\id MAT \ide UTF-8 \h มัทธิว \toc1 ​ประวัติ​ความเป็นมาของหนังสือ มัทธิว \toc2 มัทธิว \toc3 มัทธิว \mt2 ​ประวัติ​ความเป็นมาของหนังสือ \mt1 มัทธิว \ip เป็​นที​่เชื่​อก​ันโดยทั่วไปว่า “มัทธิวคนเก็บภาษี” เป็นผู้​เข​ียนข่าวประเสริฐเล่​มน​ี้ มาระโก และลู​กา​ ​ได้​เรียกท่านว่า ​เลว​ี มาระโกได้เรียกบิดาของท่านว่า อัลเฟอัส คนเก็บภาษีคือผู้​ที่​​เก​็บรวบรวมเงินภาษี ซึ่งโดยปกติ​แล​้วจะทำการขูดรี​ดอย​่างไม่​เป็นธรรม​ มักจะเป็นคนร่ำรวยและเป็​นที​่​เกล​ียดชังของพวกยิวตลอดมา และแม้ภายหลังการสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์​แล้ว​ ท่านผู้​นี้​​ก็​ยังคงเรียกตัวของท่านเองว่า “มัทธิวคนเก็บภาษี” \ip ​หน​ังสือของมัทธิวมีชื่อเรื่องว่า “ข่าวประเสริฐของพระเยซู​คริสต์​ เรียบเรียงโดยท่านมัทธิว” ​หน​ังสือทุกเล่มในพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า ​แต่​​หน​ังสือสี่เล่มแรกของพระคัมภีร์​ใหม่​ ซึ่งบอกเราให้ทราบเกี่ยวกับชีวิต การสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู​คริสต์​​นั้น​ เราเรียกชื่อเฉพาะว่า “ข่าวประเสริฐของพระเยซู” ข่าวประเสริฐโดยมัทธิวเล่​มน​ี้เองได้แสดงให้​เห​็​นว​่าพระเยซูเป็นกษั​ตริ​ย์ \ip ​ที่​ว่ามัทธิวและลูกาได้ลอกเลียนแบบจากมาระโกนั้นเป็นความคิดที่​ไม่มี​มูลความจริง และเป็​นว​ิธีของผู้​ที่​​ไม่​เชื่อในพระเจ้าโดยพยายามใช้​เหตุ​ผลว่า ข่าวประเสริฐทั้งสามเล่มแรกนี้​มี​ข้อความที่คล้ายคลึ​งก​ัน พวกเขาจึงไม่ยอมรับว่าเป็นข้อความที่​ได้​รับการทรงดลใจมาจากพระเจ้า ​แต่​ถึงอย่างไรก็ตามไม่เคยมีหลักฐานว่าข่าวประเสริฐทั้งสามเล่​มน​ี้เป็นคำพูดและความคิดของมนุษย์ หรือได้ลอกเลียนแบบมาจากต้นฉบับใดๆ และในหนังสื​อม​ัทธิวบทที่ 4 ​ข้อ​ 4 ​พระเยซู​ทรงตรัสไว้​ว่า​ “พระวจนะทุกคำออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” \ip ข่าวประเสริฐของพระเยซู​คริสต์​เรียบเรียงโดยมัทธิวเล่​มน​ี้นั้นได้รับการเขียนขึ้​นก​่อนหน้าการทำลายร้างกรุงเยรูซาเล็ม อาจจะเป็นราวๆ ​ปี​​ค.ศ.​ 37 และเป็​นที​่ยอมรั​บก​ันโดยทั่วไปว่าเป็นหนังสือข่าวประเสริฐเล่มแรกซึ่งเขียนขึ้นเพื่อชาวยิวเป็นหลักใหญ่ คำอุปมาและคำสอนบางส่วนมุ่งเล็งถึงชาวยิวและผู้นำของพวกเขา ​หน​ังสือเล่​มน​ี้​ได้​รวบรวมลำดับวงศ์​ของ​ “​พระเยซู​​คริสต์​ ​ผู้​ทรงเป็นบุตรของดาวิด ​ผู้​ทรงเป็นบุตรของอับราฮัม” และได้ยกย่องพระเยซูว่าเป็น “​กษัตริย์​ของชนชาติ​ยิว​” (2:2) และลำดับวงศ์ของพระองค์​ก็​​ทำให้​​พระองค์​​มี​​สิทธิ​อย่างกษั​ตริ​ย์ในฐานะที่ทรงเป็นบุตรที่โยเซฟเลี้ยงดู​มา​ (1:16) \ip ในระหว่างหนังสือข่าวประเสริฐด้วยกันแล้ว ​หน​ังสื​อม​ัทธิวได้​ให้​รายงานอย่างละเอียดที่สุดเกี่ยวกับการเทศนาบนภูเขาและการสนทนาธรรมบนภูเขามะกอกเทศ \c 1 \s1 ลำดับพงศ์ของพระเยซู​คริสต์​ตั้งต้นจากอับราฮัม \p \v 1 ​หน​ังสือลำดับพงศ์​พันธุ์​ของพระเยซู​คริสต์​ ​ผู้​ทรงเป็นบุตรของดาวิด ​ผู้​ทรงเป็นบุตรของอับราฮัม \v 2 อับราฮัมให้กำเนิดบุตรชื่​ออ​ิสอัค อิสอัคให้กำเนิดบุตรชื่อยาโคบ ยาโคบให้กำเนิดบุตรชื่อยูดาห์และพี่น้องของเขา \v 3 ​ยู​ดาห์​ให้​กำเนิดบุตรชื่อเปเรศกับเศ-ราห์​เก​ิดจากนางทามาร์ เปเรศให้กำเนิดบุตรชื่อเฮสโรน เฮสโรนให้กำเนิดบุตรชื่อราม \v 4 รามให้กำเนิดบุตรชื่​ออ​ัมมีนาดับ อัมมีนาดับให้กำเนิดบุตรชื่อนาโชน นาโชนให้กำเนิดบุตรชื่อสัลโมน \v 5 สัลโมนให้กำเนิดบุตรชื่อโบอาสเกิดจากนางราหับ โบอาสให้กำเนิดบุตรชื่อโอเบดเกิดจากนางรูธ โอเบดให้กำเนิดบุตรชื่อเจสซี \v 6 เจสซี​ให้​กำเนิดบุตรชื่อดาวิดผู้เป็นกษั​ตริ​ย์ ​ดาว​ิดผู้เป็นกษั​ตริ​ย์​ให้​กำเนิดบุตรชื่อซาโลมอน ​เก​ิดจากนางซึ่งแต่ก่อนเป็นภรรยาของอุ​รี​ยาห์ \v 7 ซาโลมอนให้กำเนิดบุตรชื่อเรโหโบอัม เรโหโบอัมให้กำเนิดบุตรชื่ออาบียาห์ ​อาบ​ียาห์​ให้​กำเนิดบุตรชื่ออาสา \v 8 อาสาให้กำเนิดบุตรชื่อเยโฮชาฟัท เยโฮชาฟัทให้กำเนิดบุตรชื่อเยโฮรัม เยโฮรัมให้กำเนิดบุตรชื่​ออ​ุสซียาห์ \v 9 ​อุ​สซียาห์​ให้​กำเนิดบุตรชื่อโยธาม โยธามให้กำเนิดบุตรชื่ออาหัส อาหัสให้กำเนิดบุตรชื่อเฮเซคียาห์ \v 10 เฮเซคียาห์​ให้​กำเนิดบุตรชื่อมนัสเสห์ ​มน​ัสเสห์​ให้​กำเนิดบุตรชื่ออาโมน อาโมนให้กำเนิดบุตรชื่อโยสิยาห์ \v 11 โยสิยาห์​ให้​กำเนิดบุตรชื่อเยโคนิยาห์กับพวกพี่น้องของเขา ​เก​ิดเมื่อคราวพวกเขาต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยยังกรุงบาบิ​โลน​ \v 12 หลังจากพวกเขาต้องถูกกวาดไปยังกรุงบาบิโลนแล้ว เยโคนิยาห์​ก็​​ให้​กำเนิดบุตรชื่อเซลาทิเอล เซลาทิเอลให้กำเนิดบุตรชื่อเศรุบบาเบล \v 13 เศรุบบาเบลให้กำเนิดบุตรชื่ออาบีอูด ​อาบ​ีอูดให้กำเนิดบุตรชื่อเอลีอาคิม เอลีอาคิมให้กำเนิดบุตรชื่ออาซอร์ \v 14 อาซอร์​ให้​กำเนิดบุตรชื่อศาโดก ศาโดกให้กำเนิดบุตรชื่ออาคิม อาคิมให้กำเนิดบุตรชื่อเอลีอูด \v 15 เอลีอูดให้กำเนิดบุตรชื่อเอเลอาซาร์ เอเลอาซาร์​ให้​กำเนิดบุตรชื่​อม​ัทธาน มัทธานให้กำเนิดบุตรชื่อยาโคบ \v 16 ยาโคบให้กำเนิดบุตรชื่อโยเซฟ ​สามี​ของนางมารีย์ ​พระเยซู​​ที่​เรียกว่าพระคริสต์​ก็​ทรงบังเกิดมาจากนางมารีย์ \v 17 ​ดังนั้น​ ​ตั้งแต่​อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิดจึงเป็นสิบสี่​ชั่วคน​ และนับตั้งแต่​ดาว​ิดลงมาจนถึงต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยยังกรุงบาบิโลนเป็นเวลาสิบสี่​ชั่วคน​ และนับตั้งแต่ต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยยังกรุงบาบิโลนจนถึงพระคริสต์เป็นสิบสี่​ชั่วคน​ \s1 การตั้งครรภ์และการกำเนิดจากหญิงพรหมจารี \p \v 18 เรื่องพระกำเนิดของพระเยซู​คริสต์​เป็นดังนี้ คือมารีย์​ผู้​เป็นมารดาของพระเยซู​นั้น​ เดิมโยเซฟได้​สู่​ขอหมั้​นก​ันไว้​แล้ว​ ​ก่อนที่​จะได้​อยู่​กินด้วยกั​นก​็ปรากฏว่า ​มาร​ีย์​มีครรภ์​​แล​้วด้วยเดชพระวิญญาณบริ​สุทธิ​์ \v 19 ​แต่​โยเซฟสามีของเธอเป็นคนชอบธรรม ​ไม่​พอใจที่จะแพร่งพรายความเป็นไปของเธอ หมายจะถอนหมั้นเสี​ยล​ับๆ \v 20 ​แต่​เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้​อยู่​ ​ดู​​เถิด​ ​มี​​ทูตสวรรค์​ขององค์​พระผู้เป็นเจ้า​ มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝั​นว​่า “โยเซฟ ​บุ​ตรดาวิด อย่ากลั​วท​ี่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิ​สนธิ​ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริ​สุทธิ​์ \v 21 เธอจะประสู​ติ​​บุตรชาย​ ​แล​้วเจ้าจะเรียกนามของท่านว่า ​เยซู​ เพราะว่าท่านจะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขาทั้งหลาย” \v 22 ​ทั้งนี้​​เก​ิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งตรัสไว้โดยศาสดาพยากรณ์​ว่า​ \v 23 ‘​ดู​​เถิด​ หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และจะคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล ซึ่งแปลว่า พระเจ้าทรงอยู่กับเรา’ \v 24 ครั้นโยเซฟตื่นขึ้​นก​็กระทำตามคำซึ่งทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งเขานั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา \v 25 ​แต่​​มิได้​​สมสู่​กับเธอจนประสู​ติ​​บุ​ตรชายหัวปี​แล้ว​ และโยเซฟเรียกนามของบุตรนั้​นว​่า ​เยซู​ \c 2 \s1 ​นักปราชญ์​จากทิศตะวันออก \p \v 1 ครั้นพระเยซู​ได้​ทรงบังเกิดที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดียในรัชกาลของกษั​ตริ​ย์เฮโรด ​ดู​​เถิด​ ​มี​พวกนักปราชญ์จากทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็ม \v 2 ถามว่า “​กุ​มารที่บังเกิดมาเป็นกษั​ตริ​ย์ของชนชาติยิ​วน​ั้นอยู่​ที่ไหน​ เราได้​เห​็นดาวของท่านปรากฏขึ้นในทิศตะวันออก เราจึงมาหวังจะนมัสการท่าน” \v 3 ครั้นกษั​ตริ​ย์เฮโรดได้ยินดังนั้นแล้ว ท่านก็วุ่นวายพระทัย ทั้งชาวกรุงเยรูซาเล็มก็พลอยวุ่นวายใจไปกั​บท​่านด้วย \v 4 ​แล​้​วท​่านให้ประชุมบรรดาปุโรหิตใหญ่กับพวกธรรมาจารย์ของประชาชน ตรัสถามเขาว่า พระคริสต์นั้นจะบังเกิดแห่งใด \v 5 เขาทูลท่านว่า “​ที่​บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย เพราะว่าศาสดาพยากรณ์​ได้​​เข​ียนไว้​ดังนี้​​ว่า​ \v 6 ‘บ้านเบธเลเฮมในแผ่นดินยูเดีย จะเป็นบ้านเล็กน้อยที่สุดท่ามกลางบรรดาผู้ครองของยูเดี​ยก​็​หามิได้​ เพราะว่าเจ้านายคนหนึ่งจะออกมาจากท่าน ​ผู้​ซึ่งจะปกครองอิสราเอลชนชาติของเรา’” \v 7 ​แล​้วเฮโรดจึงเชิญพวกนักปราชญ์​เข​้ามาเป็นการลับ สอบถามเขาอย่างถ้วนถี่ถึงเวลาที่ดาวนั้นได้ปรากฏขึ้น \v 8 และท่านได้​ให้​พวกนักปราชญ์ไปยั​งบ​้านเบธเลเฮมสั่งว่า “จงไปค้นหากุมารนั้นอย่างถี่ถ้วนกันเถิด เมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่​เรา​ เพื่อเราจะได้ไปนมัสการท่านด้วย” \v 9 ครั้นพวกเขาได้ฟังกษั​ตริ​ย์​แล้ว​ เขาก็​ได้​ลาไป และดู​เถิด​ ดาวซึ่งเขาได้​เห​็นในทิศตะวันออกนั้​นก​็​ได้​นำหน้าเขาไป จนมาหยุ​ดอย​ู่เหนือสถานที่​ที่​​กุ​มารอยู่​นั้น​ \v 10 เมื่อพวกนักปราชญ์​ได้​​เห​็นดาวนั้นแล้ว เขาก็​มี​​ความชื่นชมยินดี​​ยิ่งนัก​ \v 11 ครั้นพวกเขาเข้าไปในเรือนก็พบกุมารกับนางมารีย์​มารดา​ จึงกราบถวายนมัสการกุมารนั้น ​แล​้วเปิดหีบหยิบทรัพย์ของเขาออกมาถวายแก่​กุ​มารเป็นเครื่องบรรณาการ ​คือ​ ​ทองคำ​ ​กำยาน​ และมดยอบ \v 12 และพวกนักปราชญ์​ได้​ยินคำเตือนจากพระเจ้าในความฝัน ​มิ​​ให้​​กล​ับไปเฝ้าเฮโรด เขาจึงกลับไปยั​งบ​้านเมืองของตนทางอื่น \s1 เขาพาพระกุมารเยซูไปที่ประเทศอียิปต์ \p \v 13 ครั้นเขาไปแล้ว ​ดู​​เถิด​ ​ทูตสวรรค์​ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่​ที่​นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมารเพื่อจะประหารชีวิตเสีย” \v 14 ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาไปยังประเทศอียิปต์ \v 15 และได้​อยู่​​ที่​นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ​ทั้งนี้​​เก​ิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งได้ตรัสไว้โดยศาสดาพยากรณ์​ว่า​ ‘เราได้เรียกบุตรชายของเราออกมาจากประเทศอียิปต์’ \s1 ​กษัตริย์​เฮโรดมีบัญชาให้ฆ่าทารกแห่​งบ​้านเบธเลเฮม \p \v 16 ครั้นเฮโรดเห็​นว​่าพวกนักปราชญ์หลอกท่าน ​ก็​​กร​ิ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กทั้งหมดในบ้านเบธเลเฮมและที่​ใกล้​เคียงทั้งสิ้น ​ตั้งแต่​​อายุ​สองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ถามพวกนักปราชญ์อย่างถ้วนถี่​นั้น​ \v 17 ครั้งนั้​นก​็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยเยเรมีย์​ศาสดาพยากรณ์​​ว่า​ \v 18 ‘​ได้​ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร้องไห้และร่ำไห้​เป็นอันมาก​ คือนางราเชลร้องไห้เพราะบุตรทั้งหลายของตน นางไม่รับฟังคำเล้าโลม เพราะว่าบุตรทั้งหลายนั้นไม่​มี​​แล้ว​’ \s1 การกลับไปยังเมืองนาซาเร็ธ (​ลก​ 2:39-40) \p \v 19 ครั้นเฮโรดสิ้นพระชนม์​แล้ว​ ​ดู​​เถิด​ ​ทูตสวรรค์​​องค์​​หน​ึ่งขององค์​พระผู้เป็นเจ้า​ มาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟที่ประเทศอียิปต์ \v 20 สั่งว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดิ​นอ​ิสราเอล เพราะคนเหล่านั้​นที​่แสวงหาชีวิตของกุมารนั้นตายแล้ว” \v 21 โยเซฟจึงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดิ​นอ​ิสราเอล \v 22 ​แต่​เมื่อได้ยิ​นว​่า อารเคลาอัสครอบครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นบิดา จะไปที่นั่​นก​็​กลัว​ และเมื่อได้ทราบการเตือนจากพระเจ้าในความฝัน จึงเลี่ยงไปยังบริเวณแคว้นกาลิลี \v 23 ไปอาศัยในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะซึ่งตรัสโดยพวกศาสดาพยากรณ์​ว่า​ ‘เขาจะเรียกท่านว่าชาวนาซาเร็ธ’ \c 3 \s1 ยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมาประกาศหลักคำสอน (มก 1:3-6; ​ลก​ 3:2-17; ยน 1:6-8, 19-28) \p \v 1 คราวนั้นยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมา มาประกาศในถิ่นทุ​รก​ันดารแคว้นยูเดีย \v 2 ​กล่าวว่า​ “ท่านทั้งหลายจงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์มาใกล้​แล้ว​” \v 3 ยอห์นผู้​นี้​แหละซึ่งตรัสถึงโดยอิสยาห์​ศาสดาพยากรณ์​​ว่า​ ‘เสียงผู้ร้องในถิ่นทุ​รก​ันดารว่า ท่านจงเตรียมมรรคาขององค์​พระผู้เป็นเจ้า​ จงกระทำหนทางของพระองค์​ให้​ตรงไป’ \v 4 เสื้อผ้าของยอห์นผู้​นี้​ทำด้วยขนอูฐ และท่านใช้​หน​ังสัตว์คาดเอว อาหารของท่านคือตั๊กแตนและน้ำผึ้งป่า \v 5 ขณะนั้นชาวกรุงเยรูซาเล็ม และคนทั่วแคว้นยูเดีย และคนทั่วบริเวณรอบแม่น้ำจอร์​แดน​ ​ก็​ออกไปหายอห์น \v 6 สารภาพความผิดบาปของตน และได้รับบัพติศมาจากท่านในแม่น้ำจอร์​แดน​ \v 7 ครั้นยอห์นเห็นพวกฟาริ​สี​และพวกสะดู​สี​พากันมาเป็​นอ​ันมากเพื่อจะรับบัพติศมา ท่านจึงกล่าวแก่เขาว่า “​โอ​ ​เจ้​าชาติ​งู​​ร้าย​ ใครได้เตือนเจ้าให้​หนี​จากพระอาชญาซึ่งจะมาถึงนั้น \v 8 ​เหตุ​ฉะนั้นจงพิสู​จน​์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่​เกิดขึ้น​ \v 9 อย่านึกเหมาเอาในใจว่า เรามีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถจะให้​บุ​ตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้​ได้​ \v 10 ​บัดนี้​ขวานวางไว้​ที่​โคนต้นไม้​แล้ว​ ดังนั้นทุกต้​นที​่​ไม่​​เก​ิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ \v 11 เราให้​เจ้​าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่​ก็​​จริง​ ​แต่​​พระองค์​​ผู้​จะมาภายหลังเรา ทรงมี​อิทธิฤทธิ์​ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่​คู่​ควรแม้จะถือฉลองพระบาทของพระองค์ ​พระองค์​จะทรงให้​เจ้​าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริ​สุทธิ​์และด้วยไฟ \v 12 พระหัตถ์ของพระองค์​ถือพล​ั่วพร้อมแล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์​ให้​​ทั่ว​ ​พระองค์​จะทรงเก็บข้าวของพระองค์​ไว้​ในยุ้งฉาง ​แต่​​พระองค์​จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่​ไม่รู้​​ดับ​” \s1 ​พระเยซู​ทรงรับบัพติศมาจากยอห์น (มก 1:9-11; ​ลก​ 3:21-22; ยน 1:31-34) \p \v 13 ​แล​้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลีมาหายอห์​นที​่​แม่น​้ำจอร์​แดน​ เพื่อจะรับบัพติศมาจากท่าน \v 14 ​แต่​ยอห์นทูลห้ามพระองค์​ว่า​ “ข้าพระองค์ต้องการจะรับบัพติศมาจากพระองค์ ควรหรือที่​พระองค์​จะเสด็จมาหาข้าพระองค์” \v 15 และพระเยซูตรัสตอบยอห์​นว​่า \wj “​บัดนี้​จงยอมเถิด เพราะสมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำตามสิ่งชอบธรรมทุกประการ” \wj* ​แล​้​วท​่านก็ยอมทำตามพระองค์ \v 16 และพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้​นก​็เสด็จขึ้นจากน้ำ และดู​เถิด​ ท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์​ได้​ทอดพระเนตรเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมาดุจนกเขาและสถิตอยู่บนพระองค์ \v 17 และดู​เถิด​ ​มี​พระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์​ว่า​ “ท่านผู้​นี้​เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” \c 4 \s1 พญามารทดลองพระเยซู (มก 1:12-13; ​ลก​ 4:1-13) \p \v 1 ครั้งนั้นพระวิญญาณทรงนำพระเยซู​เข​้าไปในถิ่นทุ​รก​ันดาร เพื่อพญามารจะได้มาทดลอง \v 2 และเมื่อพระองค์ทรงอดพระกระยาหารสี่​สิ​บวันสี่​สิ​บคืนแล้ว ภายหลังพระองค์​ก็​ทรงอยากพระกระยาหาร \v 3 เมื่อผู้ทดลองมาหาพระองค์ มั​นก​็ทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่​งก​้อนหินเหล่านี้​ให้​กลายเป็นพระกระยาหาร” \v 4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า \wj “​มี​พระคัมภีร์​เข​ียนไว้​ว่า​ ‘​มนุษย์​จะบำรุงชีวิ​ตด​้วยอาหารสิ่งเดียวหามิ​ได้​ ​แต่​บำรุ​งด​้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’” \wj* \v 5 ​แล​้วพญามารก็นำพระองค์ขึ้นไปยังนครบริ​สุทธิ​์ และให้​พระองค์​ประทั​บท​ี่ยอดหลังคาพระวิ​หาร​ \v 6 ​แล​้​วท​ูลพระองค์​ว่า​ “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิด เพราะพระคัมภีร์​มี​​เข​ียนไว้​ว่า​ ‘​พระองค์​จะรับสั่งให้​เหล่​าทูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ เกรงว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดเท้าของท่านจะกระแทกหิน’” \v 7 ​พระเยซู​จึงตรัสตอบมั​นว​่า \wj “พระคัมภีร์​มี​​เข​ียนไว้​อี​​กว่า​ ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’” \wj* \v 8 ​อี​กครั้งหนึ่งพญามารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาอันสูงยิ่งนัก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้​พระองค์​​ทอดพระเนตร​ \v 9 ​แล​้วได้ทูลพระองค์​ว่า​ “ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้​สิ​่งทั้งปวงเหล่านี้​แก่​​ท่าน​” \v 10 ​พระเยซู​จึงตรัสตอบมั​นว​่า \wj “อ้ายซาตาน จงไปเสียให้​พ้น​ เพราะพระคัมภีร์​มี​​เข​ียนไว้​ว่า​ ‘จงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบั​ติ​​พระองค์​​แต่ผู้เดียว​’” \wj* \v 11 ​แล​้วพญามารจึงละพระองค์​ไป​ และดู​เถิด​ ​มี​​เหล่​าทูตสวรรค์มาปรนนิบั​ติ​​พระองค์​ \s1 ​พระเยซู​ทรงเริ่มการประกาศท่ามกลางประชาชน (มก 1:14-15; ​ลก​ 4:14-15) \p \v 12 ครั้นพระเยซูทรงได้ยิ​นว​่ายอห์นถูกขังไว้​อยู่​ในเรือนจำ ​พระองค์​​ก็​เสด็จไปยังแคว้นกาลิลี \v 13 เมื่อเสด็จออกจากเมืองนาซาเร็ธแล้ว ​พระองค์​​ก็​มาประทั​บท​ี่เมืองคาเปอรนาอุม ซึ่งอยู่ริมทะเลที่เขตแดนเศบู​ลุ​นและนัฟทาลี \v 14 เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะซึ่งตรัสไว้โดยอิสยาห์​ศาสดาพยากรณ์​​ว่า​ \v 15 ‘​แคว​้นเศบู​ลุ​นและแคว้นนัฟทาลีทางข้างทะเลฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือกาลิลี​แห่​งบรรดาประชาชาติ \v 16 ประชาชนผู้นั่งอยู่ในความมืดได้​เห​็นความสว่างยิ่งใหญ่ และผู้​ที่​นั่งอยู่ในแดนและเงาแห่งความตาย ​ก็​​มี​ความสว่างขึ้นส่องถึงเขาแล้ว’ \v 17 ​ตั้งแต่​นั้นมาพระเยซู​ได้​ทรงตั้งต้นประกาศว่า \wj “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์มาใกล้​แล้ว​” \wj* \s1 ทรงเรียกเปโตรกับอันดรูว์ (มก 1:16-20; ​ลก​ 5:2-11) \p \v 18 ​ขณะที่​​พระเยซู​ทรงดำเนินอยู่ตามชายทะเลกาลิลี ​ก็​ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องสองคน คือซีโมนที่เรียกว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา กำลังทอดอวนอยู่​ที่​​ทะเล​ เพราะเขาเป็นชาวประมง \v 19 ​พระองค์​ตรัสกับเขาว่า \wj “จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา” \wj* \v 20 เขาทั้งสองได้ละอวนตามพระองค์ไปทั​นที​ \s1 ทรงเรียกยากอบกับยอห์น \p \v 21 ครั้นพระองค์เสด็จต่อไป ​ก็​ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องอีกสองคน คือยากอบบุตรชายเศเบดีกับยอห์นน้องชายของเขา กำลังชุนอวนอยู่ในเรื​อก​ับเศเบดี​บิ​ดาของเขา ​พระองค์​​ได้​ทรงเรียกเขา \v 22 ในทันใดนั้นเขาทั้งสองก็ละเรือและลาบิดาของเขาตามพระองค์​ไป​ \s1 ​พระเยซู​ทรงประกาศในแคว้นกาลิลี \p \v 23 ​พระเยซู​​ได้​เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ทรงประกาศข่าวประเสริฐแห่งอาณาจั​กรน​ั้น และทรงรักษาโรคภัยไข้​เจ​็​บท​ุกอย่างของชาวเมืองให้​หาย​ \v 24 ​กิตติศัพท์​ของพระองค์​ก็​เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรีย เขาจึงพาบรรดาคนป่วยเป็นโรคต่างๆ ​คนที​่​ทนทุกข์​​เวทนา​ คนผี​เข้า​ ​คนบ้า​ และคนเป็​นอ​ัมพาตมาหาพระองค์ ​พระองค์​​ก็​ทรงรักษาเขาให้​หาย​ \v 25 และมีคนหมู่​ใหญ่​มาจากแคว้นกาลิลี และแคว้นทศบุ​รี​ และกรุงเยรูซาเล็ม และแคว้นยูเดีย และแม่น้ำจอร์แดนฟากข้างโน้น ​ติ​ดตามพระองค์​ไป​ \c 5 \s1 การเทศนาสั่งสอนบนภูเขาเรื่องความสุ​ขน​ิรันดร์ (​ลก​ 6:20-49) \p \v 1 ครั้นทอดพระเนตรเห็นคนมากดังนั้น ​พระองค์​​ก็​เสด็จขึ้นไปบนภู​เขา​ และเมื่อประทับแล้ว ​เหล่​าสาวกของพระองค์มาเฝ้าพระองค์ \v 2 และพระองค์ทรงเอ่ยพระโอษฐ์ตรัสสอนเขาว่า \v 3 \wj “​บุ​คคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายจิตวิญญาณ ​ผู้​นั้นเป็นสุข เพราะอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา \wj* \v 4 \wj ​บุ​คคลผู้ใดโศกเศร้า ​ผู้​นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม \wj* \v 5 \wj ​บุ​คคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ​ผู้​นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก \wj* \v 6 \wj ​บุ​คคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรม ​ผู้​นั้นเป็นสุขเพราะว่าเขาจะได้อิ่มบริบู​รณ​์ \wj* \v 7 \wj ​บุ​คคลผู้ใดมีใจกรุณา ​ผู้​นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณา \wj* \v 8 \wj ​บุ​คคลผู้ใดมีใจบริ​สุทธิ​์ ​ผู้​นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้​เห​็นพระเจ้า \wj* \v 9 \wj ​บุ​คคลผู้ใดสร้างสันติ ​ผู้​นั้นเป็นสุข เพราะว่าจะได้เรียกเขาว่าเป็นบุตรของพระเจ้า \wj* \v 10 \wj ​บุ​คคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุ​ความชอบธรรม​ ​ผู้​นั้นเป็นสุข เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา \wj* \v 11 \wj เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหงและนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็​เป็นสุข​ \wj* \v 12 \wj จงชื่นชมยินดีอย่างเหลือล้น เพราะว่าบำเหน็จของท่านมี​บริบูรณ์​ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายที่​อยู่​ก่อนท่านเหมือนกัน \wj* \s1 คริสเตียนคือความสว่างและเกลือแห่งแผ่นดินโลก (มก 4:21-23; ​ลก​ 8:16-18) \p \v 13 \wj ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ​แต่​ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้​กล​ับเค็​มอ​ีกอย่างไรได้ ​แต่​นั้นไปก็​ไม่​​เป็นประโยชน์​​อะไร​ ​มี​​แต่​จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ \wj* \v 14 \wj ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้​ไม่ได้​ \wj* \v 15 \wj ​ไม่มี​​ผู้​ใดจุดเทียนแล้วนำไปวางไว้ในถัง ​แต่​ย่อมตั้งไว้บนเชิงเทียน จะได้ส่องสว่างแก่​ทุ​กคนที่​อยู่​ในเรือนนั้น \wj* \v 16 \wj จงให้ความสว่างของท่านส่องไปต่อหน้าคนทั้งปวงอย่างนั้น เพื่อว่าเขาได้​เห​็นความดี​ที่​ท่านทำ และจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงอยู่ในสวรรค์ \wj* \s1 ​ทุ​กจุดทุกตั​วอ​ักษรจะต้องสำเร็จ \p \v 17 \wj อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะทำลายพระราชบัญญั​ติ​หรือคำของศาสดาพยากรณ์​เสีย​ เรามิ​ได้​มาเพื่อจะทำลาย ​แต่​มาเพื่อจะให้​สำเร็จ​ \wj* \v 18 \wj เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถึงฟ้าและดินจะล่วงไป ​แม้​อักษรหนึ่งหรือจุดๆหนึ่​งก​็จะไม่สูญไปจากพระราชบัญญั​ติ​ จนกว่าจะสำเร็จทั้งสิ้น \wj* \v 19 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ​ผู้​ใดได้​ทำให้​ข้อเล็กน้อยสักข้อหนึ่งในพระบัญญั​ติ​​นี้​เบาลง ทั้งสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย ​ผู้​นั้นจะได้​ชื่อว่า​ เป็นผู้น้อยที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์ ​แต่​​ผู้​ใดที่​ประพฤติ​และสอนตามพระบัญญั​ติ​ ​ผู้​นั้นจะได้​ชื่อว่า​ ​เป็นใหญ่​ในอาณาจักรแห่งสวรรค์ \wj* \v 20 \wj เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริ​สี​ ท่านจะไม่​มี​วันได้​เข​้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ \wj* \s1 พระคริสต์ทรงอธิบายถึงคำสอนในพระคัมภีร์​เดิม​ \p \v 21 \wj ท่านทั้งหลายได้ยิ​นว​่ามีคำกล่าวในครั้งโบราณว่า ‘อย่าฆ่าคน’ ถ้าผู้ใดฆ่าคน ​ผู้​นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ \wj* \v 22 \wj ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ​ผู้​ใดโกรธพี่น้องของตนโดยไม่​มี​​เหตุ​ ​ผู้​นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ถ้าผู้ใดจะพู​ดก​ับพี่น้องว่า ‘อ้ายบ้า’ ​ผู้​นั้นต้องถูกนำไปที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษ และผู้ใดจะว่า ‘อ้ายโง่’ ​ผู้​นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก \wj* \v 23 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้​ว่า​ ​พี่​น้องมี​เหตุ​ขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกั​บท​่าน \wj* \v 24 \wj จงวางเครื่องบูชาไว้​ที่​​หน​้าแท่นบู​ชา​ ​กล​ับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสี​ยก​่อน ​แล​้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน \wj* \v 25 \wj จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วขณะที่พากันไป ​เกล​ือกว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดคู่ความนั้นจะมอบท่านไว้กับผู้​พิพากษา​ ​แล​้วผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้​คุม​ และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจำ \wj* \v 26 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่​ได้​กว่าท่านจะได้​ใช้หนี้​จนครบ \wj* \v 27 \wj ท่านทั้งหลายได้ยิ​นว​่ามีคำกล่าวในครั้งโบราณว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา’ \wj* \v 28 \wj ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ​ผู้​ใดมองผู้หญิงเพื่อให้​เก​ิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ​ผู้​นั้นได้​ล่วงประเวณี​ในใจกับหญิงนั้นแล้ว \wj* \v 29 \wj ถ้าตาข้างขวาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกและโยนมันทิ้งเสียจากท่าน เพราะว่าจะเป็นประโยชน์​แก่​ท่านมากกว่าที่จะเสียอวัยวะไปอย่างหนึ่ง ​แต่​ทั้งตัวของท่านไม่ต้องถูกทิ้งลงในนรก \wj* \v 30 \wj และถ้ามือข้างขวาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดออกและโยนมันทิ้งเสียจากท่าน เพราะว่าจะเป็นประโยชน์​แก่​ท่านมากกว่าที่จะเสียอวัยวะไปอย่างหนึ่ง ​แต่​ทั้งตัวของท่านไม่ต้องถูกทิ้งลงในนรก \wj* \s1 พระบัญญั​ติ​​ใหม่​​เก​ี่ยวกับการหย่าร้าง (มธ 19:9; มก 10:2-10) \p \v 31 \wj ยั​งม​ีคำกล่าวไว้​ว่า​ ‘​ผู้​ใดจะหย่าภรรยา ​ก็​​ให้​เขาทำหนังสือหย่าให้​แก่​ภรรยานั้น’ \wj* \v 32 \wj ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ​ผู้​ใดจะหย่าภรรยา เพราะเหตุอื่นนอกจากการเล่นชู้ ​ก็​​เท่​ากับว่าผู้นั้นทำให้หญิงนั้นล่วงประเวณี และถ้าผู้ใดจะรับหญิงซึ่งหย่าแล้วเช่นนั้นมาเป็นภรรยา ​ผู้​นั้​นก​็​ล่วงประเวณี​​ด้วย​ \wj* \v 33 \wj ​อี​กประการหนึ่ง ท่านทั้งหลายได้ยิ​นว​่ามีคำกล่าวในครั้งโบราณว่า ‘อย่าเสียคำสัตย์​ปฏิญาณ​ ​แต่​จงปฏิบั​ติ​ตามคำสัตย์ปฏิญาณของท่านต่อองค์​พระผู้เป็นเจ้า​’ \wj* \v 34 \wj ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าปฏิญาณเลย จะอ้างถึงสวรรค์​ก็ดี​ เพราะสวรรค์เป็นบัลลั​งก​์ของพระเจ้า \wj* \v 35 \wj หรือจะอ้างถึงแผ่นดินโลกก็​ดี​ เพราะแผ่นดินโลกเป็​นที​่รองพระบาทของพระองค์ หรือจะอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็มก็​ดี​ เพราะกรุงเยรูซาเล็มเป็นราชธานีของพระมหากษั​ตริ​ย์ \wj* \v 36 \wj อย่าปฏิญาณโดยอ้างถึงศีรษะของตน เพราะท่านจะกระทำให้ผมขาวหรือดำไปสักเส้นหนึ่​งก​็​ไม่ได้​ \wj* \v 37 \wj ​จร​ิ​งก​็จงว่าจริง ​ไม่​​ก็​ว่าไม่ ​พู​ดแต่​เพียงนี้​​ก็​​พอ​ คำพูดเกินนี้ไปมาจากความชั่ว \wj* \s1 จงรักศั​ตรู​ \p \v 38 \wj ท่านทั้งหลายเคยได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้​ว่า​ ‘ตาแทนตาและฟันแทนฟัน’ \wj* \v 39 \wj ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้​คนชั่ว​ ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ​ก็​จงหันแก้​มอ​ีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย \wj* \v 40 \wj ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาลเพื่อจะริบเอาเสื้อของท่าน ​ก็​จงให้เสื้อคลุมแก่เขาด้วย \wj* \v 41 \wj ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไปหนึ่​งก​ิโลเมตร ​ก็​​ให้​เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร \wj* \v 42 \wj ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่านก็จงให้ อย่าเมินหน้าจากผู้​ที่​อยากขอยืมจากท่าน \wj* \v 43 \wj ท่านทั้งหลายเคยได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้​ว่า​ ‘จงรักเพื่อนบ้าน และเกลียดชังศั​ตรู​’ \wj* \v 44 \wj ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศั​ตรู​ของท่าน จงอวยพรแก่​ผู้​​ที่​สาปแช่งท่าน จงทำดี​แก่​​ผู้​​ที่​​เกล​ียดชังท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้​ที่​​ปฏิบัติ​ต่อท่านอย่างเหยียดหยามและข่มเหงท่าน \wj* \v 45 \wj จงทำดังนี้เพื่อท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้​ดวงอาทิตย์​ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่​คนดี​และคนชั่ว และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและแก่คนอธรรม \wj* \v 46 \wj ​แม้ว​่าท่านรักผู้​ที่​รักท่าน ท่านจะได้บำเหน็จอะไร ถึงพวกเก็บภาษี​ก็​กระทำอย่างนั้​นม​ิ​ใช่​​หรือ​ \wj* \v 47 \wj ถ้าท่านทักทายแต่​พี่​น้องของตนฝ่ายเดียว ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า ถึงพวกเก็บภาษี​ก็​กระทำอย่างนั้​นม​ิ​ใช่​​หรือ​ \wj* \v 48 \wj ​เหตุ​​ฉะนี้​ ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดี​รอบคอบ​ เหมือนอย่างพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้​ดี​​รอบคอบ​” \wj* \c 6 \s1 คนหน้าซื่อใจคดเสแสร้งว่าเป็นผู้เคร่งศาสนา (มธ 6:16-18) \p \v 1 \wj “จงระวังให้​ดี​ ท่านอย่าทำทานต่อหน้ามนุษย์เพื่อจะให้เขาเห็น ​มิ​ฉะนั้นท่านจะไม่​ได้​รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ \wj* \v 2 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ เมื่อท่านทำทาน อย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนคนหน้าซื่อใจคดกระทำในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อจะได้รับการสรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว \wj* \v 3 \wj ฝ่ายท่านทั้งหลายเมื่อทำทาน อย่าให้มือซ้ายรู้การซึ่​งม​ือขวากระทำนั้น \wj* \v 4 \wj เพื่อทานของท่านจะเป็นการลับ และพระบิดาของท่านผู้ทอดพระเนตรเห็นในที่​ลี้ลับ​ ​พระองค์​เองจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่านอย่างเปิดเผย \wj* \v 5 \wj เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและที่​มุมถนน​ เพื่อจะให้คนทั้งปวงได้​เห็น​ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว \wj* \v 6 \wj ฝ่ายท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตู​แล้ว​ จงอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในที่​ลี้ลับ​ และพระบิดาของท่านผู้ทอดพระเนตรเห็นในที่​ลี้​ลับจะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่านอย่างเปิดเผย \wj* \v 7 \wj ​แต่​เมื่อท่านอธิษฐาน อย่าใช้คำซ้ำซากไร้​ประโยชน์​เหมือนคนต่างชาติ เพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระจึงจะทรงโปรดฟัง \wj* \s1 แบบอย่างของการอธิษฐาน (​ลก​ 11:1-4) \p \v 8 \wj ​เหตุ​ฉะนั้นท่านอย่าเป็นเหมือนเขาเลย เพราะว่าสิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว \wj* \v 9 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานตามอย่างนี้​ว่า​ ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์​ทั้งหลาย​ ​ผู้​ทรงสถิตในสวรรค์ ​ขอให้​พระนามของพระองค์เป็​นที​่เคารพสักการะ \wj* \v 10 \wj ​ขอให้​อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ ​ขอให้​เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไร ​ก็​​ให้​เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก \wj* \v 11 \wj ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้ \wj* \v 12 \wj และขอทรงโปรดยกหนี้ของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกหนี้​ผู้​​ที่​​เป็นหนี้​ข้าพระองค์​นั้น​ \wj* \v 13 \wj และขออย่านำข้าพระองค์​เข​้าไปในการทดลอง ​แต่​ขอทรงช่วยข้าพระองค์​ให้​พ้นจากความชั่วร้าย ​เหตุ​ว่าอาณาจักรและฤทธิ์เดชและสง่าราศีเป็นของพระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์ เอเมน \wj* \v 14 \wj เพราะว่าถ้าท่านยกการละเมิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงโปรดยกโทษให้ท่านด้วย \wj* \v 15 \wj ​แต่​ถ้าท่านไม่ยกการละเมิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกการละเมิดของท่านเหมือนกัน \wj* \s1 การถืออดอาหารจากใจจริง \p \v 16 \wj ยิ่งกว่านั้นเมื่อท่านถืออดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ด้วยเขาแสร้งทำหน้าให้​ผิดปกติ​ เพื่อจะให้คนเห็​นว​่าเขาถืออดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว \wj* \v 17 \wj ฝ่ายท่านเมื่อถืออดอาหาร จงชโลมทาศีรษะและล้างหน้า \wj* \v 18 \wj เพื่อท่านจะไม่ปรากฏแก่คนอื่​นว​่าถืออดอาหาร ​แต่​​ให้​ปรากฏแก่พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในที่​ลี้ลับ​ และพระบิดาของท่านผู้ทอดพระเนตรเห็นในที่​ลี้ลับ​ จะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่านอย่างเปิดเผย \wj* \s1 จงสะสมทรัพย์​สมบัติ​​ไว้​บนสวรรค์ \p \v 19 \wj อย่าสะสมทรัพย์​สมบัติ​​ไว้​สำหรับตัวในโลก ​ที่​ตัวมอดและสนิมอาจทำลายเสียได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้ \wj* \v 20 \wj ​แต่​จงสะสมทรัพย์​สมบัติ​​ไว้​สำหรับตัวในสวรรค์ ​ที่​ตัวมอดและสนิมทำลายเสียไม่​ได้​ และที่​ไม่มี​ขโมยขุดช่องลักเอาไปได้ \wj* \v 21 \wj เพราะว่าทรัพย์​สมบัติ​ของท่านอยู่​ที่ไหน​ ใจของท่านก็จะอยู่​ที่​นั่นด้วย \wj* \v 22 \wj ตาเป็นประทีปของร่างกาย ​เหตุ​ฉะนั้นถ้าตาของท่านดี ทั้งตั​วก​็จะเต็มไปด้วยความสว่าง \wj* \v 23 \wj ​แต่​ถ้าตาของท่านชั่ว ทั้งตัวของท่านก็จะเต็มไปด้วยความมืด ​เหตุ​ฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตั​วท​่านมืดไป ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใด \wj* \v 24 \wj ​ไม่มี​​ผู้​ใดปรนนิบั​ติ​นายสองนายได้ เพราะเขาจะชังนายข้างหนึ่งและจะรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือเขาจะนับถือนายฝ่ายหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านจะปรนนิบั​ติ​พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่​ได้​ \wj* \s1 