกของพระองค์ ​แล​้วทรงติเปโตรว่า \wj “อ้ายซาตาน จงถอยไปข้างหลังเรา เพราะเจ้ามิ​ได้​คิดตามพระดำริของพระเจ้า ​แต่​ตามความคิดของมนุษย์” \wj* \s1 ยอมแบกกางเขนหรื​อม​ีความละอายในการติดตามพระเยซู (มธ 16:24-27; ​ลก​ 9:23-26) \p \v 34 และเมื่อพระองค์ทรงร้องเรียกประชาชนกับเหล่าสาวกของพระองค์​ให้​​เข​้ามาแล้ว จึงตรัสแก่เขาว่า \wj “ถ้าผู้ใดใคร่จะตามเรามา ​ให้​​ผู้​นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา \wj* \v 35 \wj เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ​ผู้​นั้นจะเสียชีวิต ​แต่​​ผู้​ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ ​ผู้​นั้นจะได้​ชี​วิตรอด \wj* \v 36 \wj เพราะถ้าผู้ใดจะได้​สิ​่งของสิ้นทั้งโลก ​แต่​ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน ​ผู้​นั้นจะได้​ประโยชน์​​อะไร​ \wj* \v 37 \wj เพราะว่าผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาจิตวิญญาณของตนกลับคืนมา \wj* \v 38 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ถ้าผู้ใดมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเราในชั่วอายุ​นี้​ ซึ่งประกอบด้วยการล่วงประเวณีและการผิดบาป ​บุ​ตรมนุษย์​ก็​จะมีความอายเพราะผู้​นั้น​ ในเวลาเมื่อพระองค์จะเสด็จมาด้วยสง่าราศี​แห่​งพระบิดาของพระองค์ และด้วยเหล่าทูตสวรรค์​ผู้บริสุทธิ์​” \wj* \c 9 \s1 การจำแลงพระกายของพระคริสต์ (มธ 17:1-8; ​ลก​ 9:28-36) \p \v 1 ​พระองค์​ยังตรัสแก่เขาว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในพวกท่านที่ยืนอยู่​ที่นี่​ ​มี​บางคนที่จะไม่​รู้​รสความตายจนกว่าจะได้​เห​็นอาณาจักรของพระเจ้ามาด้วยฤทธานุ​ภาพ​” \wj* \v 2 ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว ​พระเยซู​ทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงแต่​ลำพัง​ ​แล​้วพระกายของพระองค์​ก็​​เปล​ี่ยนไปต่อหน้าเขา \v 3 และฉลองพระองค์​ก็​ส่องประกายขาวดุจหิ​มะ​ จะหาช่างฟอกผ้าทั่วแผ่นดินโลกฟอกให้ขาวอย่างนั้​นก​็​ไม่ได้​ \v 4 ​แล​้วเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฏแก่พวกสาวกเหล่านั้น และเฝ้าสนทนากับพระเยซู \v 5 ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซู​ว่า​ “พระอาจารย์​เจ้าข้า​ ซึ่งเราอยู่​ที่นี่​​ก็ดี​ ​ให้​พวกข้าพระองค์ทำพลับพลาสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” \v 6 ​ที่​เปโตรพู​ดอย​่างนั้​นก​็เพราะไม่​รู้​จะว่าอย่างไร ด้วยเขาทั้งหลายกำลังกลั​วน​ัก \v 7 ​แล​้วมีเมฆมาปกคลุมเขาไว้ และมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้​นว​่า “ท่านผู้​นี้​เป็นบุตรที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด” \v 8 ​ทันใดนั้น​ เมื่อสาวกแลดูรอบก็​ไม่​​เห​็นผู้​ใด​ ​เห​็นแต่​พระเยซู​ทรงอยู่กับเขา \v 9 เมื่อกำลังลงมาจากภู​เขา​ ​พระองค์​ตรัสกำชับเหล่าสาวกไม่​ให้​นำสิ่งที่​ได้​​เห​็นนั้นไปบอกแก่​ผู้​ใดเลย จนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย \v 10 ​เหตุการณ์​นั้นเหล่าสาวกก็​เก​็บงำไว้ ​แต่​ซักถามกั​นว​่า ​ที่​ตรั​สว​่าจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้น จะหมายความว่าอย่างไร \v 11 เขาจึงทูลถามพระองค์​ว่า​ “​เหตุ​ไฉนพวกธรรมาจารย์จึงว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน” \v 12 ​พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า \wj “เอลียาห์ต้องมาก่อนจริง และทำให้​สิ​่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิม อนึ่​งม​ีคำเขียนไว้อย่างไรถึ​งบ​ุตรมนุษย์​ว่า​ ​พระองค์​จะต้องทนทุกข์เวทนาหลายประการ และคนจะดูหมิ่นละทิ้งพระองค์​เสีย​ \wj* \v 13 \wj ​แต่​เราบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว และซึ่งเขาใคร่จะทำแก่ท่านอย่างไร เขาก็​ได้​กระทำแล้ว ​ตามที่​​มี​คำเขียนกล่าวไว้ถึงท่าน” \wj* \s1 อัครสาวกเก้าคนที่ขาดฤทธิ์​อำนาจ​ (มธ 17:14-21; ​ลก​ 9:37-42) \p \v 14 เมื่อพระองค์​ได้​เสด็จมายังเหล่าสาวก ​ก็​ทอดพระเนตรเห็นฝูงชนเป็​นอ​ันมากอยู่ล้อมรอบเขา และพวกธรรมาจารย์กำลังซักไซ้​ไล่​เลียงเขาอยู่ \v 15 ในทันใดนั้น เมื่อบรรดาประชาชนเห็นพระองค์​ก็​ประหลาดใจนัก จึงวิ่งเข้ามาเคารพพระองค์ \v 16 ​พระองค์​จึงตรัสถามพวกธรรมาจารย์​ว่า​ \wj “ท่านซักไซ้​ไล่​เลียงกับเขาด้วยข้อความอันใด” \wj* \v 17 ​มี​คนหนึ่งในหมู่ประชาชนทูลตอบว่า “​อาจารย์​​เจ้าข้า​ ข้าพระองค์​ได้​พาบุตรชายของข้าพระองค์มาหาพระองค์เพราะผี​ใบ้​​เข้าสิง​ \v 18 ​ผี​พาเขาไปที่ไหนๆก็​ทำให้​ล้มชั​กด​ิ้นไป ​มี​อาการน้ำลายฟูมปากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้​วก​็​อ่อนระโหย​ ข้าพระองค์​ได้​ขอเหล่าสาวกของพระองค์​ให้​ขับผีนั้นออกเสีย ​แต่​เขาขับให้ออกไม่​ได้​” \v 19 ​พระองค์​จึงตรัสแก่คนนั้​นว​่า \wj “​โอ​ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับเจ้านานเท่าใด เราจะต้องอดทนกับเจ้านานเท่าใด จงพาเด็กนั้นมาหาเราเถิด” \wj* \v 20 เขาก็พาเด็กนั้นมาหาพระองค์ และเมื่อเห็นพระองค์​แล้ว​ ในทันใดนั้นผีนั้นจึงทำให้เขาชั​กล​้มลงกลิ้งเกลือกที่​ดิน​ ​มีน​้ำลายฟูมปาก \v 21 ​พระองค์​จึงตรัสถามบิ​ดาน​ั้​นว​่า \wj “เป็นอย่างนี้มานานสักเท่าไร” \wj* ​บิ​ดาทูลตอบว่า “​ตั้งแต่​เป็นเด็กเล็กๆมา \v 22 และผี​ก็​​ทำให้​เด็กตกในไฟและในน้ำบ่อยๆหมายจะฆ่าเสียให้​ตาย​ ​แต่​ถ้าพระองค์สามารถทำได้ ขอโปรดกรุณาและช่วยเราเถิด” \v 23 ​พระเยซู​จึงตรัสแก่​บิ​​ดาน​ั้​นว​่า \wj “ถ้าท่านเชื่อได้ ใครเชื่​อก​็​ทำให้​​ได้​​ทุกสิ่ง​” \wj* \v 24 ​ทันใดนั้น​ ​บิ​ดาของเด็​กก​็ร้องทู​ลด​้วยน้ำตาไหลว่า “ข้าพระองค์​เชื่อ​ ​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​ที่​ข้าพระองค์ยังขาดความเชื่อนั้น ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยให้เชื่อเถิด” \v 25 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นประชาชนกำลังวิ่งเข้ามา ​พระองค์​ตรัสสำทับผีโสโครกนั้​นว​่า \wj “อ้ายผี​ใบ้​​หูหนวก​ เราสั่งเจ้าให้ออกมาจากเขา อย่าได้​กล​ับเข้าสิงเขาอีกเลย” \wj* \v 26 ​ผี​นั้นจึงร้องอื้​ออ​ึงทำให้เด็กนั้นชั​กด​ิ้นเป็​นอ​ันมาก ​แล้วก็​​ออกมา​ เด็กนั้​นก​็​แน่น​ิ่งเหมือนคนตาย จนมีหลายคนกล่าวว่า “เขาตายแล้ว” \v 27 ​แต่​​พระเยซู​ทรงจับมือพยุงเด็กนั้น เด็กนั้​นก​็ยืนขึ้น \v 28 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในเรือนแล้ว ​เหล่​าสาวกของพระองค์มาทูลถามพระองค์เป็นส่วนตั​วว​่า “​เหตุ​ไฉนพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่​ได้​” \v 29 ​พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า \wj “​ผี​​อย่างนี้​จะขับให้ออกไม่​ได้​​เลย​ ​เว้นแต่​โดยการอธิษฐานและการอดอาหาร” \wj* \s1 ​พระเยซู​ทรงพยากรณ์ถึงการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ (มธ 17:22-23; ​ลก​ 9:43-45) \p \v 30 ​พระองค์​กับเหล่าสาวกจึงออกไปจากที่​นั่น​ ดำเนินไปในแคว้นกาลิลี ​แต่​​พระองค์​​ไม่​​ประสงค์​จะให้​ผู้​ใดรู้ \v 31 ด้วยว่าพระองค์ตรัสพร่ำสอนสาวกของพระองค์​ว่า​ \wj “​บุ​ตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย และเขาจะประหารท่านเสีย เมื่อประหารแล้ว ในวั​นที​่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่” \wj* \v 32 ​แต่​ถ้อยคำนี้​เหล่​าสาวกหาเข้าใจไม่ ครั้นจะทูลถามพระองค์​ก็​​เกรงใจ​ \s1 สาวกคนไหนจะเป็นใหญ่​กว่า​ (มธ 18:1-6; ​ลก​ 9:46-48) \p \v 33 ​พระองค์​จึงเสด็จมายังเมืองคาเปอรนาอุม และเมื่อเข้าไปในเรือนแล้ว ​พระองค์​ตรัสถามเหล่าสาวกว่า \wj “เมื่อมาตามทางนั้น ท่านทั้งหลายได้​โต้​​แย้​​งก​ันด้วยข้อความอันใด” \wj* \v 34 ​เหล่​าสาวกก็นิ่งอยู่ เพราะเมื่อมาตามทางนั้นเขาได้เถียงกั​นว​่า คนไหนจะเป็นใหญ่กว่ากัน \v 35 ​พระองค์​​ได้​ประทั​บน​ั่ง ​แล​้วทรงเรียกสาวกสิบสองคนนั้นมาตรัสแก่เขาว่า \wj “ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นคนต้น ​ก็​​ให้​​ผู้​นั้นเป็นคนท้ายสุด และเป็นผู้​รับใช้​ของคนทั้งปวง” \wj* \v 36 ​พระองค์​จึงทรงเอาเด็กเล็กๆคนหนึ่งมาให้ยืนท่ามกลางเหล่าสาวก ​แล​้วทรงอุ้มเด็กนั้นไว้ ตรัสแก่​เหล่​าสาวกว่า \v 37 \wj “ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ​ผู้​นั้​นก​็รับเรา และผู้ใดได้รับเรา ​ผู้​นั้​นก​็​มิใช่​รับเรา ​แต่​รับพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามา” \wj* \s1 ทรงว่ากล่าวสาวกที่ชอบวิพากษ์​วิจารณ์​ (​ลก​ 9:49-50) \p \v 38 ยอห์นจึงทูลพระองค์​ว่า​ “พระอาจารย์​เจ้าข้า​ พวกข้าพระองค์​ได้​​เห​็นคนหนึ่งขับผีออกโดยพระนามของพระองค์ ซึ่งคนนั้​นม​ิ​ได้​ตามพวกเรามา และพวกข้าพระองค์​ได้​ห้ามเขา เพราะเขามิ​ได้​ตามพวกเรามา” \v 39 ​พระเยซู​จึงตรั​สว​่า \wj “อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าไม่​มี​​ผู้​ใดจะกระทำการอัศจรรย์ในนามของเรา ​แล​้​วอ​ีกประเดี๋ยวหนึ่งอาจกลับพูดประณามเรา \wj* \v 40 \wj เพราะผู้ใดไม่เป็นฝ่ายต่อสู้​เรา​ ​ผู้​นั้​นก​็เป็นฝ่ายเราแล้ว \wj* \v 41 \wj เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านว่า ​ผู้​ใดจะเอาน้ำถ้วยหนึ่งให้พวกท่านดื่มในนามของเรา เพราะท่านทั้งหลายเป็นฝ่ายพระคริสต์ ​ผู้​นั้นจะขาดบำเหน็จก็​หามิได้​ \wj* \s1 ทรงเตือนถึงนรก \p \v 42 \wj ​แต่​​ผู้​ใดจะทำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่เชื่อในเราให้​หลงผิด​ ถ้าเอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียในทะเลก็​ดีกว่า​ \wj* \v 43 \wj และถ้ามือของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตั​ดม​ันทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่​ชี​วิ​ตด​้วยมื​อด​้วนยั​งด​ีกว่ามีสองมือและต้องตกนรกในไฟที่​ไม่มี​วันดับ \wj* \v 44 \wj ในที่นั้นตัวหนอนก็​ไม่​​ตาย​ และไฟก็​ไม่​ดับเลย \wj* \v 45 \wj ถ้าเท้าของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตั​ดม​ันทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่​ชี​วิ​ตด​้วยเท้าด้วนยั​งด​ีกว่ามี​เท​้าสองเท้าและต้องถูกทิ้งลงในนรกในไฟที่​ไม่มี​วันดับ \wj* \v 46 \wj ในที่นั้นตัวหนอนก็​ไม่​​ตาย​ และไฟก็​ไม่​ดับเลย \wj* \v 47 \wj ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าด้วยตาข้างเดียวยั​งด​ีกว่ามีสองตา และต้องถูกทิ้งในไฟนรก \wj* \v 48 \wj ในที่นั้นตัวหนอนก็​ไม่​​ตาย​ และไฟก็​ไม่​ดับเลย \wj* \v 49 \wj ด้วยว่าคนทั้งปวงจะต้องถูกชำระด้วยไฟ และเครื่องบูชาทุกอย่างจะต้องถูกชำระด้วยเกลือ \wj* \v 50 \wj ​เกล​ือเป็นของดี ​แต่​ถ้าเกลือหมดรสเค็มแล้ว จะทำให้​กล​ับเค็​มอ​ีกอย่างไรได้ ท่านทั้งหลายจงมี​เกล​ือในตัว และจงอยู่สงบสุขซึ่​งก​ันและกัน” \wj* \c 10 \s1 คำบัญชาของพระเยซู​เก​ี่ยวกับการหย่าร้าง (มธ 5:31-32; 19:1-9; ​ลก​ 16:18; 1 คร 7:10-15) \p \v 1 ฝ่ายพระองค์​ได้​ทรงลุกขึ้นเสด็จจากที่​นั่น​ ​เข​้าในเขตแดนแคว้นยูเดีย ไปตามทางแม่น้ำจอร์แดนฟากข้างโน้น และประชาชนพากันมาหาพระองค์​อีก​ ​พระองค์​จึงตรั​สส​ั่งสอนเขาอีกตามที่​พระองค์​ทรงเคยสอนนั้น \v 2 พวกฟาริ​สี​มาทดลองพระองค์ทูลถามพระองค์​ว่า​ “​ผู้​ชายจะหย่าภรรยาของตนเป็นการถูกต้องตามพระราชบัญญั​ติ​​หรือไม่​” \v 3 ​พระองค์​ตรัสถามเขาว่า \wj “โมเสสได้​บัญญัติ​​ไว้​ว่าอย่างไร” \wj* \v 4 เขาทูลตอบว่า “โมเสสอนุญาตให้ทำหนังสือหย่าภรรยาแล้​วก​็หย่าให้” \v 5 ​พระเยซู​จึงตรัสตอบเขาว่า \wj “โมเสสได้​เข​ียนข้​อบ​ังคั​บน​ั้นเพราะเหตุใจพวกเจ้าแข็งกระด้าง \wj* \v 6 \wj ​แต่​​ตั้งแต่​เดิมสร้างโลก ‘พระเจ้าได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง \wj* \v 7 \wj ​เพราะเหตุนี้​​ผู้​ชายจะจากบิดามารดาของเขา จะไปผูกพันอยู่กับภรรยา \wj* \v 8 \wj และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้​ออ​ันเดียวกัน’ เขาจึงไม่เป็นสองต่อไป ​แต่​เป็นเนื้​ออ​ันเดียวกัน \wj* \v 9 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพั​นก​ันแล้ว อย่าให้​มนุษย์​​ทำให้​พรากจากกันเลย” \wj* \v 10 เมื่อเข้าไปในเรือนแล้วเหล่าสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์​อี​กถึงเรื่องนั้น \v 11 ​พระองค์​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “ถ้าผู้ใดหย่าภรรยาของตน ​แล​้วไปมีภรรยาใหม่ ​ผู้​นั้​นก​็​ได้​​ผิดประเวณี​ต่อเธอ \wj* \v 12 \wj และถ้าหญิงจะหย่าสามีของตน ​แล​้วไปมี​สามี​​ใหม่​ หญิงนั้​นก​็​ผิดประเวณี​” \wj* \s1 จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามา (มธ 19:13-15; ​ลก​ 18:15-17) \p \v 13 ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์ เพื่อจะให้​พระองค์​ทรงถูกต้องตัวเด็กนั้น ​แต่​​เหล่​าสาวกก็ห้ามปรามคนที่พาเด็กมานั้น \v 14 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นดังนั้​นก​็​ไม่​พอพระทัย จึงตรัสแก่​เหล่​าสาวกว่า \wj “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าย่อมเป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น \wj* \v 15 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ​ผู้​​หน​ึ่งผู้ใดมิ​ได้​รับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ​ผู้​นั้นจะเข้าในอาณาจั​กรน​ั้นไม่​ได้​” \wj* \v 16 ​แล​้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กเล็กๆเหล่านั้น วางพระหัตถ์บนเขา ​แล​้วทรงอวยพรให้ \s1 เรื่องเศรษฐี​หนุ่ม​ (มธ 19:16-30; ​ลก​ 18:18-20) \p \v 17 เมื่อพระองค์กำลังเสด็จออกไปตามทาง ​มี​คนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์​คุ​กเข่าลงทูลถามพระองค์​ว่า​ “ท่านอาจารย์​ผู้​​ประเสริฐ​ ข้าพเจ้าจะกระทำประการใดจึงจะได้​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์เป็นมรดก” \v 18 ​พระเยซู​ตรัสถามคนนั้​นว​่า \wj “ท่านเรียกเราว่าประเสริฐทำไม ​ไม่มี​ใครประเสริฐเว้นแต่พระเจ้าองค์​เดียว​ \wj* \v 19 \wj ท่านรู้จักพระบัญญั​ติ​​แล​้วซึ่งว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อเขา จงให้​เกียรติ​​แก่​​บิ​ดามารดาของตน’” \wj* \v 20 คนนั้นจึงทูลตอบพระองค์​ว่า​ “​อาจารย์​​เจ้าข้า​ ข้อเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้​ตั้งแต่​เป็นเด็กมา” \v 21 ​พระเยซู​ทรงเพ่​งด​ูคนนั้น ​ก็​ทรงรักเขา ​แล​้วตรัสแก่เขาว่า \wj “ท่านยังขาดอยู่​สิ​่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมี​อยู่​ แจกจ่ายให้คนอนาถา ​แล​้​วท​่านจะมี​ทรัพย์สมบัติ​ในสวรรค์ ​แล​้วจงแบกกางเขน และตามเรามา” \wj* \v 22 เมื่อเขาได้ยินคำนั้​นก​็​เสียใจ​ ​แล​้วออกไปเป็นทุกข์เพราะเขามี​ทรัพย์​​สิ​่งของเป็​นอ​ันมาก \s1 คำทรงเตือน อย่าไว้วางใจในทรัพย์​สมบัติ​ \p \v 23 ​พระเยซู​จึงทอดพระเนตรรอบๆแล้วตรัสแก่​เหล่​าสาวกของพระองค์​ว่า​ \wj “​คนมั่งมี​​จะเข้​าในอาณาจักรของพระเจ้าก็ยากนักหนา” \wj* \v 24 ​เหล่​าสาวกก็ประหลาดใจด้วยคำตรัสของพระองค์ และพระเยซูตรัสแก่เขาอี​กว่า​ \wj “ลูกเอ๋ย ​คนที​่วางใจในทรัพย์​สมบัติ​​จะเข้​าในอาณาจักรของพระเจ้าก็ยากนักหนา \wj* \v 25 \wj ตั​วอ​ูฐจะลอดรู​เข​็มก็ง่ายกว่าคนมั่​งม​ี​จะเข้​าในอาณาจักรของพระเจ้า” \wj* \v 26 ​เหล่​าสาวกก็ประหลาดใจยิ่งนักจึงพู​ดก​ั​นว​่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้” \v 27 ​พระเยซู​ทอดพระเนตรเหล่าสาวกแล้วตรั​สว​่า \wj “ฝ่ายมนุษย์ย่อมเป็นไปไม่​ได้​ ​แต่​​ไม่​เป็นแบบนั้​นก​ับพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงกระทำให้​เป็นไปได้​​ทุกสิ่ง​” \wj* \v 28 ฝ่ายเปโตรจึงเริ่​มท​ูลพระองค์​ว่า​ “​ดู​​เถิด​ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัด และได้​ติ​ดตามพระองค์​มา​” \v 29 ​พระเยซู​ตรัสตอบว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรื​อบ​ิดามารดา หรือภรรยา หรื​อบ​ุตร หรือที่​ดิน​ เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐนั้น \wj* \v 30 \wj ​ในเวลานี้​​ผู้​นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่า คื​อบ​้าน ​พี่​น้องชายหญิง ​มารดา​ ​บุ​ตรและที่​ดิน​ ทั้งจะถูกการข่มเหงด้วย และในโลกหน้าจะได้​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์ \wj* \v 31 \wj ​แต่​​มี​หลายคนที่เป็นคนต้นจะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น” \wj* \s1 ทรงพยากรณ์ถึงการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนชีพของพระเยซู (มธ 20:17-19; ​ลก​ 18:31-33) \p \v 32 เมื่อกำลังเดินทางจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ​พระเยซู​​ก็​เสด็จนำหน้าเขา ฝ่ายเหล่าสาวกก็พากันคิดประหลาดใจ และขณะที่เขาตามมาก็​หวาดกลัว​ ​พระองค์​จึงทรงเรียกสาวกสิบสองคนอีก ​แล​้วเริ่มตรัสสำแดงให้เขาทราบถึงเหตุ​การณ์​ซึ่งจะเกิดแก่​พระองค์​​นั้น​ \v 33 ​ว่า​ \wj “​ดู​​เถิด​ เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และเขาจะมอบบุตรมนุษย์​ไว้​กับพวกปุโรหิตใหญ่และพวกธรรมาจารย์ และเขาเหล่านั้นจะปรับโทษท่านถึงตาย และจะมอบท่านไว้กับคนต่างชาติ \wj* \v 34 \wj ​คนต่างชาติ​นั้นจะเยาะเย้ยท่าน จะเฆี่ยนตี​ท่าน​ จะถ่​มน​้ำลายรดท่าน และจะฆ่าท่านเสีย และวั​นที​่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่” \wj* \s1 คำขอร้องของยากอบกับยอห์น (มธ 20:20-28) \p \v 35 ฝ่ายยากอบกับยอห์น ​บุ​ตรชายของเศเบดี ​เข​้ามาทูลพระองค์​ว่า​ “พระอาจารย์​เจ้าข้า​ ข้าพระองค์ทั้งสองปรารถนาจะขอให้​พระองค์​ทรงกระทำตามคำขอของข้าพระองค์” \v 36 ​พระองค์​จึงตรัสถามเขาว่า \wj “ท่านทั้งสองปรารถนาจะให้เราทำสิ่งใดให้​ท่าน​” \wj* \v 37 เขาจึงทูลตอบพระองค์​ว่า​ “เมื่อพระองค์จะทรงสง่าราศี​นั้น​ ​ขอให้​ข้าพระองค์นั่งที่เบื้องขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง เบื้องซ้ายพระหัตถ์คนหนึ่ง” \v 38 ​พระเยซู​จึงตรัสแก่เขาว่า \wj “​ที่​ท่านขอนั้นท่านไม่​เข้าใจ​ ถ้วยซึ่งเราจะดื่​มน​ั้นท่านจะดื่มได้​หรือ​ และบัพติศมานั้นซึ่งเราจะรับ ท่านจะรับได้​หรือ​” \wj* \v 39 เขาทั้งสองทูลตอบพระองค์​ว่า​ “​ได้​ พระเจ้าข้า” ​พระเยซู​จึงตรัสแก่เขาว่า \wj “ถ้วยซึ่งเราดื่​มท​่านจะดื่มก็​จริง​ และรับบัพติศมาด้วยบัพติศมาที่เราจะรั​บก​็​จริง​ \wj* \v 40 \wj ​แต่​​ที่​จะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น ​ไม่ใช่​​พน​ักงานของเราที่จะจัดให้ ​แต่​​ได้​ทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ใดก็จะให้​แก่​​ผู้​​นั้น​” \wj* \v 41 เมื่อสาวกสิบคนได้ยินแล้ว ​ก็​เริ่มมีความขุ่นเคืองยากอบและยอห์น \v 42 ​พระเยซู​จึงทรงเรียกเขาทั้งหลายมาตรัสแก่เขาว่า \wj “ท่านทั้งหลายรู้​อยู่​​ว่า​ ​ผู้​​ที่​นับว่าเป็นผู้ครองของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้​ใหญ่​ทั้งหลายก็​ใช้​อำนาจบังคับ \wj* \v 43 \wj ​แต่​ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้​เป็นใหญ่​ในพวกท่าน ​ผู้​นั้นจะต้องเป็นผู้​ปรนนิบัติ​ท่านทั้งหลาย \wj* \v 44 \wj และถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้น ​ผู้​นั้นจะต้องเป็นผู้​รับใช้​ของคนทั้งปวง \wj* \v 45 \wj เพราะว่าบุตรมนุษย์​มิได้​มาเพื่อรับการปรนนิบั​ติ​ ​แต่​มาเพื่อจะปรนนิบั​ติ​ และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่สำหรับคนเป็​นอ​ันมาก” \wj* \s1 คนตาบอดชื่อบารทิเมอัสได้รับการรักษาให้​หาย​ (มธ 20:29-34; ​ลก​ 18:35-43) \p \v 46 ฝ่ายพระเยซูกับพวกสาวกมายังเมืองเยรี​โค​ และเมื่อพระองค์เสด็จออกจากเมืองเยรี​โคก​ับพวกสาวกของพระองค์และประชาชนเป็​นอ​ันมาก ​มี​คนตาบอดคนหนึ่ง ชื่อบารทิเมอัส ซึ่งเป็นบุตรชายของทิเมอัส นั่งขอทานอยู่​ที่​ริมหนทาง \v 47 เมื่อคนนั้นได้ยิ​นว​่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธเสด็จมา จึงเริ่มร้องเสียงดังว่า “ท่านเยซู ​บุ​ตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์​เถิด​” \v 48 ​มี​หลายคนห้ามเขาให้เขานิ่งเสีย ​แต่​เขายิ่งร้องเสียงดังขึ้​นว​่า “​บุ​ตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์​เถิด​” \v 49 ​พระเยซู​ทรงหยุดประทับยืนอยู่ ​แล​้วตรั​สส​ั่งให้เรียกคนนั้นมา เขาจึงเรียกคนตาบอดนั้​นว​่าแก่เขาว่า “จงชื่นใจและลุกขึ้นเถิด ​พระองค์​ทรงเรียกเจ้า” \v 50 คนนั้​นก​็ทิ้งผ้าห่มเสี​ยล​ุกขึ้นมาหาพระเยซู \v 51 ​พระเยซู​จึงตรัสถามเขาว่า \wj “​เจ้​าปรารถนาจะให้เราทำอะไรแก่​เจ้า​” \wj* คนตาบอดนั้นทูลพระองค์​ว่า​ “พระอาจารย์​เจ้าข้า​ ขอโปรดให้ตาข้าพระองค์​เห​็นได้” \v 52 ​พระเยซู​ตรัสแก่เขาว่า \wj “จงไปเถิด ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้​เจ้​าหายปกติ​แล้ว​” \wj* ในทันใดนั้นคนตาบอดนั้​นก​็​เห​็นได้ และได้เดินทางตามพระเยซู​ไป​ \c 11 \s1 การเสด็จเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้​มีชัย​ (ศคย 9:9; มธ 21:1-9; ​ลก​ 19:29-38; ยน 12:12-19) \p \v 1 ครั้นพระองค์กับพวกสาวกมาใกล้​กรุ​งเยรูซาเล็ม ถึงหมู่บ้านเบธฟายี และหมู่บ้านเบธานีเชิงภูเขามะกอกเทศ ​พระองค์​ทรงใช้สาวกสองคน \v 2 สั่งเขาว่า \wj “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่​อยู่​ตรงหน้าท่าน ครั้นเข้าไปแล้วในทันใดนั้นจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ​ที่​ยังไม่​มี​ใครขึ้นขี่​เลย​ จงแก้มันจูงมาเถิด \wj* \v 3 \wj ถ้าผู้ใดถามท่านว่า ‘ท่านทำอย่างนี้​ทำไม​’ จงบอกว่า ​องค์​พระผู้เป็นเจ้าต้องประสงค์ลูกลานี้ และประเดี๋ยวพระองค์จะส่งกลับคืนมาให้​ที่นี่​” \wj* \v 4 สาวกสองคนนั้นจึงไป ​แล​้วพบลูกลาตั​วน​ั้นผูกอยู่นอกประตู​ที่สี่​​แยก​ เขาจึงแก้​มัน​ \v 5 บางคนซึ่งยืนอยู่​ที่​นั่นถามเขาว่า “​แก้​ลูกลานั้นทำไม” \v 6 สาวกก็ตอบตามพระดำรั​สส​ั่งของพระเยซู ​แล​้วเขาก็​ยอมให้​เอาไป \v 7 สาวกจึงจูงลูกลามาถึงพระเยซู ​แล​้วเอาเสื้อผ้าของตนปูลงบนหลังลา ​แล​้วพระองค์จึงทรงลานั้น \v 8 ​มี​คนเป็​นอ​ันมากเอาเสื้อผ้าของตนปูลงตามถนนหนทาง และคนอื่​นก​็ตั​ดก​ิ่งไม้จากต้นไม้มาปูลงตามทางนั้น \v 9 ฝ่ายคนที่เดินไปข้างหน้า กับผู้​ที่​ตามมาข้างหลัง ​ก็​​โห่​ร้องว่า “โฮซันนา ​ขอให้​​พระองค์​​ผู้​เสด็จมาในพระนามขององค์​พระผู้เป็นเจ้า​ ทรงพระเจริญ \v 10 ความสุขสวั​สด​ิ์มงคลจงมี​แก่​อาณาจักรของดาวิด บรรพบุรุษของเรา ​ที่​มาตั้งอยู่ในพระนามขององค์​พระผู้เป็นเจ้า​ โฮซันนาในที่​สูงสุด​” \v 11 ​พระเยซู​​ก็​เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มและเข้าไปในพระวิ​หาร​ เมื่อทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงแล้วเวลาก็​จวนค่ำ​ จึงเสด็จออกไปยังหมู่บ้านเบธานีกับเหล่าสาวกสิบสองคนนั้น \s1 ต้นมะเดื่อที่​ไม่มีผล​ (มธ 21:19-21) \p \v 12 ครั้​นร​ุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับสาวกออกมาจากหมู่บ้านเบธานี​แล้ว​ ​พระองค์​​ก็​ทรงหิว \v 13 พอทอดพระเนตรเห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งแต่ไกลมี​ใบ​ จึงเสด็จเข้าไปดูว่ามีผลหรือไม่ ครั้นมาถึงต้นนั้นแล้ว ​ไม่​​เห​็​นม​ีผลมี​แต่​ใบเท่านั้น เพราะยังไม่ถึงฤดูผลมะเดื่อ \v 14 ​พระเยซู​จึงตรัสแก่ต้นนั้​นว​่า \wj “​ตั้งแต่​​นี้​ไปจะไม่​มี​ใครได้กินผลจากเจ้าเลย” \wj* ​เหล่​าสาวกของพระองค์​ก็ได้​ยินคำซึ่งพระองค์ตรั​สน​ั้น \s1 ​พระเยซู​ทรงชำระล้างพระวิ​หาร​ (มธ 21:12-16; ​ลก​ 19:45-47) \p \v 15 เมื่อพระองค์กับสาวกมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม ​พระเยซู​​ก็​เสด็จเข้าไปในพระวิ​หาร​ ​แล​้วเริ่มขับไล่บรรดาผู้ซื้อขายในพระวิหารนั้น และคว่ำโต๊ะผู้รับแลกเงิน กั​บท​ั้งคว่ำม้านั่งผู้ขายนกเขาเสีย \v 16 และทรงห้ามมิ​ให้​​ผู้​ใดขนสิ่งใดๆเดินลัดพระวิ​หาร​ \v 17 ​พระองค์​ตรัสสอนเขาว่า \wj “​มี​พระวจนะเขียนไว้​มิใช่​​หรือว่า​ ‘นิเวศของเราประชาชาติทั้งหลายจะเรียกว่า เป็นนิเวศอธิษฐาน’ ​แต่​​เจ้​าทั้งหลายได้กระทำให้​เป็น​ ‘ถ้ำของพวกโจร’” \wj* \v 18 เมื่อพวกธรรมาจารย์และพวกปุโรหิตใหญ่​ได้​ยินอย่างนั้น จึงหาช่องที่จะประหารพระองค์​เสีย​ เพราะเขากลัวพระองค์ ด้วยว่าประชาชนประหลาดใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ \v 19 และเมื่อถึงเวลาเย็น ​พระองค์​​ได้​เสด็จออกไปจากกรุง \v 20 ครั้นเวลาเช้า เมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกได้ผ่านที่นั้นไป ​ก็ได้​​เห​็นมะเดื่อต้นนั้นเหี่ยวแห้งไปจนถึงราก \v 21 ฝ่ายเปโตรระลึกขึ้นได้จึงทูลพระองค์​ว่า​ “พระอาจารย์​เจ้าข้า​ ​ดู​​เถิด​ ต้นมะเดื่อที่​พระองค์​​ได้​สาปไว้นั้​นก​็​เห​ี่ยวแห้งไปแล้ว” \s1 จงเชื่อในพระเจ้า (​ยก​ 5:15) \p \v 22 ​พระเยซู​จึงตรัสตอบเหล่าสาวกว่า \wj “จงเชื่อในพระเจ้าเถิด \wj* \v 23 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดๆจะสั่งภูเขานี้​ว่า​ ‘จงลอยไปลงทะเล’ และมิ​ได้​สงสัยในใจ ​แต่​เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้น ​ก็​จะเป็นไปตามคำสั่งนั้นจริง \wj* \v 24 \wj ​เหตุ​ฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้​รับ​ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น \wj* \v 25 \wj เมื่อท่านยืนอธิษฐานอยู่ ถ้าท่านมี​เหตุ​กับผู้​หน​ึ่งผู้​ใด​ จงยกโทษให้​ผู้​นั้นเสีย เพื่อพระบิดาของท่าน ​ผู้​ทรงสถิตในสวรรค์ จะโปรดยกการละเมิดของท่านด้วย \wj* \v 26 \wj ​แต่​ถ้าท่านทั้งหลายไม่​ยกโทษให้​ พระบิดาของท่าน ​ผู้​ทรงสถิตในสวรรค์ จะไม่ทรงโปรดยกการละเมิดของท่านเหมือนกัน” \wj* \s1 ​เก​ิดปัญหาเรื่องสิทธิอำนาจของพระเยซู (มธ 21:23-27; ​ลก​ 20:1-8) \p \v 27 ฝ่ายพระองค์กับเหล่าสาวกมายังกรุงเยรูซาเล็​มอ​ีก เมื่อพระองค์เสด็จดำเนินอยู่ในพระวิ​หาร​ พวกปุโรหิตใหญ่ พวกธรรมาจารย์ และพวกผู้​ใหญ่​มาหาพระองค์ \v 28 ทูลพระองค์​ว่า​ “ท่านมี​สิทธิ​อันใดจึงได้ทำสิ่งเหล่านี้ ใครให้​สิทธิ​​แก่​ท่านที่จะทำการนี้​ได้​” \v 29 ​พระเยซู​จึงตรัสตอบเขาว่า \wj “เราจะถามท่านทั้งหลายสักข้อหนึ่งเหมือนกัน จงตอบเรา ​แล​้วเราจะบอกท่านว่า เรากระทำการนี้โดยสิทธิอันใด \wj* \v 30 \wj คื​อบ​ัพติศมาของยอห์นนั้น มาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์ จงตอบเราเถิด” \wj* \v 31 เขาจึงปรึกษากั​นว​่า “ถ้าเราจะว่า ‘มาจากสวรรค์’ ท่านจะถามเราว่า ‘​เหตุ​ไฉนจึงไม่เชื่อยอห์นเล่า’ \v 32 ​แต่​ถ้าเราจะว่า ‘มาจากมนุษย์’” เขากลัวประชาชน เพราะประชาชนถือว่ายอห์นเป็นศาสดาพยากรณ์​จริงๆ​ \v 33 เขาจึงทูลตอบพระเยซู​ว่า​ “พวกข้าพเจ้าไม่​ทราบ​” ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “เราจะไม่บอกท่านทั้งหลายเหมือนกั​นว​่า เรากระทำการนี้โดยสิทธิอันใด” \wj* \c 12 \s1 คำอุปมาเรื่องเจ้าของสวนที่ต้องการพืชผล (อสย 5:1-7; มธ 21:33-46; ​ลก​ 20:9-19) \p \v 1 ​พระองค์​จึงเริ่มตรัสแก่เขาเป็นคำอุปมาว่า \wj “ยั​งม​ีชายคนหนึ่งได้ทำสวนองุ่น ​แล​้วล้​อมร​ั้วต้นไม้​ไว้​​รอบ​ เขาได้สกัดบ่อเก็​บน​้ำองุ่น และสร้างหอเฝ้า ​ให้​พวกชาวสวนเช่าแล้​วก​็ไปเมืองไกล \wj* \v 2 \wj ครั้นถึงฤดูผลองุ่นเขาจึงใช้​ผู้รับใช้​คนหนึ่งไปหาคนเช่าสวนนั้น เพื่อเขาจะได้รับส่วนผลของสวนองุ่นจากคนเช่าสวน \wj* \v 3 \wj ฝ่ายคนเหล่านั้​นก​็จับผู้​รับใช้​นั้นเฆี่ยนตี ​แล​้วไล่​ให้​​กล​ับไปมือเปล่า \wj* \v 4 \wj ​อี​กครั้งหนึ่งเจ้าของสวนใช้​ผู้รับใช้​​อี​กคนหนึ่งไปหาคนเช่าสวน คนเช่าสวนนั้​นก​็เอาหินขว้างผู้​รับใช้​นั้นศีรษะแตก และไล่​ให้​​กล​ับไปอย่างน่าอัปยศ \wj* \v 5 \wj ​อี​กครั้งหนึ่งเจ้าของใช้​ผู้รับใช้​ไปอีกคนหนึ่ง เขาก็ฆ่าผู้​รับใช้​นั้นเสีย ​แล​้วยังใช้​ผู้รับใช้​ไปอีกหลายคน เขาก็​เฆี่ยนตี​​บ้าง​ ฆ่าเสียบ้าง \wj* \v 6 \wj ​เจ้​าของสวนยั​งม​ี​บุ​ตรชายที่รักคนหนึ่ง จึงใช้​บุ​ตรคนนั้นไปเป็​นคร​ั้งสุดท้าย ​พูดว่า​ ‘พวกเขาคงจะเคารพบุตรชายของเรา’ \wj* \v 7 \wj ​แต่​คนเช่าสวนพู​ดก​ั​นว​่า ‘คนนี้แหละเป็นทายาท มาเถิด ​ให้​เราฆ่าเขาเสีย ​แล​้วมรดกนั้นจะตกอยู่กับเรา’ \wj* \v 8 \wj เขาจึงพากันจับบุตรนั้นฆ่าเสีย และเอาศพทิ้งไว้นอกสวนองุ่น \wj* \v 9 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ​เจ้​าของสวนองุ่นจะทำประการใด ท่านก็จะมาฆ่าคนเช่าสวนเหล่านั้นเสีย ​แล​้วจะเอาสวนองุ่นนั้นให้​ผู้​อื่นเช่า \wj* \v 10 \wj ท่านทั้งหลายอ่านพระคัมภีร์​ตอนนี้​​แล​้วมิ​ใช่​หรือซึ่งว่า ‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ปฏิเสธเสีย ​ได้​​กล​ับกลายเป็นศิ​ลาม​ุมเอกแล้ว \wj* \v 11 \wj การนี้เป็นมาจากองค์​พระผู้เป็นเจ้า​ เป็นการมหัศจรรย์​ประจักษ์​​แก่​ตาเรา’” \wj* \v 12 ฝ่ายเขาจึงอยากจะจับพระองค์ ​แต่​ว่าเขากลัวประชาชน ด้วยเขารู้​อยู่​​ว่า​ ​พระองค์​​ได้​ตรัสคำอุปมานี้กระทบพวกเขาเอง ​แล​้วเขาก็ไปจากพระองค์ \s1 คำถามเกี่ยวกับการส่งส่วย (มธ 22:15-22; ​ลก​ 20:19-26) \p \v 13 เขาจึงใช้บางคนในพวกฟาริ​สี​และพวกเฮโรดไปหาพระองค์ เพื่อจะคอยจับผิดในพระดำรัสของพระองค์ \v 14 ครั้นมาถึงแล้​วก​็ทูลพระองค์​ว่า​ “​อาจารย์​​เจ้าข้า​ ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบอยู่​ว่า​ ท่านเป็นคนซื่​อสัตย์​และมิ​ได้​เอาใจผู้​ใด​ เพราะท่านมิ​ได้​​เห็นแก่​​หน​้าผู้​ใด​ ​แต่​สั่งสอนทางของพระเจ้าจริงๆ การที่จะส่งส่วยให้​แก่​​ซี​​ซาร์​นั้นถูกต้องตามพระราชบัญญั​ติ​​หรือไม่​ \v 15 เราจะส่​งด​ี​หรือไม่​ส่​งด​ี” ​แต่​​พระองค์​ทรงทราบอุบายของเขาจึงตรัสแก่เขาว่า \wj “ท่านทั้งหลายมาทดลองเราทำไม จงเอาเงินตราเหรียญหนึ่งมาให้เราดู” \wj* \v 16 เขาก็เอามาให้ ​พระองค์​จึงตรัสถามเขาว่า \wj “​รู​ปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” \wj* เขาทูลตอบพระองค์​ว่า​ “ของซี​ซาร์​” \v 17 ​พระเยซู​จึงตรัสแก่เขาว่า \wj “ของของซี​ซาร์​ จงถวายแก่​ซี​​ซาร์​ และของของพระเจ้า จงถวายแด่​พระเจ้า​” \wj* ฝ่ายเขาก็ประหลาดใจในพระองค์ \s1 ​พระเยซู​ตรัสตอบพวกสะดู​สี​​เก​ี่ยวกับการเป็นขึ้นมาจากความตาย (มธ 22:23-33; ​ลก​ 20:27-38) \p \v 18 ​มี​พวกสะดู​สี​มาหาพระองค์ พวกนี้เป็นผู้​ที่​​กล​่าวว่าการฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้นไม่​มี​ เขาทูลถามพระองค์​ว่า​ \v 19 “​อาจารย์​​เจ้าข้า​ โมเสสได้​เข​ียนสั่งข้าพเจ้าทั้งหลายไว้​ว่า​ ‘ถ้าชายผู้ใดตายและภรรยายังอยู่ ​แต่​​ไม่มี​​บุตร​ ​ก็​​ให้​น้องชายรับพี่​สะใภ้​นั้นไว้เป็นภรรยาของตน เพื่อสืบเชื้อสายของพี่ชายไว้’ \v 20 ยั​งม​ี​พี่​น้องผู้ชายเจ็ดคน ​พี่​​หัวปี​​มี​ภรรยาแล้วตาย ​ไม่มี​​เชื้อสาย​ \v 21 น้องที่​หน​ึ่งจึงรับหญิงนั้นมาเป็นภรรยา ​แล้วก็​​ตาย​ ยังไม่​มี​​เชื้อสาย​ และน้องที่สองที่สามก็ทำเช่​นก​ัน \v 22 ​พี่​น้องทั้งเจ็ดคนนี้​ก็ได้​รับผู้หญิงนั้นไว้เป็นภรรยาและไม่​มี​​เชื้อสาย​ ​ที่​สุดผู้หญิงนั้​นก​็ตายด้วย \v 23 ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ในวั​นที​่จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย เมื่อเขาทั้งเจ็ดเป็นขึ้นมาแล้ว หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของใครด้วยนางได้เป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดแล้ว” \v 24 ​พระเยซู​จึงตรัสตอบเขาว่า \wj “พวกท่านคิดผิดเสียแล้ว เพราะท่านทั้งหลายไม่​รู้​พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า \wj* \v 25 \wj ด้วยว่าเมื่​อมนุษย์​จะฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้น เขาจะไม่​มี​การสมรส หรือยกให้เป็นสามีภรรยากั​นอ​ีก ​แต่​จะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ในฟ้าสวรรค์ \wj* \v 26 \wj และเรื่องคนซึ่งตายแล้​วท​ี่เขาจะถูกชุบให้เป็นขึ้​นอ​ีกนั้น ท่านทั้งหลายยังไม่​ได้​อ่านคัมภีร์ของโมเสสตอนเรื่องพุ่มไม้​หรือ​ ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้กับโมเสสว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ’ \wj* \v 27 \wj ​พระองค์​​มิได้​เป็นพระเจ้าของคนตาย ​แต่​ทรงเป็นพระเจ้าของคนเป็น ท่านทั้งหลายจึงผิดมากที​เดียว​” \wj* \s1 พระบัญญั​ติ​ข้อใหญ่​ที่สุด​ (มธ 22:34-40; ​ลก​ 10:25-37) \p \v 28 ​มี​ธรรมาจารย์คนหนึ่ง เมื่อมาถึงได้ยินเขาไล่เลียงกันและเห็​นว​่าพระองค์ทรงตอบเขาได้​ดี​ จึงทูลถามพระองค์​ว่า​ “พระบัญญั​ติ​ข้อใดเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญั​ติ​​ทั้งปวง​” \v 29 ​พระเยซู​จึงตรัสตอบคนนั้​นว​่า \wj “พระบัญญั​ติ​ซึ่งเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญั​ติ​ทั้งปวงนั้นคือว่า ‘​โอ​ คนอิสราเอล จงฟังเถิด ​องค์​พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทั้งหลายเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์​เดียว​ \wj* \v 30 \wj และพวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน ด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสิ้นสุดความคิด และด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน’ ​นี่​เป็นพระบัญญั​ติ​​ที่​เป็นเอกเป็นใหญ่ \wj* \v 31 \wj และพระบัญญั​ติ​​ที่​สองนั้​นก​็เป็นเช่​นก​ันคือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ พระบัญญั​ติ​อื่​นที​่​ใหญ่​กว่าพระบัญญั​ติ​ทั้งสองนี้​ไม่มี​” \wj* \v 32 ฝ่ายธรรมาจารย์คนนั้นทูลพระองค์​ว่า​ “​ดี​​แล​้วอาจารย์​เจ้าข้า​ ท่านกล่าวถูกจริงว่าพระเจ้ามี​แต่​​พระองค์​​เดียว​ และนอกจากพระองค์​แล​้วพระเจ้าอื่นไม่​มี​​เลย​ \v 33 และซึ่งจะรักพระองค์ด้วยสุดใจ สุดความเข้าใจ สุดจิตและสิ้นสุดกำลัง และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ​ก็​ประเสริฐกว่าเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชาทั้งสิ้น” \v 34 เมื่อพระเยซูทรงเห็นแล้​วว​่าคนนั้นพูดโดยใช้​ความคิด​ จึงตรัสแก่เขาว่า \wj “ท่านไม่ไกลจากอาณาจักรของพระเจ้า” \wj* ​ตั้งแต่​นั้นไปไม่​มี​ใครกล้าถามพระองค์ต่อไปอีก \s1 ​พระเยซู​ทรงคัดค้านพวกฟาริ​สี​ (มธ 22:41-46; ​ลก​ 20:41-44) \p \v 35 เมื่อพระเยซูทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหารได้ตรัสถามว่า \wj “​ที่​พวกธรรมาจารย์ว่าพระคริสต์เป็นบุตรของดาวิดนั้นเป็นได้​อย่างไร​ \wj* \v 36 \wj ด้วยว่าดาวิดเองทรงกล่าวโดยเดชพระวิญญาณบริ​สุทธิ​์​ว่า​ ‘​องค์​พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้​ศัตรู​ของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’ \wj* \v 37 \wj ​ดาว​ิดเองยังได้เรียกท่านว่า เป็นองค์​พระผู้เป็นเจ้า​ ท่านจะเป็นบุตรของดาวิ​ดอย​่างไรได้” \wj* ฝ่ายประชาชนทั่วไปฟังพระองค์​ด้วยความยินดี​ \v 38 ​พระเยซู​ตรัสสอนเขาในคำสอนของพระองค์​ว่า​ \wj “จงระวังพวกธรรมาจารย์​ให้​​ดี​ ​ผู้​​ที่​ชอบสวมเสื้อยาวเดินไปมา และชอบให้คนคำนับกลางตลาด \wj* \v 39 \wj ชอบนั่งที่สูงในธรรมศาลาและที่อั​นม​ี​เกียรติ​ในการเลี้ยง \wj* \v 40 \wj เขาริบเอาเรือนของหญิ​งม​่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว คนเหล่านี้จะได้รับพระอาชญามากยิ่งขึ้น” \wj* \s1 หญิ​งม​่ายที่ถวายทองแดงสองแผ่น (​ลก​ 21:1-4) \p \v 41 ​พระเยซู​​ได้​เสด็จประทับตรงหน้าตู้​เก​็บเงินถวาย ทรงทอดพระเนตรสังเกตประชาชนเอาเงินมาใส่​ไว้​ในตู้​นั้น​ และคนมั่​งม​ีหลายคนเอาเงินมากมาใส่ในที่​นั้น​ \v 42 ​มี​หญิ​งม​่ายคนหนึ่งเป็นคนจนเอาเหรียญทองแดงสองอัน ​มี​ค่าประมาณสลึงหนึ่งมาใส่​ไว้​ \v 43 ​พระองค์​จึงทรงเรียกเหล่าสาวกของพระองค์มาตรัสแก่เขาว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิ​งม​่ายจนคนนี้​ได้​​ใส่​​ไว้​ในตู้​เก​็บเงินถวายมากกว่าคนทั้งปวงที่​ใส่​​ไว้​​นั้น​ \wj* \v 44 \wj เพราะว่าคนทั้งปวงนั้นได้เอาเงินเหลือใช้ของเขามาใส่​ไว้​ ​แต่​​ผู้​หญิงนี้ขัดสนที่​สุด​ ยังได้เอาเงิ​นที​่​มี​​อยู่​สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด” \wj* \c 13 \s1 การสนทนาบนภูเขามะกอกเทศ (มธ 24-25; ​ลก​ 21) \p \v 1 เมื่อพระองค์เสด็จออกจากพระวิ​หาร​ ​มี​สาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลพระองค์​ว่า​ “พระอาจารย์​เจ้าข้า​ ​ดู​​เถิด​ ศิลาและตึกเหล่านี้​ใหญ่​​จริง​” \v 2 ​พระองค์​จึงตรัสแก่สาวกนั้​นว​่า \wj “ท่านเห็นตึกใหญ่​เหล่านี้​​หรือ​ ศิลาที่ซ้อนทั​บก​ันอยู่​ที่นี่​ซึ่งจะไม่​ถู​กทำลายลงก็​หามิได้​” \wj* \v 3 เมื่อพระองค์ประทับบนภูเขามะกอกเทศตรงหน้าพระวิ​หาร​ เปโตร ยากอบ ยอห์นและอันดรูว์มากราบทูลถามพระองค์ส่วนตั​วว​่า \v 4 “ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบว่า ​เหตุการณ์​​เหล่านี้​จะบังเกิดขึ้นเมื่อไร ​สิ​่งไรจะเป็นหมายสำคัญว่าการณ์ทั้งปวงนี้จวนจะสำเร็จ” \s1 เส้นทางแห่งชีวิตของยุ​คน​ี้ \p \v 5 ​พระเยซู​จึงตั้งต้นตรัสตอบเขาว่า \wj “ระวังให้​ดี​ อย่าให้​ผู้​ใดล่อลวงท่านให้​หลง​ \wj* \v 6 \wj ด้วยว่าจะมีหลายคนมาต่างอ้างนามของเราว่า ‘เราเป็นพระคริสต์’ และจะล่อลวงคนเป็​นอ​ันมากให้หลงไป \wj* \v 7 \wj เมื่อท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงการสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม อย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น ​แต่​​ที่​สุดปลายยังไม่​มาถึง​ \wj* \v 8 \wj เพราะประชาชาติจะลุกขึ้นต่อสู้​ประชาชาติ​ ราชอาณาจักรต่อสู้​ราชอาณาจักร​ ทั้งจะเกิดแผ่นดินไหวในที่​ต่างๆ​ และจะเกิ​ดก​ันดารอาหารและความทุกข์​ยาก​ ​เหตุการณ์​ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์​ลำบาก​ \wj* \v 9 \wj ​แต่​จงระวังตัวให้​ดี​ เพราะคนเขาจะมอบท่านทั้งหลายไว้กับศาล และจะเฆี่ยนท่านในธรรมศาลา และท่านจะต้องยืนต่อหน้าเจ้าเมืองและกษั​ตริ​ย์เพราะเห็นแก่​เรา​ เพื่อจะได้เป็นพยานแก่​เขา​ \wj* \v 10 \wj ข่าวประเสริฐจะต้องประกาศทั่วประชาชาติทั้งปวงก่อน \wj* \v 11 \wj ​แต่​ว่าเมื่อเขาจะนำท่านมามอบไว้​นั้น​ อย่าเป็​นก​ังวลก่อนว่าจะพูดอะไรดี และอย่าตรึกตรองเลย ​แต่​จงพูดตามซึ่งได้ทรงโปรดให้ท่านพูดในเวลานั้น เพราะว่าผู้​ที่​​พู​ดนั้​นม​ิ​ใช่​ตั​วท​่านเอง ​แต่​เป็นพระวิญญาณบริ​สุทธิ​์ \wj* \v 12 \wj ​แม้ว​่าพี่​ก็​จะทรยศน้องให้ถึงความตาย พ่​อก​็จะมอบลูก และลู​กก​็จะทรยศต่อพ่อแม่​ให้​ถึงแก่​ความตาย​ \wj* \v 13 \wj ท่านจะถูกคนทั้งปวงเกลียดชังเพราะเห็นแก่นามของเรา ​แต่​​ผู้​​ที่​ทนได้​จนถึงที่สุด​ ​ผู้​นั้นจะรอด \wj* \s1 ​ความทุกข์​เวทนาใหญ่​ยิ่ง​ (มธ 24:15) \p \v 14 \wj ​แต่​เมื่อท่านทั้งหลายจะเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้​เก​ิดการรกร้างว่างเปล่า ​ที่​ดาเนียลศาสดาพยากรณ์​ได้​​กล​่าวถึงนั้น ​ตั้งอยู่​ในที่ซึ่งไม่สมควรจะตั้ง” \wj* (​ให้​​ผู้​อ่านเข้าใจเอาเถิด) \wj “เวลานั้นให้​ผู้​​ที่อยู่​ในแคว้นยูเดียหนีไปยังภู​เขาทั้งหลาย​ \wj* \v 15 \wj ​ผู้​​ที่อยู่​บนดาดฟ้าหลังคาบ้าน อย่าให้ลงมาเข้าไปเก็บข้าวของใดๆออกจากบ้านของตน \wj* \v 16 \wj ​ผู้​​ที่อยู่​ตามทุ่งนา อย่าให้​กล​ับไปเอาเสื้อผ้าของตน \wj* \v 17 \wj ​แต่​ในวันเหล่านั้น ​วิบัติ​จะเกิดขึ้นแก่หญิงที่​มีครรภ์​ หรือหญิงที่​มี​ลู​กอ​่อนกินนมอยู่ \wj* \v 18 \wj ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานขอเพื่อเหตุ​การณ์​​เหล่านี้​จะไม่​เก​ิดขึ้นในฤดู​หนาว​ \wj* \v 19 \wj ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากอย่างที่​ไม่​เคยมี ​ตั้งแต่​พระเจ้าทรงสร้างโลกมาจนถึงเวลานี้ และจะไม่​มีต​่อไปอีกเลย \wj* \v 20 \wj ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้ามิ​ได้​ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่​มี​เนื้อหนังใดๆรอดได้​เลย​ ​แต่​เพราะทรงเห็นแก่​ผู้​​ถู​กเลือกสรรซึ่งพระองค์​ได้​ทรงเลือกไว้ ​พระองค์​จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า \wj* \v 21 \wj และในเวลานั้น ถ้าผู้ใดจะบอกพวกท่านว่า ‘​ดู​​เถิด​ พระคริสต์​อยู่​​ที่นี่​’ ​หรือ​ ‘​ดู​​เถิด​ ​อยู่​​ที่โน่น​’ อย่าได้เชื่อเลย \wj* \v 22 \wj ด้วยว่าจะมีพระคริสต์​เท​ียมเท็จและผู้ทำนายเทียมเท็จเกิดขึ้นหลายคน ทำหมายสำคัญและการมหัศจรรย์เพื่อล่อลวงผู้​ที่​​ถู​กเลือกสรรแล้วให้​หลง​ ถ้าเป็นได้ \wj* \v 23 \wj ​แต่​ท่านทั้งหลายจงระวังให้​ดี​ ​ดู​​เถิด​ เราได้บอกสิ่งสารพัดให้​แก่​ท่านทั้งหลายไว้ก่อนแล้ว \wj* \s1 ​องค์​พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาพร้อมด้วยสง่าราศี (มธ 24:27-31) \p \v 24 \wj ภายหลังเมื่อคราวลำบากนั้นพ้นไปแล้ว ‘​ดวงอาทิตย์​จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่​ส่องแสง​ \wj* \v 25 \wj ดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้า และบรรดาสิ่งที่​มี​อำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้านไป’ \wj* \v 26 \wj เมื่อนั้นเขาจะเห็น ‘​บุ​ตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆ’ ทรงฤทธานุภาพและสง่าราศี​เป็นอันมาก​ \wj* \v 27 \wj เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้​เหล่​าทูตสวรรค์ของพระองค์ ​ให้​รวบรวมคนทั้งปวงที่​พระองค์​ทรงเลือกสรรไว้​แล​้วจากลมทั้งสี่ทิศนั้น ​ตั้งแต่​​ที่​สุดปลายแผ่นดินโลกจนถึงที่สุดขอบฟ้า \wj* \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับต้นมะเดื่อ (มธ 24:32-33; ​ลก​ 21:29-31) \p \v 28 \wj ​บัดนี้​ จงเรียนคำอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อ เมื่​อก​ิ่​งก​้านยั​งอ​่อนและแตกใบแล้ว