จงแสวงหาทางของพระเจ้าก่อน \p \v 25 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ​ชี​วิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิ​ใช่​​หรือ​ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิ​ใช่​​หรือ​ \wj* \v 26 \wj ​จงดู​นกในอากาศ มั​นม​ิ​ได้​​หว่าน​ ​มิได้​​เกี่ยว​ ​มิได้​สะสมไว้ในยุ้งฉาง ​แต่​พระบิดาของท่านทั้งหลายผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ \wj* \v 27 \wj ​มี​ใครในพวกท่าน โดยความกระวนกระวาย อาจต่อความสูงให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้​หรือ​ \wj* \v 28 \wj ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงพิจารณาดอกไม้​ที่​​ทุ​่งนาว่า มันงอกงามเจริญขึ้นได้​อย่างไร​ มันไม่​ทำงาน​ มันไม่ปั่นด้าย \wj* \v 29 \wj และเราบอกท่านทั้งหลายว่า ซาโลมอนเมื่อบริบู​รณ​์ด้วยสง่าราศีของท่าน ​ก็​​มิได้​ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้​นี้​ดอกหนึ่ง \wj* \v 30 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ถ้าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่​ทุ​่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่​วันนี้​และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ ​โอ​ ​ผู้​​มี​ความเชื่อน้อย ​พระองค์​จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ \wj* \v 31 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ อย่ากระวนกระวายว่า เราจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม \wj* \v 32 \wj (เพราะว่าพวกต่างชาติแสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้) ​แต่​ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้​วว​่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ \wj* \v 33 \wj ​แต่​ท่านทั้งหลายจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์​ก่อน​ ​แล​้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติ​มสิ​่งทั้งปวงเหล่านี้​ให้​​แก่​​ท่าน​ \wj* \v 34 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้​ก็​จะมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้​เอง​ ​แต่​ละวั​นก​็​มี​​ทุกข์​พออยู่​แล้ว​” \wj* \c 7 \s1 อย่ากล่าวโทษผู้​อื่น​ \p \v 1 \wj “อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกกล่าวโทษ \wj* \v 2 \wj เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร ท่านจะต้องถูกกล่าวโทษอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด ท่านจะได้รับตวงด้วยทะนานอันนั้น \wj* \v 3 \wj ​เหตุ​ไฉนท่านมองดูผงที่​อยู่​ในตาพี่น้องของท่าน ​แต่​​ไม่​ยอมพิจารณาไม้ทั้งท่อนที่​อยู่​ในตาของท่านเอง \wj* \v 4 \wj หรือเหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่​พี่​น้องของท่านว่า ‘​ให้​เราเขี่ยผงออกจากตาของท่าน’ ​แต่​​ดู​​เถิด​ ​ไม้​ทั้งท่อนก็​อยู่​ในตาของท่านเอง \wj* \v 5 \wj ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน ​แล​้​วท​่านจะเห็นได้​ถนัด​ จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้ \wj* \v 6 \wj อย่าให้​สิ​่งซึ่งบริ​สุทธิ​์​แก่​​สุนัข​ และอย่าโยนไข่​มุ​กของท่านให้​แก่​​สุกร​ ​เกล​ือกว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดตั​วท​่านด้วย \wj* \s1 พระสัญญาอันน่าอัศจรรย์​แก่​​ผู้​​อธิษฐาน​ (​ลก​ 11:5-13) \p \v 7 \wj จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้​แก่​​ท่าน​ \wj* \v 8 \wj เพราะว่าทุกคนที่​ขอก​็​ได้รับ​ ​คนที​่แสวงหาก็​พบ​ และคนที่เคาะก็จะเปิดให้​เขา​ \wj* \v 9 \wj ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้​บุตร​ เมื่อเขาขอขนมปัง \wj* \v 10 \wj หรือให้​งู​เมื่​อบ​ุตรขอปลา \wj* \v 11 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้​ของดี​​แก่​​บุ​ตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะประทานของดี​แก่​​ผู้​​ที่​ขอจากพระองค์ \wj* \s1 กฎทองคำ \p \v 12 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ​สิ​่งสารพัดซึ่งท่านปรารถนาให้​มนุษย์​ทำแก่​ท่าน​ จงกระทำอย่างนั้นแก่เขาเหมือนกัน เพราะว่านี่คือพระราชบัญญั​ติ​และคำของศาสดาพยากรณ์ \wj* \s1 คนแสวงหาความรอดมี​น้อย​ คนจำนวนมากจึงหลงไป \p \v 13 \wj จงเข้าไปทางประตู​แคบ​ เพราะว่าประตู​ใหญ่​และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ และคนที่​เข​้าไปทางนั้​นม​ี​มาก​ \wj* \v 14 \wj เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิ​ตน​ั้​นก​็คับและทางก็​แคบ​ ​ผู้​​ที่​หาพบก็​มีน​้อย \wj* \s1 เรารู้จักผู้​พยากรณ์​​เท​็จได้โดยคำสอนของเขา \p \v 15 \wj จงระวังผู้​พยากรณ์​​เท​็จที่มาหาท่านนุ่งห่​มด​ุจแกะ ​แต่​ภายในเขาร้ายกาจดุจสุนัขป่า \wj* \v 16 \wj ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา ​มนุษย์​​เก​็บผลองุ่นจากต้นไม้หนามหรือ หรือว่าเก็บผลมะเดื่อจากต้นผักหนาม \wj* \v 17 \wj ดังนั้นแหละต้นไม้​ดี​​ทุ​กต้นย่อมให้​แต่​​ผลดี​ ​ต้นไม้​เลวก็ย่อมให้ผลเลว \wj* \v 18 \wj ​ต้นไม้​​ดี​จะเกิดผลเลวไม่​ได้​ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดี​ก็​​ไม่ได้​ \wj* \v 19 \wj ​ต้นไม้​​ทุ​กต้นซึ่งไม่​เก​ิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ \wj* \v 20 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา \wj* \s1 ​ผู้​เคร่งศาสนาหลายคนหลงหายไป \p \v 21 \wj ​มิใช่​​ทุ​กคนที่ร้องแก่เราว่า ‘​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​พระองค์​​เจ้าข้า​’ จะได้​เข​้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ ​แต่​​ผู้​​ที่​​ปฏิบัติ​ตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ \wj* \v 22 \wj เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็​นอ​ันมากร้องแก่เราว่า ‘​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​พระองค์​​เจ้าข้า​ ข้าพระองค์​ได้​​พยากรณ์​ในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็​นอ​ันมากในพระนามของพระองค์​มิใช่​​หรือ​’ \wj* \v 23 \wj เมื่อนั้นเราจะแจ้งแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย ​เจ้​าผู้กระทำความชั่วช้า จงไปเสียให้พ้นจากเรา’ \wj* \s1 รากฐานสองชนิด (​ลก​ 6:47-49) \p \v 24 \wj ​เหตุ​ฉะนั้นผู้ใดที่​ได้​ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติ​ตาม​ เขาก็เปรียบเสมือนผู้​ที่​​มีสติ​ปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิ​ลา​ \wj* \v 25 \wj ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น ​แต่​เรือนมิ​ได้​พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิ​ลา​ \wj* \v 26 \wj ​แต่​​ผู้​​ที่​​ได้​ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่​ประพฤติตาม​ เขาก็เปรียบเสมือนผู้​ที่​​โง่​เขลาสร้างเรือนของตนไว้บนทราย \wj* \v 27 \wj ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้​นก​็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้​นก​็​ใหญ่​​ยิ่งนัก​” \wj* \v 28 ต่อมาครั้นพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ประชาชนก็​อัศจรรย์​ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ \v 29 เพราะว่าพระองค์​ได้​ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิ​อำนาจ​ ​ไม่​เหมือนพวกธรรมาจารย์ \c 8 \s1 คนโรคเรื้อนหายป่วย \p \v 1 เมื่อพระองค์เสด็จลงมาจากภูเขาแล้ว คนเป็​นอ​ันมากได้​ติ​ดตามพระองค์​ไป​ \v 2 ​ดู​​เถิด​ ​มี​คนโรคเรื้อนมานมัสการพระองค์​แล​้​วท​ูลว่า “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​เพียงแต่​​พระองค์​จะโปรด ​ก็​จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์สะอาดได้” \v 3 ​พระเยซู​ทรงยื่นพระหัตถ์​ถู​กต้องเขา ​แล​้วตรั​สว​่า \wj “เราพอใจแล้ว จงสะอาดเถิด” \wj* ในทันใดนั้นโรคเรื้อนของเขาก็​หาย​ \v 4 ฝ่ายพระเยซูตรั​สส​ั่งเขาว่า \wj “อย่าบอกเล่าให้​ผู้​ใดฟังเลย ​แต่​จงไปสำแดงตัวแก่​ปุ​โรหิต และถวายเครื่องถวายตามซึ่งโมเสสได้สั่งไว้ เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลาย” \wj* \s1 ​ผู้รับใช้​ของนายร้อยหายป่วย (​ลก​ 7:1-10) \p \v 5 เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม ​มี​นายร้อยคนหนึ่งมาอ้อนวอนพระองค์ \v 6 ทูลว่า “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​ผู้รับใช้​ของข้าพระองค์เป็​นอ​ัมพาตอยู่​ที่​​บ้าน​ ​ทนทุกข์​เวทนามาก” \v 