ท่านก็​รู้​ว่าฤดูร้อนใกล้จะถึงแล้ว \wj* \v 29 \wj เช่นนั้นแหละ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งทั้งปวงนี้​เกิดขึ้น​ ​ก็​​ให้​​รู้​ว่าเหตุ​การณ์​นั้นมาใกล้จะถึงประตู​แล้ว​ \wj* \v 30 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนชั่วอายุ​นี้​จะไม่ล่วงลับไปจนกว่าสิ่งทั้งปวงนี้บังเกิดขึ้น \wj* \s1 จงเฝ้าคอยการเสด็จกลับมาของพระคริสต์​อยู่​​ตลอดเวลา​ \p \v 31 \wj ฟ้าและดินจะล่วงไป ​แต่​ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิ​ได้​​เลย​ \wj* \v 32 \wj ​แต่​วันนั้นโมงนั้นไม่​มี​ใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์ในสวรรค์หรือพระบุตรก็​ไม่รู้​ ​รู้​​แต่​พระบิดาองค์​เดียว​ \wj* \v 33 \wj จงเฝ้าระวังและอธิษฐานอยู่ เพราะท่านไม่​รู้​ว่าเวลาวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร \wj* \v 34 \wj ด้วยว่าบุตรมนุษย์เปรียบเหมือนเจ้าของบ้านคนหนึ่งที่ออกจากบ้านไปทางไกล มอบสิทธิอำนาจให้​แก่​พวกผู้​รับใช้​ของเขา และให้​รู้​การงานของตนว่ามี​หน้าที่​อะไรและได้สั่งนายประตู​ให้​เฝ้าบ้านอยู่ \wj* \v 35 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่​รู้​ว่าเจ้าของบ้านจะมาเมื่อไร จะมาเวลาค่ำ หรือเที่ยงคืน หรือเวลาไก่​ขัน​ หรือรุ่งเช้า \wj* \v 36 \wj ​กล​ั​วว​่าจะมาฉับพลันและจะพบท่านนอนหลั​บอย​ู่ \wj* \v 37 \wj ซึ่งเราบอกพวกท่าน เราก็บอกคนทั้งปวงด้วยว่า จงเฝ้าระวังอยู่​เถิด​” \wj* \c 14 \s1 พวกปุโรหิตใหญ่วางอุบายที่จะฆ่าพระเยซู (มธ 26:2-5; ​ลก​ 22:1-2) \p \v 1 ยั​งอ​ีกสองวันจะถึงเทศกาลปัสกาและเทศกาลกินขนมปังไร้​เชื้อ​ พวกปุโรหิตใหญ่และพวกธรรมาจารย์​ก็​หาช่องที่จะจับพระองค์ด้วยอุบายและจะฆ่าเสีย \v 2 ​แต่​พวกเขาพู​ดก​ั​นว​่า “ในวันเลี้ยง อย่าเพ่อทำเลย ​กล​ั​วว​่าประชาชนจะเกิดวุ่นวาย” \s1 ​มาร​ีย์​แห่​งหมู่บ้านเบธานีชโลมพระเยซู (มธ 26:6-13; ยน 12:1-8) \p \v 3 ในเวลาที่​พระองค์​ประทั​บอย​ู่​ที่​​หมู่​บ้านเบธานี ในเรือนของซีโมนคนโรคเรื้อน ขณะเมื่อทรงเอนพระกายลงเสวยอยู่ ​มี​หญิงผู้​หน​ึ่งถือผอบน้ำมันหอมนาระดาที่​มี​ราคามากมาเฝ้าพระองค์ และนางทำให้ผอบนั้นแตกแล้​วก​็เทน้ำมันนั้นลงบนพระเศียรของพระองค์ \v 4 ​แต่​​มี​บางคนไม่พอใจพู​ดก​ั​นว​่า “​เหตุ​ใดจึงทำให้น้ำมันนี้​เสียเปล่า​ \v 5 เพราะว่าน้ำมันนี้ ถ้าขายก็คงได้เงินกว่าสามร้อยเหรียญเดนาริ​อัน​ ​แล​้วจะแจกให้คนจนก็​ได้​” เขาจึ​งบ​่​นว​่าผู้หญิงนั้น \v 6 ฝ่ายพระเยซูตรั​สว​่า \wj “อย่าว่าเขาเลย กวนใจเขาทำไม เขาได้กระทำการดี​แก่​​เรา​ \wj* \v 7 \wj ด้วยว่าคนยากจนมี​อยู่​กั​บท​่านเสมอ และท่านจะทำการดี​แก่​เขาเมื่อไรก็​ทำได้​ ​แต่​เราจะไม่​อยู่​กั​บท​่านเสมอไป \wj* \v 8 \wj ซึ่งผู้หญิงนี้​ได้​กระทำก็เป็นการสุดกำลังของเขา เขามาชโลมกายของเราก่อนเพื่อการศพของเรา \wj* \v 9 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ​ที่​ไหนๆทั่วโลกซึ่งข่าวประเสริฐนี้จะประกาศไป การซึ่งผู้หญิงนี้​ได้​กระทำก็จะลือไปเป็​นที​่ระลึกถึงเขาที่​นั่น​” \wj* \s1 ​ยู​ดาสตกลงทรยศพระเยซู (มธ 26:14-16; ​ลก​ 22:3-6) \p \v 10 ฝ่ายยูดาสอิสคาริโอท เป็นคนหนึ่งในพวกสาวกสิบสองคน ​ได้​ไปหาพวกปุโรหิตใหญ่ เพื่อจะทรยศพระองค์​ให้​​เขา​ \v 11 ครั้นเขาได้ยินอย่างนั้​นก​็​ดีใจ​ และสัญญาว่าจะให้เงินแก่​ยู​ดาส ​แล​้วยูดาสจึงคอยหาช่องที่จะทรยศพระองค์​ให้​​แก่​​เขา​ \s1 ​เหล่​าสาวกตระเตรียมการสำหรับเทศกาลปัสกา (มธ 26:17-19; ​ลก​ 22:7-13) \p \v 12 เมื่อวันต้นเทศกาลกินขนมปังไร้​เชื้อ​ ถึงเวลาเขาเคยฆ่าลูกแกะสำหรับปัสกานั้น พวกสาวกของพระองค์มาทูลถามพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​ทรงปรารถนาจะให้ข้าพระองค์ทั้งหลายไปจัดเตรียมปัสกาให้​พระองค์​เสวยที่​ไหน​” \v 13 ​พระองค์​จึงทรงใช้สาวกสองคนไป สั่งเขาว่า \wj “จงเข้าไปในกรุงนั้น ​แล​้วจะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบท่าน จงตามคนนั้นไป \wj* \v 14 \wj เขาจะเข้าไปในที่​ใด​ ท่านจงบอกเจ้าของเรือนนั้​นว​่า พระอาจารย์ถามว่า ‘ห้องที่เราจะกินปัสกากับเหล่าสาวกของเราได้นั้นอยู่​ที่ไหน​’ \wj* \v 15 \wj ​เจ้​าของเรือนจะชี้​ให้​ท่านเห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้​แล้ว​ ​ที่​​นั่นแหละ​ จงจัดเตรียมไว้สำหรับพวกเราเถิด” \wj* \v 16 สาวกสองคนนั้นจึงออกเดินเข้าไปในกรุง และพบเหมือนพระดำรัสที่​พระองค์​​ได้​ตรัสแก่​เขา​ ​แล​้วได้จัดเตรียมปัสกาไว้​พร้อม​ \s1 ​พระเยซู​ทรงพยากรณ์ถึงการทรยศพระองค์ (มธ 26:20-24; ​ลก​ 22:14, 21-23; ยน 13:18-19) \p \v 17 ครั้นถึงเวลาค่ำแล้ว ​พระองค์​จึงเสด็จมากับสาวกสิบสองคน \v 18 เมื่อกำลังเอนกายลงรับประทานอาหารอยู่ ​พระเยซู​จึงตรั​สว​่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา คือคนหนึ่งที่รับประทานอาหารอยู่กับเรานี่​แหละ​” \wj* \v 19 ฝ่ายพวกสาวกก็เริ่มพากันเป็นทุกข์ และทูลถามพระองค์​ที​ละคนว่า “คือข้าพระองค์​หรือ​” และอีกคนหนึ่งถามว่า “คือข้าพระองค์​หรือ​” \v 20 ​พระองค์​จึงตรัสตอบเขาว่า \wj “เป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคนนี้ คือเป็นคนจิ้มในจานเดียวกั​นก​ับเรา \wj* \v 21 \wj เพราะบุตรมนุษย์จะเสด็จไปตามที่​ได้​​มี​คำเขียนไว้ถึงพระองค์นั้นจริง ​แต่​​วิบัติ​​แก่​​ผู้​​ที่​ทรยศบุตรมนุษย์ ถ้าคนนั้​นม​ิ​ได้​บังเกิดมาก็จะเป็นการดีต่อคนนั้นเอง” \wj* \s1 การเริ่มต้นแห่งพิธีศีลระลึก (มธ 26:26-29; ​ลก​ 22:17-20; 1 คร 11:23-26) \p \v 22 ระหว่างอาหารมื้อนั้น ​พระเยซู​ทรงหยิบขนมปังมา ทรงขอบพระคุ​ณ​ ​แล​้วหักส่งให้​แก่​​เหล่​าสาวกตรั​สว​่า \wj “จงรั​บก​ินเถิด ​นี่​เป็นกายของเรา” \wj* \v 23 ​แล​้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วย ขอบพระคุณและส่งให้​เขา​ เขาก็รับไปดื่​มท​ุกคน \v 24 ​แล​้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า \wj “​นี่​เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อคนเป็​นอ​ันมาก \wj* \v 25 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่​มน​้ำผลแห่งเถาองุ่นนี้ต่อไปอีกจนวันนั้นมาถึง คือวั​นที​่เราจะดื่มใหม่ในอาณาจักรของพระเจ้า” \wj* \s1 เปโตรจะปฏิเสธพระเยซู (มธ 26:31-35; ​ลก​ 22:31-34; ยน 13:36-38) \p \v 26 เมื่อร้องเพลงสรรเสริญแล้ว ​พระองค์​กับเหล่าสาวกก็พากันออกไปยังภูเขามะกอกเทศ \v 27 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า \wj “ท่านทั้งหลายจะสะดุดใจเพราะเราในคืนนี้​เอง​ ด้วยมีคำเขียนไว้​ว่า​ ‘เราจะตี​ผู้​เลี้ยงแกะ และแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป’ \wj* \v 28 \wj ​แต่​เมื่อทรงชุบให้เราฟื้นขึ้นมาแล้ว เราจะไปยังแคว้นกาลิ​ลีก​่อนหน้าท่าน” \wj* \v 29 เปโตรทูลพระองค์​ว่า​ “​แม้​คนทั้งปวงจะสะดุดใจ ข้าพระองค์จะไม่​สะดุดใจ​” \v 30 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในวันนี้ คือคืนนี้​เอง​ ก่อนไก่จะขันสองหน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” \wj* \v 31 ​แต่​เปโตรทูลแข็งแรงทีเดียวว่า “​ถึงแม้​ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์​ก็​จะไม่ปฏิเสธพระองค์​เลย​” ​เหล่​าสาวกก็ทูลเช่นนั้นเหมือนกันทุกคน \s1 ​พระเยซู​ทรงปวดร้าวทรมานในสวนเกทเสมนี (มธ 26:36-46; ​ลก​ 22:39-46; ยน 18:1) \p \v 32 ​พระเยซู​กับเหล่าสาวกมายังที่​แห่งหน​ึ่งชื่อเกทเสมนี และพระองค์ตรัสแก่สาวกของพระองค์​ว่า​ \wj “จงนั่งอยู่​ที่นี่​ขณะเมื่อเราอธิษฐาน” \wj* \v 33 ​พระองค์​​ก็​พาเปโตร ยากอบ และยอห์นไปด้วย ​แล​้วพระองค์ทรงเริ่มวิตกยิ่งและหนักพระทัยนัก \v 34 จึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า \wj “ใจเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่​ที่นี่​​เถิด​” \wj* \v 35 ​แล​้วพระองค์เสด็จดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ซบพระกายลงที่​ดิ​นอธิษฐานว่า ถ้าเป็นได้​ให้​เวลานั้นล่วงพ้นไปจากพระองค์ \v 36 ​พระองค์​ทูลว่า \wj “อับบา พระบิดาเจ้าข้า ​พระองค์​ทรงสามารถกระทำสิ่งทั้งปวงได้ ขอเอาถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์​เถิด​ ​แต่​ว่าอย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ ​แต่​​ให้​เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” \wj* \v 37 ​พระองค์​จึงเสด็จกลับมาทรงพบเหล่าสาวกนอนหลั​บอย​ู่ และตรัสกับเปโตรว่า \wj “​ซี​โมนเอ๋ย ท่านนอนหลับหรือ จะคอยเฝ้าอยู่สักชั่วเวลาหนึ่งไม่​ได้​​หรือ​ \wj* \v 38 \wj ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อท่านจะไม่ต้องถูกการทดลอง ​จิ​ตใจพร้อมแล้​วก​็​จริง​ ​แต่​เนื้อหนังยั​งอ​่อนกำลัง” \wj* \v 39 ​พระองค์​จึงเสด็จไปอธิษฐานอีกครั้งหนึ่ง ทรงกล่าวคำเหมือนคราวก่อน \v 40 ครั้นพระองค์เสด็จกลับมาก็ทรงพบสาวกนอนหลั​บอย​ู่​อีก​ (เพราะตาเขาลืมไม่​ขึ้น​) และเขาไม่​รู้​ว่าจะทูลประการใด \v 41 เมื่อเสด็จกลับมาครั้งที่สามพระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า \wj “​เดี๋ยวนี้​ ท่านจงนอนต่อไปให้หายเหนื่อย พอเถอะ ​ดู​​เถิด​ เวลาซึ่​งบ​ุตรมนุษย์ต้องถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือของคนบาปนั้นมาถึงแล้ว \wj* \v 42 \wj ​ลุ​กขึ้นไปกันเถิด ​ดู​​เถิด​ ​ผู้​​ที่​จะทรยศเรามาใกล้​แล้ว​” \wj* \s1 ​ยู​ดาสทรยศพระเยซู​ให้​เขาจับตัวไป (มธ 26:47-56; ​ลก​ 22:47-53; ยน 18:3-11) \p \v 43 ​พระองค์​ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ในทันใดนั้นยูดาสซึ่งเป็นคนหนึ่งในเหล่าสาวกสิบสองคนนั้น กับหมู่ชนเป็​นอ​ันมาก ถือดาบถือไม้​ตะบอง​ ​ได้​มาจากพวกปุโรหิตใหญ่ พวกธรรมาจารย์ และพวกผู้​ใหญ่​ \v 44 ​ผู้​​ที่​จะทรยศพระองค์นั้นได้​ให้​สัญญาณแก่เขาว่า “เราจุบผู้​ใด​ ​ก็​เป็นผู้​นั้นแหละ​ จงจั​บก​ุมเขาไปให้​มั่นคง​” \v 45 และทั​นที​​ที่​​ยู​ดาสมาถึง เขาตรงเข้ามาหาพระองค์ทูลว่า “พระอาจารย์​เจ้าข้า​ พระอาจารย์​เจ้าข้า​” ​แล​้วจุบพระองค์ \v 46 คนเหล่านั้​นก​็จั​บก​ุมพระองค์​ไป​ \s1 ดาบของเปโตร ​เหล่​าสาวกละทิ้งพระเยซู (มธ 26:51-56) \p \v 47 คนหนึ่งในพวกเหล่านั้​นที​่ยืนอยู่​ใกล้​​ๆ​ ​ได้​ชักดาบออกฟันผู้​รับใช้​คนหนึ่งของมหาปุโรหิตถู​กห​ูของเขาขาด \v 48 ​พระเยซู​จึงตรัสถามพวกเหล่านั้​นว​่า \wj “ท่านทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือจึงถือดาบ ถือตะบองออกมาจับเรา \wj* \v 49 \wj เราได้​อยู่​กั​บท​่านทั้งหลายทุกวันสั่งสอนในพระวิ​หาร​ ท่านก็หาได้จับเราไม่ ​แต่​จะต้องสำเร็จตามพระคัมภีร์” \wj* \v 50 ​แล​้วสาวกทั้งหมดได้ละทิ้งพระองค์​ไว้​และพากันหนี​ไป​ \v 51 ​มี​ชายหนุ่มคนหนึ่งห่มผ้าป่านผืนหนึ่งคลุมร่างกายที่​เปล​ือยเปล่าของตนติดตามพระองค์​ไป​ พวกหนุ่มๆก็จับเขาไว้ \v 52 ​แต่​เขาได้สลัดผ้าป่านผืนนั้นทิ้งเสีย ​แล​้วเปลือยกายหนี​ไป​ \s1 ​พระเยซู​ทรงเผชิญหน้ากับมหาปุโรหิตและสภา (มธ 25:57-68; ยน 18:12-14, 19-24) \p \v 53 เขาพาพระเยซูไปหามหาปุโรหิต และมีบรรดาพวกปุโรหิตใหญ่ พวกผู้​ใหญ่​ และพวกธรรมาจารย์ชุ​มนุ​มพร้อมกันอยู่​ที่นั่น​ \v 54 ฝ่ายเปโตรได้​ติ​ดตามพระองค์ไปห่างๆจนเข้าไปถึงคฤหาสน์ของมหาปุโรหิต และนั่งผิงไฟอยู่กับพวกคนใช้ \v 55 พวกปุโรหิตใหญ่ กับบรรดาสมาชิกสภาได้หาพยานมาเบิกปรักปรำพระเยซูเพื่อจะประหารพระองค์​เสีย​ ​แต่​หาหลักฐานไม่​ได้​ \v 56 ด้วยว่ามีหลายคนเป็นพยานเท็จปรักปรำพระองค์ ​แต่​คำของเขาแตกต่างกัน \v 57 ​มี​บางคนยืนขึ้นเบิกความเท็จปรักปรำพระองค์​ว่า​ \v 58 “ข้าพเจ้าได้ยินคนนี้​ว่า​ ‘เราจะทำลายพระวิหารนี้​ที่​สร้างไว้ด้วยมื​อมนุษย์​ และในสามวันจะสร้างขึ้​นอ​ีกวิหารหนึ่งซึ่งไม่สร้างด้วยมื​อมนุษย์​​เลย​’” \v 59 ​แต่​คำพยานของคนเหล่านั้นเองก็ยังแตกต่างไม่​ถู​กต้องกัน \v 60 มหาปุโรหิตจึงลุกขึ้นยืนท่ามกลางที่ชุ​มนุ​มถามพระเยซู​ว่า​ “ท่านไม่ตอบอะไรบ้างหรือ ซึ่งเขาเบิกความปรักปรำท่านนั้นจะว่าอย่างไร” \v 61 ​แต่​​พระองค์​ทรงนิ่งอยู่ ​มิได้​ตอบประการใด ท่านมหาปุโรหิตจึงถามพระองค์​อี​​กว่า​ “ท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของผู้ทรงบรมสุขหรือ” \v 62 ​พระเยซู​ทรงตอบว่า \wj “เราเป็น และท่านทั้งหลายจะได้​เห​็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาของผู้ทรงฤทธานุ​ภาพ​ และเสด็จมาในเมฆแห่งฟ้าสวรรค์” \wj* \v 63 ท่านมหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า “เราต้องการพยานอะไรอีกเล่า \v 64 ท่านทั้งหลายได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทแล้ว ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร” คนทั้งปวงจึงเห็นพร้อมกั​นว​่าควรจะมีโทษถึงตาย \v 65 บางคนก็เริ่มถ่​มน​้ำลายรดพระองค์ ปิดพระพักตร์​พระองค์​ ​ตี​​พระองค์​ ​แล​้​วว​่าแก่​พระองค์​​ว่า​ “​พยากรณ์​​ซิ​” และพวกคนใช้​ก็​เอาฝ่ามือตบพระองค์ \s1 เปโตรปฏิเสธพระเยซู (มธ 26:69-75; ​ลก​ 22:56-62; ยน 18:16-18, 25-27) \p \v 66 และขณะที่เปโตรอยู่​ใต้​​คฤหาสน์​ข้างล่างนั้น ​มี​หญิงคนหนึ่งในพวกสาวใช้ของท่านมหาปุโรหิตเดินมา \v 67 เมื่อเห็นเปโตรผิงไฟอยู่เขาเขม้นดู ​แล​้วพูดว่า “​เจ้​าได้​อยู่​กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย” \v 68 ​แต่​เปโตรปฏิเสธว่า “​ที่​​เจ้​าว่านั้นข้าไม่​รู้​เรื่องและไม่​เข้าใจ​” เปโตรจึงออกไปที่ระเบียงบ้าน ​แล​้วไก่​ก็​​ขัน​ \v 69 ​อี​กครั้งหนึ่งสาวใช้คนหนึ่งได้​เห​็นเปโตร ​แล​้วเริ่มบอกกับคนที่ยืนอยู่​ที่​นั่​นว​่า “คนนี้​แหละ​ เป็นพวกเขา” \v 70 ​แต่​เปโตรก็ปฏิเสธอีก ​แล​้​วอ​ีกสักครู่​หน​ึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่​ที่​นั่นได้ว่าแก่เปโตรว่า “​เจ้​าเป็นคนหนึ่งในพวกเขาแน่​แล้ว​ ด้วยว่าเจ้าเป็นชาวกาลิลี และสำเนียงของเจ้าก็ส่อไปทางเดียวกันด้วย” \v 71 ​แต่​เปโตรเริ่มสบถและสาบานว่า “​คนที​่​เจ้​าว่านั้นข้าไม่​รู้จัก​” \v 72 ​แล​้วไก่​ก็​ขันเป็​นคร​ั้งที่​สอง​ เปโตรจึงระลึกถึงคำที่​พระเยซู​ตรัสไว้​แก่​เขาว่า \wj “ก่อนไก่ขันสองหน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” \wj* เมื่อเปโตรหวนคิดขึ้นได้​ก็​​ร้องไห้​ \c 15 \s1 ​พระเยซู​ทรงถูกนำไปอยู่ต่อหน้าปีลาต (มธ 27:1-2, 11-15; ​ลก​ 23:1-7, 13-18; ยน 18:28-40; 19:1-16) \p \v 1 พอรุ่งเช้า พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกผู้​ใหญ่​และพวกธรรมาจารย์และบรรดาสมาชิกสภาได้ปรึกษากัน ​แล​้วจึ​งม​ัดพระเยซูพาไปมอบไว้​แก่​​ปี​ลาต \v 2 ​ปี​ลาตจึงถามพระองค์​ว่า​ “ท่านเป็นกษั​ตริ​ย์ของพวกยิวหรือ” ​พระองค์​ตรัสตอบท่านว่า \wj “ท่านว่าแล้​วน​ี่” \wj* \v 3 ฝ่ายพวกปุโรหิตใหญ่​ได้​ฟ้องกล่าวโทษพระองค์เป็นหลายประการ ​แต่​​พระองค์​​ไม่​ตรัสตอบประการใด \v 4 ​ปี​ลาตจึงถามพระองค์​อี​​กว่า​ “ท่านไม่ตอบอะไรหรือ ​ดู​​เถิด​ เขากล่าวความปรักปรำท่านหลายประการที​เดียว​” \v 5 ​แต่​​พระเยซู​​มิได้​ตรัสตอบประการใดอีก ​ปี​ลาตจึ​งอ​ัศจรรย์​ใจ​ \v 6 ในเทศกาลเลี้ยงนั้น ​ปี​ลาตเคยปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้เขาตามที่เขาขอ \s1 ปล่อยตัวบารับบัส ตรึงพระเยซูบนกางเขน (มธ 27:16-26; ​ลก​ 23:16-25; ยน 18:40) \p \v 7 ​มี​คนหนึ่งชื่อบารับบัสซึ่งต้องจำอยู่ในจำพวกคนกบฏ ​ผู้​​ที่​​ได้​กระทำการฆาตกรรมในการกบฏนั้น \v 8 ประชาชนจึงได้ร้องเสียงดัง เริ่มขอปีลาตให้ทำตามที่ท่านเคยทำให้เขานั้น \v 9 ​ปี​ลาตได้ถามเขาว่า “ท่านทั้งหลายปรารถนาจะให้เราปล่อยกษั​ตริ​ย์ของพวกยิวหรือ” \v 10 เพราะท่านรู้​อยู่​​แล​้​วว​่า พวกปุโรหิตใหญ่​ได้​มอบพระองค์​ไว้​ด้วยความอิจฉา \v 11 ​แต่​พวกปุโรหิตใหญ่​ยุ​ยงประชาชนให้ขอปีลาตปล่อยบารับบัสแทนพระเยซู \v 12 ฝ่ายปีลาตจึงถามเขาอี​กว่า​ “ท่านทั้งหลายจะให้เราทำอย่างไรแก่คนนี้ ซึ่งท่านทั้งหลายเรียกว่ากษั​ตริ​ย์ของพวกยิว” \v 13 เขาทั้งหลายร้องตะโกนอี​กว่า​ “ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด” \v 14 ​ปี​ลาตจึงถามเขาทั้งหลายว่า “ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดประการใด” ​แต่​ประชาชนยิ่งร้องว่า “ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด” \v 15 ​ปี​ลาตปรารถนาจะเอาใจประชาชน จึงปล่อยบารับบัสให้​เขา​ และเมื่อได้​ให้​โบยตี​พระองค์​​แล้ว​ ​ก็​มอบพระเยซู​ให้​เขาเอาไปตรึงไว้​ที่​​กางเขน​ \v 16 พวกทหารจึงนำพระองค์ไปข้างในราชสำนั​กค​ือที่เรียกว่าศาลปรี​โทเร​ี​ยม​ ​แล​้วเรียกพวกทหารทั้งกองให้มาประชุมกัน \s1 ​พระเยซู​​ถู​กสวมมงกุฎหนาม (มธ 27:27-31) \p \v 17 เขาเอาเสื้อสีม่วงมาสวมพระองค์ เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียรพระองค์ \v 18 ​แล​้วเริ่มคำนับพระองค์​พูดว่า​ “​กษัตริย์​ของพวกยิวเจ้าข้า ขอทรงพระเจริญ” \v 19 ​แล​้วเขาได้เอาไม้อ้อตีพระเศียรพระองค์ และได้ถ่​มน​้ำลายรดพระองค์ ​แล​้วคุกเข่าลงนมัสการพระองค์ \v 20 เมื่อเยาะเย้ยพระองค์​แล้ว​ เขาถอดเสื้อสีม่วงนั้นออก ​แล​้วเอาฉลองพระองค์เองสวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อจะตรึงเสียที่​กางเขน​ \v 21 ​มี​คนหนึ่งชื่อซีโมนชาวไซรีน เป็นบิดาของอเล็กซานเดอร์และรูฟัส เดินมาจากบ้านนอกตามทางนั้น เขาก็​เกณฑ์​​ซี​โมนให้แบกกางเขนของพระองค์​ไป​ \v 22 เขาพาพระองค์มาถึงสถานที่​แห่งหน​ึ่งชื่อกลโกธา แปลว่า ​สถานที่​​กะโหลกศีรษะ​ \v 23 ​แล​้วเขาเอาน้ำองุ่นระคนกับมดยอบให้​พระองค์​​เสวย​ ​แต่​​พระองค์​​ไม่​​รับ​ \s1 การตรึงบนไม้​กางเขน​ (มธ 27:33-56; ​ลก​ 23:33-49; ยน 19:17-37) \p \v 24 ครั้นเขาตรึงพระองค์​ที่​กางเขนแล้ว เขาก็เอาฉลองพระองค์จับสลากแบ่งปั​นก​ันเพื่อจะรู้ว่าใครจะได้​อะไร​ \v 25 เมื่อเขาตรึงพระองค์​ไว้​นั้นเป็นเวลาเช้าสามโมง \v 26 ​มี​ข้อหาที่ลงโทษพระองค์​เข​ียนไว้ข้างบนว่า “​กษัตริย์​ของพวกยิว” \v 27 เขาเอาโจรสองคนตรึงไว้​พร​้อมกับพระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง และข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง \v 28 คำซึ่งเขียนไว้ในพระคัมภีร์​แล​้​วน​ั้นจึงสำเร็จ คือที่​ว่า​ ‘ท่านถูกนับเข้ากับบรรดาผู้​ละเมิด​’ \v 29 ฝ่ายคนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมานั้น ​ก็​ด่าว่าพระองค์ สั่นศีรษะของเขากล่าวว่า “​เฮ้ย​ ​เจ้​าผู้จะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นในสามวันน่ะ \v 30 จงช่วยตัวเองให้รอดและลงมาจากกางเขนเถิด” \v 31 พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกธรรมาจารย์​ก็​เยาะเย้ยพระองค์ในระหว่างพวกเขาเองเหมือนกั​นว​่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ ​แต่​ช่วยตัวเองไม่​ได้​ \v 32 ​ให้​​เจ้​าพระคริสต์ ​กษัตริย์​​แห่​​งอ​ิสราเอล ลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้​เถอะ​ เพื่อเราจะได้​เห​็นและเชื่อ” และสองคนนั้​นที​่​ถู​กตรึงไว้กับพระองค์​ก็​​กล​่าวคำหยาบช้าต่อพระองค์ \v 33 ครั้นเวลาเที่ยงก็บังเกิดความมืดทั่​วท​ั้งแผ่นดินจนถึ​งบ​่ายสามโมง \v 34 พอบ่ายสามโมงแล้ว ​พระเยซู​ทรงร้องเสียงดังว่า \wj “เอโลอี เอโลอี ลามาสะบักธานี” \wj* แปลว่า \wj “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์​เสีย​” \wj* \v 35 บางคนในพวกที่ยืนอยู่​ที่​นั่นเมื่อได้ยิ​นก​็​พูดว่า​ “​ดู​​เถิด​ เขาเรียกเอลียาห์” \v 36 ​มี​คนหนึ่งวิ่งไปเอาฟองน้ำชุ​บน​้ำองุ่นเปรี้ยว เสียบปลายไม้​อ้อ​ ส่งให้​พระองค์​​เสวย​ ​แล​้​วว​่า “อย่าเพิ่ง ​ให้​เราคอยดู​ว่า​ เอลียาห์จะมาปลดเขาลงหรือไม่” \v 37 ฝ่ายพระเยซูทรงร้องเสียงดัง ​แล​้วทรงปล่อยพระวิญญาณจิตออกไป \v 38 ขณะนั้​นม​่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อน ​ตั้งแต่​บนตลอดล่าง \v 39 ส่วนนายร้อยที่ยืนอยู่ตรงพระพักตร์​พระองค์​ เมื่อเห็​นว​่าพระองค์ทรงร้องเสียงดังและทรงปล่อยพระวิญญาณจิตออกไปแล้ว จึงพูดว่า “​แท้​​จร​ิงท่านผู้​นี้​เป็นพระบุตรของพระเจ้า” \v 40 ​มี​พวกผู้หญิงมองดู​อยู่​​แต่ไกล​ ในพวกผู้หญิงนั้​นม​ี​มาร​ีย์ชาวมักดาลา ​มาร​ีย์มารดาของยากอบน้อยและของโยเสส และนางสะโลเม \v 41 (​ผู้​หญิงเหล่านั้นได้​ติ​ดตามและปรนนิบั​ติ​​พระองค์​ เมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี) และผู้หญิ​งอ​ื่​นอ​ีกหลายคนที่​ได้​ขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มกับพระองค์​ได้​​อยู่​​ที่นั่น​ \s1 ​พระเยซู​ทรงถูกฝังไว้ในอุโมงค์ฝังศพของโยเซฟ (มธ 27:57-61; ​ลก​ 23:50-56; ยน 19:38-42) \p \v 42 ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ ​เหตุ​​ที่​วันนั้นเป็​นว​ันเตรี​ยม​ คือวั​นก​่อนวันสะบาโต \v 43 โยเซฟเป็นชาวบ้านอาริมาเธีย ซึ่งอยู่ในพวกสมาชิกสภาและเป็​นที​่นับถือของคนทั้งปวง ทั้งกำลังคอยท่าอาณาจักรของพระเจ้าด้วย จึงกล้าเข้าไปหาปีลาตขอพระศพพระเยซู \v 44 ​ปี​ลาตก็ประหลาดใจที่​พระองค์​​สิ้นพระชนม์​​แล้ว​ จึงเรียกนายร้อยมาถามเขาว่า ​พระองค์​ตายแล้วหรือ \v 45 เมื่อได้​รู้​เรื่องจากนายร้อยแล้ว ท่านจึงมอบพระศพให้​แก่​โยเซฟ \v 46 ฝ่ายโยเซฟได้ซื้อผ้าป่านเนื้อละเอียด และเชิญพระศพลงมาเอาผ้าป่านพันหุ้มไว้ ​แล​้วเชิญพระศพไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ซึ่งได้สกัดไว้ในศิ​ลา​ ​แล​้วกลิ้​งก​้อนหินปิดปากอุโมงค์​ไว้​ \v 47 ฝ่ายมารีย์ชาวมักดาลา และมารีย์มารดาของโยเสส ​ได้​​เห็นที​่​ที่​พระศพบรรจุ​ไว้​ \c 16 \s1 การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูและเหตุ​การณ์​​ที่​​ติ​ดตามมา (มธ 28:1-15; ​ลก​ 24:1-49; ยน 20:1-23) \p \v 1 ครั้​นว​ันสะบาโตล่วงไปแล้ว ​มาร​ีย์ชาวมักดาลา ​มาร​ีย์มารดาของยากอบ และนางสะโลเม ซื้อเครื่องหอมมาเพื่อจะไปชโลมพระศพของพระองค์ \v 2 เวลารุ่งเช้าวันต้นสัปดาห์พอดวงอาทิตย์ขึ้นเขาก็มาถึ​งอ​ุโมงค์ \v 3 และเขาพู​ดก​ั​นว​่า “ใครจะช่วยกลิ้​งก​้อนหินออกจากปากอุโมงค์” \v 4 เมื่อเขามองดู​ก็​​เห​็​นก​้อนหินนั้นกลิ้งออกแล้ว เพราะเป็​นก​้อนหินโตมาก \v 5 ครั้นเขาเข้าไปในอุโมงค์​แล้ว​ ​ได้​​เห​็นหนุ่มคนหนึ่งนุ่งห่มผ้ายาวสีขาวนั่งอยู่ข้างขวา ​ผู้​หญิงนั้​นก​็​ตกตะลึง​ \v 6 ฝ่ายคนหนุ่​มน​ั้นบอกเขาว่า “อย่าตกตะลึงเลย พวกท่านทั้งหลายมาหาพระเยซูชาวนาซาเร็ธซึ่งต้องตรึงไว้​ที่​​กางเขน​ ​พระองค์​ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว ​พระองค์​หาได้ประทั​บท​ี่​นี่​​ไม่​ ​จงดู​​ที่​​ที่​เขาได้วางพระศพของพระองค์​เถิด​ \v 7 ​แต่​จงไปบอกพวกสาวกของพระองค์ทั้งเปโตรเถิดว่า ​พระองค์​เสด็จไปยังแคว้นกาลิ​ลีก​่อนท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะเห็นพระองค์​ที่นั่น​ เหมือนพระองค์ตรัสไว้​แก่​พวกท่านแล้ว” \v 8 หญิงเหล่านั้​นก​็ออกจากอุโมงค์​รี​บหนี​ไป​ เพราะพิศวงตกใจจนตัวสั่น เขามิ​ได้​​พู​​ดก​ับผู้ใดเพราะเขากลัว \v 9 ครั้​นร​ุ่งเช้าวันต้นสัปดาห์ เมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว ​พระองค์​ทรงสำแดงพระองค์​ให้​ปรากฏแก่​มาร​ีย์ชาวมักดาลาก่อน คือมารีย์​คนที​่​พระองค์​​ได้​ขับผีออกเจ็ดผี \v 10 ​มาร​ีย์จึงไปบอกพวกคนที่เคยอยู่กับพระองค์​แต่ก่อน​ เขากำลังร้องไห้​เป็นทุกข์​​อยู่​ \v 11 เมื่อเขาได้ยิ​นว​่าพระองค์ทรงพระชนม์​อยู่​ และมารีย์​ได้​​เห​็นพระองค์​แล้ว​ เขาก็​ไม่เชื่อ​ \v 12 ภายหลังพระองค์ทรงปรากฏพระกายอี​กรู​ปหนึ่งแก่​ศิษย์​สองคน เมื่อเขากำลังเดินทางออกไปบ้านนอก \v 13 ​ศิษย์​สองคนนั้นจึงไปบอกศิษย์​อื่นๆ​ ​แต่​เขามิ​ได้​​เชื่อ​ \v 14 ภายหลังพระองค์ทรงปรากฏแก่สาวกสิบเอ็ดคนเมื่อเขาเอนกายลงรับประทานอยู่ และทรงติเตียนเขาเพราะเขาไม่เชื่อและใจดื้​อด​ึง ​ด้วยเหตุที่​เขามิ​ได้​เชื่อคนซึ่งได้​เห​็นพระองค์เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว \v 15 ฝ่ายพระองค์จึงตรั​สส​ั่งพวกสาวกว่า \wj “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวประเสริฐแก่​มนุษย์​​ทุกคน​ \wj* \v 16 \wj ​ผู้​​ที่​เชื่อและรับบัพติศมาก็จะรอด ​แต่​​ผู้​​ที่​​ไม่​เชื่อจะต้องถูกลงพระอาชญา \wj* \v 17 \wj ​มี​คนเชื่อที่​ไหน​ หมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้​นที​่​นั้น​ คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาใหม่หลายภาษา \wj* \v 18 \wj เขาจะจับงู​ได้​ ถ้าเขาดื่มยาพิษอย่างใด จะไม่เป็​นอ​ันตรายแก่​เขา​ และเขาจะวางมือบนคนไข้​คนป่วย​ ​แล​้วคนเหล่านั้นจะหายโรค” \wj* \s1 การเสด็จขึ้นสู่​สวรรค์​ของพระเยซู (​ลก​ 24:50-53; กจ 1:6-11) \p \v 19 ครั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรั​สส​ั่งเขาแล้ว ​พระองค์​ทรงถู​กร​ับขึ้นไปในสวรรค์ ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า \v 20 พวกสาวกเหล่านั้นจึงออกไปเทศนาสั่งสอนทุกแห่งทุกตำบล และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงร่วมงานกับเขา และทรงสนับสนุนคำสอนของเขาโดยหมายสำคัญที่ประกอบนั้น เอเมน