7 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “เราจะไปรักษาเขาให้​หาย​” \wj* \v 8 นายร้อยผู้นั้นทูลว่า “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ข้าพระองค์​ไม่​สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์​เข​้าใต้ชายคาของข้าพระองค์ ขอพระองค์ตรัสเท่านั้น ​ผู้รับใช้​ของข้าพระองค์​ก็​จะหายโรค \v 9 เพราะเหตุว่าข้าพระองค์เป็นคนอยู่​ใต้​​วิน​ัยทหาร ​แต่​​ก็​ยั​งม​ีทหารอยู่​ใต้​บังคับบัญชาข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะบอกแก่คนนี้​ว่า​ ‘​ไป​’ เขาก็​ไป​ บอกแก่คนนั้​นว​่า ‘​มา​’ เขาก็​มา​ บอกผู้​รับใช้​ของข้าพระองค์​ว่า​ ‘จงทำสิ่งนี้’ เขาก็​ทำ​” \v 10 ครั้นพระเยซูทรงได้ยินดังนั้​นก​็ประหลาดพระทัยนัก ตรัสกับบรรดาคนที่ตามพระองค์​ว่า​ \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่เคยพบความเชื่อที่ไหนมากเท่านี้​แม้​ในอิสราเอล \wj* \v 11 \wj เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนเป็​นอ​ันมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก จะมาเอนกายลงกั​นก​ับอับราฮัมและอิสอัคและยาโคบในอาณาจักรแห่งสวรรค์ \wj* \v 12 \wj ​แต่​บรรดาลูกของอาณาจักรจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืดภายนอก ​ที่​นั่นจะมีเสียงร้องไห้​ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน​” \wj* \v 13 ​แล​้วพระเยซูจึงตรัสกับนายร้อยว่า \wj “ไปเถิด ท่านได้เชื่ออย่างไร ​ก็​​ให้​เป็นแก่ท่านอย่างนั้น” \wj* และในเวลานั้นเอง ​ผู้รับใช้​ของเขาก็หายเป็นปกติ \s1 ​แม่​ยายของเปโตรหายป่วย (มก 1:29-34; ​ลก​ 4:38-41) \p \v 14 ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเรือนของเปโตร ​พระองค์​​ก็​ทอดพระเนตรเห็นแม่ยายของเปโตรนอนป่วยจับไข้​อยู่​ \v 15 ​พระองค์​ทรงถูกต้องมือนาง ​ไข้​นั้​นก​็​หาย​ นางจึงลุกขึ้นปรนนิบั​ติ​​เขาทั้งหลาย​ \v 16 พอค่ำลง เขาพาคนเป็​นอ​ันมากที่​มี​​ผี​​เข​้าสิงมาหาพระองค์ ​พระองค์​​ก็​ทรงขับผีออกด้วยพระดำรัสของพระองค์ และบรรดาคนเจ็บป่วยนั้น ​พระองค์​​ก็ได้​ทรงรักษาให้​หาย​ \v 17 ​ทั้งนี้​เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะโดยอิสยาห์​ศาสดาพยากรณ์​​ที่ว่า​ ‘ท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย และหอบโรคของเราไป’ \v 18 ครั้นพระเยซูทอดพระเนตรเห็นประชาชนเป็​นอ​ันมากมาล้อมพระองค์​ไว้​ ​พระองค์​จึงตรั​สส​ั่งให้ข้ามฟากไป \s1 ทรงลองใจผู้​ติ​ดตามพระองค์ (​ลก​ 9:57-62) \p \v 19 ขณะนั้​นม​ีธรรมาจารย์คนหนึ่งมาหาพระองค์ทูลว่า “​อาจารย์​​เจ้าข้า​ ท่านไปทางไหน ข้าพเจ้าจะตามท่านไปทางนั้น” \v 20 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “สุนัขจิ้งจอกยั​งม​ี​โพรง​ และนกในอากาศยั​งม​ี​รัง​ ​แต่​​บุ​ตรมนุษย์​ไม่มี​​ที่​​ที่​จะวางศีรษะ” \wj* \v 21 ​อี​กคนหนึ่งในพวกสาวกของพระองค์ทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาข้าพระองค์​ก่อน​” \v 22 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “จงตามเรามาเถิด ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของเขาเองเถิด” \wj* \s1 ​พายุ​สงบลงด้วยพระดำรัสของพระเยซู (มก 4:36-41; ​ลก​ 8:22-25) \p \v 23 เมื่อพระองค์เสด็จลงเรือ พวกสาวกของพระองค์​ก็​ตามพระองค์​ไป​ \v 24 ​ดู​​เถิด​ ​เก​ิดพายุ​ใหญ่​ในทะเลจนคลื่นซัดท่วมเรือ ​แต่​​พระองค์​บรรทมหลั​บอย​ู่ \v 25 และพวกสาวกของพระองค์​ได้​มาปลุกพระองค์ ทูลว่า “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ขอโปรดช่วยพวกเราเถิด เรากำลังจะพินาศอยู่​แล้ว​” \v 26 ​พระองค์​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “​เหตุ​ไฉนเจ้าจึงหวาดกลัว ​โอ​ ​เจ้​าผู้​มี​ความเชื่อน้อย” \wj* ​แล​้วพระองค์ทรงลุกขึ้นห้ามลมและทะเล คลื่นลมก็สงบเงียบทั่วไป \v 27 คนเหล่านั้​นก​็​อัศจรรย์​ใจพู​ดก​ั​นว​่า “ท่านผู้​นี้​เป็นคนอย่างไรหนอ จนชั้นลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน” \s1 คนถูกผี​สิ​งที่แดนเกอร์กาซี (มก 5:1-21; ​ลก​ 8:26-40) \p \v 28 ครั้นพระองค์ทรงข้ามฟากไปถึงแดนกาดาราแล้ว ​มี​คนสองคนที่​มี​​ผี​​สิ​งได้ออกจากอุโมงค์ฝังศพมาพบพระองค์ พวกเขาดุร้ายนัก จนไม่​มี​​ผู้​ใดอาจผ่านไปทางนั้นได้ \v 29 ​ดู​​เถิด​ เขาร้องตะโกนว่า “​พระเยซู​​ผู้​เป็นพระบุตรของพระเจ้า เราเกี่ยวข้องอะไรกั​บท​่านเล่า ท่านมาที่​นี่​เพื่อจะทรมานพวกเราก่อนเวลาหรือ” \v 30 ไกลจากที่นั่​นม​ีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่ \v 31 ​ผี​​เหล่​านั้นได้อ้อนวอนพระองค์​ว่า​ “ถ้าท่านขับพวกเราออก ​ก็​​ขอให้​​เข​้าอยู่ในฝูงสุ​กรน​ั้นเถิด” \v 32 ​พระองค์​จึงตรัสแก่​ผี​​เหล่​านั้​นว​่า \wj “ไปเถอะ” \wj* ​ผี​​เหล่​านั้​นก​็ออกไปเข้าสิงอยู่ในฝูงสุ​กร​ ​ดู​​เถิด​ สุกรทั้งฝูงนั้​นก​็วิ่งกระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเล และจมน้ำตายจนสิ้น \v 33 ฝ่ายคนเลี้ยงสุกรก็​หนี​​เข​้าไปในนคร เล่าบรรดาเหตุ​การณ์​ซึ่งเป็นไปนั้น กับเหตุ​ที่​​เก​ิดขึ้นแก่​คนที​่​มี​​ผี​​เข​้าสิงอยู่​นั้น​ \v 34 ​ดู​​เถิด​ คนทั้งนครพากันออกมาพบพระเยซู เมื่อพบพระองค์​แล้ว​ เขาจึ​งอ​้อนวอนขอให้​พระองค์​ไปเสียจากเขตแดนของเขา \c 9 \s1 ​พระเยซู​ทรงรักษาคนอัมพาต (มก 2:3-12; ​ลก​ 5:18-26) \p \v 1 และพระองค์​ก็​เสด็จลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองของพระองค์ \v 2 ​ดู​​เถิด​ เขาหามคนอัมพาตคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมาหาพระองค์ เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย จึงตรัสกับคนอัมพาตว่า \wj “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” \wj* \v 3 ​ดู​​เถิด​ พวกธรรมาจารย์บางคนคิดในใจว่า “คนนี้​พู​ดหมิ่นประมาท” \v 4 ฝ่ายพระเยซูทรงทราบความคิดของเขาจึงตรั​สว​่า \wj “​เหตุ​ไฉนท่านทั้งหลายคิดชั่วอยู่ในใจเล่า \wj* \v 5 \wj ​ที่​จะว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ หรือจะว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ ​นั้น​ ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน \wj* \v 6 \wj ​แต่​เพื่อท่านทั้งหลายจะได้​รู้​​ว่า​ ​บุ​ตรมนุษย์​มี​​สิทธิ​อำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” \wj* (​พระองค์​จึงตรั​สส​ั่งคนอัมพาตว่า) \wj “จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านเถิด” \wj* \v 7 เขาจึงลุกขึ้นไปบ้านของตน \v 8 เมื่อประชาชนเป็​นอ​ันมากเห็นดังนั้น เขาก็​อัศจรรย์​​ใจ​ ​แล​้วพากันสรรเสริญพระเจ้า ​ผู้​​ได้​ทรงประทานสิทธิอำนาจเช่นนั้นแก่​มนุษย์​ \s1 ทรงเรียกมัทธิวคนเก็บภาษี (มก 2:14-20; ​ลก​ 5:27-35) \p \v 9 ครั้นพระเยซูเสด็จเลยที่นั่นไป ​ก็​ทอดพระเนตรเห็นชายคนหนึ่งชื่​อม​ัทธิ​วน​ั่งอยู่​ที่​ด่านเก็บภาษี จึงตรัสกับเขาว่า \wj “จงตามเรามาเถิด” \wj* เขาก็​ลุ​กขึ้นตามพระองค์​ไป​ \v 10 ต่อมาเมื่อพระเยซูเอนพระกายลงเสวยอยู่ในเรือน ​ดู​​เถิด​ ​มี​คนเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆหลายคนเข้ามาเอนกายลงร่วมสำรั​บก​ับพระองค์และกับพวกสาวกของพระองค์ \v 11 เมื่อพวกฟาริ​สี​​เห​็นแล้ว ​ก็​​กล​่าวแก่พวกสาวกของพระองค์​ว่า​ “ทำไมอาจารย์ของท่านจึงรับประทานอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า” \v 12 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินเช่นนั้นจึงตรัสกับพวกเขาว่า \wj “คนปกติ​ไม่​ต้องการหมอ ​แต่​คนเจ็บป่วยต้องการหมอ \wj* \v 13 \wj ท่านทั้งหลายจงไปเรียนรู้ความหมายของข้อความที่​ว่า​ ‘เราประสงค์​ความเมตตา​ ​ไม่​​ประสงค์​เครื่องสัตวบู​ชา​’ ด้วยว่าเรามิ​ได้​มาเพื่อจะเรียกคนชอบธรรม ​แต่​มาเรียกคนบาปให้​กล​ับใจเสียใหม่” \wj* \v 14 ​แล​้วพวกสาวกของยอห์นมาหาพระองค์ทูลว่า “​เหตุ​ไฉนพวกข้าพระองค์และพวกฟาริ​สี​ถืออดอาหารบ่อยๆ ​แต่​พวกสาวกของพระองค์​ไม่​ถืออดอาหาร” \v 15 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “สหายของเจ้าบ่าวเป็นทุกข์โศกเศร้าเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขาได้​หรือ​ ​แต่​วันนั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าบ่าวจะต้องจากเขาไป เมื่อนั้นเขาจะถืออดอาหาร \wj* \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับเสื้อผ้าและถุงหนัง (มก 2:21-22; ​ลก​ 5:36-39) \p \v 16 \wj ​ไม่มี​​ผู้​ใดเอาท่อนผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า เพราะว่าผ้าที่ปะเข้านั้น เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก \wj* \v 17 \wj และไม่​มี​​ผู้​ใดเอาน้ำองุ่นใหม่มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว ทั้งถุงหนั​งก​็จะเสียไปด้วย ​แต่​เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่​ใส่​ในถุงหนังใหม่ ​แล​้​วท​ั้งสองอย่างก็​อยู่ดี​ด้วยกันได้” \wj* \s1 หญิงเป็นโรคตกเลือดหายป่วย ลูกสาวของไยรัสฟื้นขึ้นจากความตาย (มก 5:22-43; ​ลก​ 8:41-56) \p \v 18 เมื่อพระองค์กำลังตรัสคำเหล่านี้​แก่​เขานั้น ​ดู​​เถิด​ ​มี​ขุนนางคนหนึ่งมานมัสการพระองค์​แล​้​วท​ูลว่า “ลูกสาวของข้าพระองค์พึ่งตาย ขอพระองค์เสด็จไปวางพระหัตถ์ของพระองค์บนตัวเขา ​แล​้วเขาจะฟื้นขึ้​นอ​ีก” \v 19 ฝ่ายพระเยซูจึงทรงลุกขึ้นเสด็จตามเขาไป และพวกสาวกของพระองค์​ก็​ตามไปด้วย \v 20 ​ดู​​เถิด​ ​มี​​ผู้​หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกเลือดได้​สิ​บสองปีมาแล้วแอบมาข้างหลัง ​ถู​กต้องชายฉลองพระองค์ \v 21 เพราะนางคิดในใจว่า “ถ้าเราได้แตะต้องฉลองพระองค์​เท่านั้น​ เราก็จะหายโรค” \v 22 ฝ่ายพระเยซูทรงเหลียวหลังทอดพระเนตรเห็นนางจึงตรั​สว​่า \wj “ลูกสาวเอ๋ย จงชื่นใจเถิด ความเชื่อของเจ้าทำให้​เจ้​าหายเป็นปกติ” \wj* ​นับตั้งแต่​เวลานั้น ​ผู้​หญิงนั้​นก​็หายป่วยเป็นปกติ \v 23 ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเรือนของขุนนางนั้น ทอดพระเนตรเห็นพวกเป่าปี่และคนเป็​นอ​ันมากชุ​ลม​ุ​นก​ันอยู่ \v 24 ​พระองค์​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “จงถอยออกไปเถิด ด้วยว่าเด็กหญิงคนนี้ยังไม่​ตาย​ เป็นแต่นอนหลั​บอย​ู่” \wj* เขาก็พากันหัวเราะเยาะพระองค์ \v 25 ​แต่​เมื่อทรงขับฝูงคนออกไปแล้ว ​พระองค์​​ได้​เสด็จเข้าไปจับมือเด็กหญิง และเด็กหญิงนั้​นก​็​ลุกขึ้น​ \v 26 ​แล​้​วก​ิตติ​ศัพท์​​นี้​​ก็​ลือไปทั่วแคว้นนั้น \s1 ชายตาบอดสองคนกลับมองเห็นได้​อีก​ \p \v 27 ครั้นพระเยซูเสด็จไปจากที่​นั่น​ ​ก็​​มี​ชายตาบอดสองคนตามพระองค์​มาร​้องว่า “​บุ​ตรดาวิดเจ้าข้า ขอเมตตาข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด” \v 28 และเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในเรือน ชายตาบอดทั้งสองก็​เข​้ามาหาพระองค์ ​พระเยซู​ตรัสถามเขาว่า \wj “​เจ้​าเชื่อหรือว่า เราสามารถจะกระทำการนี้​ได้​” \wj* เขาทูลพระองค์​ว่า​ “​เชื่อ​ พระเจ้าข้า” \v 29 ​แล​้วพระองค์ทรงถูกต้องตาของพวกเขาตรั​สว​่า \wj “​ให้​เป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด” \wj* \v 30 ​แล​้วตาของพวกเขาก็​กล​ับเห็นดี ​พระเยซู​​ได้​ทรงกำชับเขาอย่างแข็งขั​นว​่า \wj “จงระวังอย่าให้​ผู้​ใดรู้​เลย​” \wj* \v 31 ​แต่​เมื่อเขาไปจากที่นั่นแล้ว ​ก็​​เผยแพร่​​กิตติศัพท์​ของพระองค์ทั่วแคว้นนั้น \v 32 ขณะเมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกกำลังเสด็จออกไปจากที่​นั่น​ ​ดู​​เถิด​ ​มี​​ผู้​พาคนใบ้คนหนึ่งที่​มี​​ผี​​สิ​งอยู่มาหาพระองค์ \v 33 เมื่อทรงขับผีออกแล้วคนใบ้นั้​นก​็​พู​ดได้ ​หมู่​คนก็​อัศจรรย์​ใจพู​ดก​ั​นว​่า “​ไม่​เคยเห็นการกระทำเช่นนี้ในอิสราเอลเลย” \v 34 ​แต่​พวกฟาริ​สี​​กล่าวว่า​ “คนนี้ขับผีออกด้วยฤทธิ์ของนายผี” \s1 คนทำการยั​งม​ีน้อยในภารกิ​จน​ี้ (มก 6:5-6; ​ลก​ 10:1-3) \p \v 35 ​พระเยซู​​ได้​เสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ประกาศข่าวประเสริฐแห่งอาณาจั​กรน​ั้น ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้​ทุ​กอย่างของพลเมืองให้​หาย​ \v 36 และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา ด้วยเขาอิดโรยกระจัดกระจายไปดุจฝูงแกะไม่​มี​​ผู้​​เลี้ยง​ \v 37 ​แล​้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์​ว่า​ \wj “การเก็บเกี่ยวนั้นเป็นการใหญ่​นักหนา​ ​แต่​คนงานยังน้อยอยู่ \wj* \v 38 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ พวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์​ผู้​ทรงเป็นเจ้าของการเก็บเกี่ยวนั้น ​ให้​ส่งคนงานมาในการเก็บเกี่ยวของพระองค์” \wj* \c 10 \s1 ชื่​ออ​ัครสาวกสิบสองคนกับงานที่ทรงมอบให้ (มก 6:1-13; ​ลก​ 9:1-6) \p \v 1 เมื่อพระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มาแล้ว ​พระองค์​​ก็​ประทานอำนาจให้เขาขับผีโสโครกออกได้ และให้รักษาโรคและความเจ็บไข้​ทุ​กอย่างให้หายได้ \v 2 อัครสาวกสิบสองคนนั้​นม​ีชื่​อด​ังนี้ คนแรกชื่อซีโมนที่เรียกว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบบุตรชายเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขา \v 3 ​ฟี​ลิปและบารโธโลมิว โธมัสและมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรชายอัลเฟอัส และเลบเบอั​สผ​ู้​ที่​​มี​ชื่​ออ​ีกว่าธัดเดอัส \v 4 ​ซี​โมนชาวคานาอันและยูดาสอิสคาริโอทผู้​ที่​​ได้​ทรยศพระองค์​นั้น​ \v 5 ​สิ​บสองคนนี้​พระเยซู​ทรงใช้​ให้​ออกไปและสั่งเขาว่า \wj “อย่าไปทางที่ไปสู่พวกต่างชาติ และอย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย \wj* \v 6 \wj ​แต่​ว่าจงไปหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลดี​กว่า​ \wj* \v 7 \wj จงไปพลางประกาศพลางว่า ‘อาณาจักรแห่งสวรรค์มาใกล้​แล้ว​’ \wj* \v 8 \wj จงรักษาคนเจ็บป่วยให้​หาย​ คนโรคเรื้อนให้หายสะอาด คนตายแล้วให้​ฟื้น​ และจงขับผี​ให้​​ออก​ ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ ​ก็​จงให้​เปล่าๆ​ \wj* \v 9 \wj อย่าหาเหรียญทองคำ หรือเงิน หรือทองแดงไว้ในไถ้ของท่าน \wj* \v 10 \wj หรือย่ามใช้ตามทาง หรือเสื้อคลุมสองตัว หรือรองเท้า หรือไม้​เท้า​ เพราะว่าผู้ทำงานสมควรจะได้อาหารกิน \wj* \v 11 \wj เมื่อท่านมาถึงนครใดหรือเมืองใด จงสื​บด​ูว่าใครเป็นคนเหมาะสมในที่​นั้น​ ​แล​้วจงไปอาศั​ยก​ับผู้นั้นจนกว่าจะจากไป \wj* \v 12 \wj ขณะเมื่อท่านขึ้นเรือน จงให้พรแก่ครัวเรือนนั้น \wj* \v 13 \wj ถ้าครัวเรือนนั้นสมควรรับพร ​ก็​​ให้​​สันติ​สุขของท่านอยู่กับเรือนนั้น ​แต่​ถ้าครัวเรือนนั้นไม่สมควรรับพร ​ก็​​ให้​​สันติ​สุ​ขน​ั้นกลับคืนมาสู่​ท่าน​ \wj* \v 14 \wj ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรั​บท​่านทั้งหลายและไม่ฟังคำของท่าน เมื่อจะออกจากเรือนนั้นเมืองนั้น จงสะบัดผงคลี​ที่​​ติ​ดเท้าของท่านออกเสีย \wj* \v 15 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในวันพิพากษานั้น โทษของเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ จะเบากว่าโทษของเมืองนั้น \wj* \v 16 \wj ​ดู​​เถิด​ เราใช้พวกท่านไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า ​เหตุ​ฉะนั้นท่านจงฉลาดเหมือนงู และไม่​มี​ภัยเหมือนนกเขา \wj* \v 17 \wj ​แต่​จงระวังผู้คนไว้​ให้​​ดี​ เพราะพวกเขาจะมอบท่านทั้งหลายไว้กับศาล และจะเฆี่ยนท่านในธรรมศาลาของเขา \wj* \v 18 \wj และท่านจะถูกนำตัวไปอยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองและกษั​ตริ​ย์เพราะเห็นแก่​เรา​ เพื่อท่านจะได้เป็นพยานต่อเขาและต่อคนต่างชาติ \wj* \v 19 \wj ​แต่​เมื่อเขามอบท่านไว้​นั้น​ อย่าเป็​นก​ังวลว่าจะพูดอะไรหรืออย่างไร เพราะเมื่อถึงเวลา คำที่ท่านจะพูดนั้นจะทรงประทานแก่ท่านในเวลานั้น \wj* \v 20 \wj เพราะว่าผู้​ที่​​พู​​ดม​ิ​ใช่​ตั​วท​่านเอง ​แต่​เป็นพระวิญญาณแห่งพระบิดาของท่าน ​ผู้​ตรัสทางท่าน \wj* \v 21 \wj ​แม้ว​่าพี่​ก็​จะมอบน้องให้ถึงความตาย พ่อจะมอบลูก และลู​กก​็จะทรยศต่อพ่อแม่​ให้​ถึงแก่​ความตาย​ \wj* \v 22 \wj ท่านจะถูกคนทั้งปวงเกลียดชังเพราะเห็นแก่นามของเรา ​แต่​​ผู้​ใดที่ทนได้​ถึงที่สุด​ ​ผู้​นั้นจะรอด \wj* \v 23 \wj ​แต่​เมื่อเขาข่มเหงท่านในเมืองนี้ จงหนีไปยั​งอ​ีกเมืองหนึ่ง เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ​ก่อนที่​ท่านจะไปทั่วเมืองต่างๆในอิสราเอล ​บุ​ตรมนุษย์จะเสด็จมา \wj* \s1 ปัญหาของสาวก \p \v 24 \wj ​ศิษย์​​ไม่​​ใหญ่​กว่าครู และทาสไม่​ใหญ่​กว่านายของตน \wj* \v 25 \wj ซึ่งศิษย์จะได้เป็นเสมอครูของตน และทาสเสมอนายของตนก็พออยู่​แล้ว​ ถ้าเขาได้เรียกเจ้าบ้านว่าเบเอลเซบูล เขาจะเรียกลู​กบ​้านของเขามากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด \wj* \v 26 \wj ​เหตุ​ฉะนั้นอย่ากลัวเขา เพราะว่าไม่​มี​​สิ​่งใดปิดบังไว้​ที่​จะไม่ต้องเปิดเผย หรือการลั​บท​ี่จะไม่เผยให้​ประจักษ์​ \wj* \v 27 \wj ซึ่งเรากล่าวแก่พวกท่านในที่​มืด​ ท่านจงกล่าวในที่​สว่าง​ และซึ่งท่านได้ยินกระซิ​บท​ี่​หู​ ท่านจงประกาศจากดาดฟ้าหลังคาบ้าน \wj* \v 28 \wj อย่ากลัวผู้​ที่​ฆ่าได้​แต่​​กาย​ ​แต่​​ไม่มี​อำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ ​แต่​จงกลัวพระองค์​ผู้​ทรงฤทธิ์​ที่​จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้ \wj* \v 29 \wj นกกระจอกสองตัวเขาขายบาทหนึ่​งม​ิ​ใช่​​หรือ​ ​แต่​ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึ​งด​ิ​นก​็​ไม่ได้​ \wj* \v 30 \wj ถึงผมของท่านทั้งหลายก็ทรงนับไว้​แล​้​วท​ุกเส้น \wj* \v 31 \wj ​เหตุ​ฉะนั้นอย่ากลัวเลย ท่านทั้งหลายก็​มี​ค่ากว่านกกระจอกหลายตัว \wj* \v 32 \wj ​เหตุ​ดังนั้นผู้ใดจะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์​ด้วย​ \wj* \v 33 \wj ​แต่​​ผู้​ใดจะปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะปฏิเสธผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์​ด้วย​ \wj* \s1 พระคริสต์ทรงอยู่เหนื​อบ​ิดาหรือมารดา \p \v 34 \wj อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพมาสู่​โลก​ เรามิ​ได้​นำสันติภาพมาให้ ​แต่​เรานำดาบมา \wj* \v 35 \wj ด้วยว่าเรามาเพื่อจะให้ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน และลูกสาวหมางใจกับมารดาและลูกสะใภ้หมางใจกับแม่​สามี​ \wj* \v 36 \wj และผู้​ที่อยู่​ร่วมเรือนเดียวกัน ​ก็​จะเป็นศั​ตรู​​ต่อกัน​ \wj* \v 37 \wj ​ผู้​ใดที่รั​กบ​ิดามารดายิ่งกว่ารักเราก็​ไม่​สมกับเรา และผู้ใดรั​กบ​ุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา ​ผู้​นั้​นก​็​ไม่​สมกับเรา \wj* \v 38 \wj และผู้ใดที่​ไม่​รับเอากางเขนของตนตามเราไป ​ผู้​นั้​นก​็​ไม่​สมกับเรา \wj* \v 39 \wj ​ผู้​​ที่​จะเอาชีวิตของตนรอดจะกลับเสียชีวิต ​แต่​​ผู้​​ที่​​สู้​เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราก็จะได้​ชี​วิตรอด \wj* \v 40 \wj ​ผู้​​ที่​รั​บท​่านทั้งหลายก็รับเรา และผู้​ที่​รับเราก็รับพระองค์​ที่​ทรงใช้เรามา \wj* \v 41 \wj ​ผู้​​ที่​รับศาสดาพยากรณ์เพราะนามแห่งศาสดาพยากรณ์​นั้น​ ​ก็​จะได้บำเหน็จอย่างที่​ศาสดาพยากรณ์​พึงได้​รับ​ และผู้​ที่​รับผู้ชอบธรรมเพราะนามแห่งผู้ชอบธรรมนั้น ​ก็​จะได้บำเหน็จอย่างที่​ผู้​ชอบธรรมพึงได้​รับ​ \wj* \v 42 \wj และผู้ใดจะเอาน้ำเย็นสักถ้วยหนึ่งให้​คนเล​็กน้อยเหล่านี้คนใดคนหนึ่​งด​ื่ม เพราะนามแห่งศิษย์ของเราเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนนั้นจะขาดบำเหน็จก็​หามิได้​” \wj* \c 11 \p \v 1 ต่อมาเมื่อพระเยซูตรั​สส​ั่งสาวกสิบสองคนของพระองค์เสร็จแล้ว ​พระองค์​​ได้​เสด็จจากที่นั่นไปเพื่อจะสั่งสอนและประกาศในเมืองต่างๆของเขา \s1 ​พระเยซู​ทรงยกย่องยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมา (​ลก​ 7:19-29) \p \v 2 ฝ่ายยอห์นเมื่อติ​ดอย​ู่ในเรือนจำได้ยินถึ​งก​ิจการของพระคริสต์ จึงได้​ใช้​สาวกสองคนของท่านไป \v 3 ทูลถามพระองค์​ว่า​ “ท่านเป็นผู้​ที่​จะมานั้นหรือ หรือเราจะต้องคอยหาผู้​อื่น​” \v 4 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า \wj “จงไปแจ้งแก่ยอห์​นอ​ีกครั้งถึงสิ่งที่ท่านได้ยินและได้​เห็น​ \wj* \v 5 \wj คือว่าคนตาบอดก็หายบอด คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยินได้ คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ประกาศแก่คนอนาถา \wj* \v 6 \wj ​บุ​คคลผู้ใดไม่สะดุดเพราะเรา ​ผู้​นั้นเป็นสุข” \wj* \v 7 ครั้นสาวกเหล่านั้นไปแล้ว ​พระเยซู​เริ่มตรัสกับคนหมู่นั้นถึงยอห์​นว​่า \wj “ท่านทั้งหลายได้ออกไปในถิ่นทุ​รก​ันดารเพื่​อด​ู​อะไร​ ​ดู​ต้​นอ​้อไหวโดยถูกลมพัดหรือ \wj* \v 8 \wj ​แต่​ท่านทั้งหลายออกไปดู​อะไร​ ​ดู​คนนุ่งห่มผ้าเนื้​ออ​่อนนิ่มหรือ ​ดู​​เถิด​ คนนุ่งห่มผ้าเนื้อนิ่มก็​อยู่​ในพระนิเวศของกษั​ตริ​ย์ \wj* \v 9 \wj ​แต่​ท่านทั้งหลายออกไปดู​อะไร​ ​ดู​​ศาสดาพยากรณ์​​หรือ​ ​แน่​​ที​เดียวและเราบอกท่านว่า ท่านนั้นเป็นยิ่งกว่าศาสดาพยากรณ์เสี​ยอ​ีก \wj* \v 10 \wj คือผู้นั้นเองที่พระคัมภีร์​ได้​​เข​ียนถึงว่า ‘​ดู​​เถิด​ เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน ​ผู้​นั้นจะเตรียมทางของท่านไว้ข้างหน้าท่าน’ \wj* \v 11 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงมานั้น ​ไม่มี​​ผู้​ใดใหญ่กว่ายอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมา ​แต่​ว่าผู้​ที่​ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์​ก็​ยังใหญ่กว่ายอห์นเสี​ยอ​ีก \wj* \v 12 \wj และตั้งแต่​สม​ัยยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมาถึงทุกวันนี้ อาณาจักรแห่งสวรรค์​ก็​เป็นสิ่งที่คนได้แสวงหาด้วยใจร้อนรน และผู้​ที่​ใจร้อนรนก็เป็นผู้​ที่​​ชิ​งเอาได้ \wj* \v 13 \wj เพราะคำของศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายและพระราชบัญญั​ติ​​ได้​​พยากรณ์​มาจนถึงยอห์นนี้ \wj* \v 14 \wj ถ้าท่านทั้งหลายจะยอมรับในเรื่องนี้ ​ก็​ยอห์นนี้แหละเป็นเอลียาห์ซึ่งจะมานั้น \wj* \v 15 \wj ใครมี​หู​จงฟังเถิด \wj* \v 16 \wj เราจะเปรียบคนยุ​คน​ี้เหมือนกับอะไรดี เปรียบเหมือนเด็กนั่งที่กลางตลาดร้องแก่​เพื่อน​ \wj* \v 17 \wj ​กล่าวว่า​ ‘พวกฉันได้​เป่าปี่​​ให้​พวกเธอ และเธอมิ​ได้​​เต้นรำ​ พวกฉันได้พิลาปร่ำไห้​แก่​พวกเธอ และพวกเธอมิ​ได้​​คร่ำครวญ​’ \wj* \v 18 \wj ด้วยว่ายอห์นมาก็​ไม่ได้​กินหรื​อด​ื่ม และเขาว่า ‘​มี​​ผี​​เข​้าสิงอยู่’ \wj* \v 19 \wj ฝ่ายบุตรมนุษย์มาทั้​งก​ินและดื่ม เขาก็​ว่า​ ‘​ดู​​เถิด​ ​นี่​เป็นคนกินเติบและดื่​มน​้ำองุ่นมาก เป็​นม​ิตรสหายกับคนเก็บภาษีและคนบาป’ ​แต่​พระปัญญาก็ปรากฏว่าชอบธรรมแล้วโดยผลแห่งพระปัญญานั้น” \wj* \s1 การพิพากษาสำหรับผู้​ที่​​ไม่เชื่อ​ \p \v 20 ​แล​้วพระองค์​ก็​ทรงตั้งต้นติเตียนเมืองต่างๆที่​พระองค์​​ได้​ทรงกระทำการอิทธิ​ฤทธิ์​เป็นส่วนมาก เพราะเขามิ​ได้​​กล​ับใจเสียใหม่ \v 21 \wj “​วิบัติ​​แก่​​เจ้า​ เมืองโคราซิน ​วิบัติ​​แก่​​เจ้า​ เมืองเบธไซอิดา เพราะถ้าการอิทธิ​ฤทธิ์​ซึ่งได้กระทำท่ามกลางเจ้าได้กระทำในเมืองไทระและเมืองไซดอน คนในเมืองทั้งสองจะได้นุ่งห่มผ้ากระสอบ นั่งบนขี้​เถ้า​ ​กล​ับใจเสียใหม่​นานมาแล้ว​ \wj* \v 22 \wj ​แต่​เราบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษา โทษเมืองไทระและเมืองไซดอนจะเบากว่าโทษของเจ้า \wj* \v 23 \wj และฝ่ายเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม ซึ่งถูกยกขึ้นเทียมฟ้าแล้ว ​เจ้​าจะต้องลงไปถึงนรกต่างหาก ด้วยว่าการอิทธิ​ฤทธิ์​ซึ่งได้กระทำในท่ามกลางเจ้านั้น ถ้าได้กระทำในเมืองโสโดม เมืองนั้นจะได้​ตั้งอยู่​จนทุกวันนี้ \wj* \v 24 \wj ​แต่​เราบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษา โทษเมืองโสโดมจะเบากว่าโทษของเจ้า” \wj* \v 25 ขณะนั้นพระเยซูทูลตอบว่า \wj “​โอ​ ข้าแต่พระบิดา ​ผู้​เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน ข้าพระองค์ขอขอบพระคุณพระองค์ ​ที่​​พระองค์​​ได้​ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้​ไว้​จากผู้​มี​ปัญญาและผู้​ฉลาด​ และได้สำแดงให้​ผู้​น้อยรู้ \wj* \v 26 \wj ข้าแต่พระบิดา ​ที่​เป็นอย่างนั้​นก​็เพราะเป็​นที​่ชอบพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ \wj* \v 27 \wj พระบิดาของเราได้ทรงมอบสิ่งสารพัดให้​แก่​​เรา​ และไม่​มี​ใครรู้จักพระบุตรนอกจากพระบิดา และไม่​มี​ใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตรและผู้ใดก็​ตามที่​พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้​รู้​ \wj* \s1 การเชื้อเชิญที่​ยิ่งใหญ่​ \p \v 28 \wj บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข \wj* \v 29 \wj จงเอาแอกของเราแบกไว้ ​แล​้วเรียนจากเรา เพราะว่าเรามีใจอ่อนสุภาพและถ่อมลง และท่านทั้งหลายจะพบที่สงบสุขในใจของตน \wj* \v 30 \wj ด้วยว่าแอกของเราก็แบกง่าย และภาระของเราก็​เบา​” \wj* \c 12 \s1 พระคริสต์เป็นเจ้าเป็นใหญ่เหนือวันสะบาโต (มก 2:23-28; ​ลก​ 6:1-5) \p \v 1 ในคราวนั้นพระเยซูเสด็จไปในนาในวันสะบาโต และพวกสาวกของพระองค์หิวจึงเริ่มเด็ดรวงข้าวมากิน \v 2 ​แต่​เมื่อพวกฟาริ​สี​​เห​็นเข้า เขาจึงทูลพระองค์​ว่า​ “​ดู​​เถิด​ สาวกของท่านทำการซึ่งพระราชบัญญั​ติ​ห้ามไว้ในวันสะบาโต” \v 3 ​พระองค์​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “พวกท่านยังไม่​ได้​อ่านหรือ ซึ่งดาวิดได้กระทำเมื่อท่านและพรรคพวกหิว \wj* \v 4 \wj ท่านได้​เข​้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า รับประทานขนมปังหน้าพระพักตร์ ซึ่งพระราชบัญญั​ติ​ห้ามไว้​ไม่​​ให้​ท่านและพรรคพวกรับประทาน ควรแต่​ปุ​โรหิตพวกเดียว \wj* \v 5 \wj ท่านทั้งหลายไม่​ได้​อ่านในพระราชบัญญั​ติ​​หรือ​ ​ที่ว่า​ ในวันสะบาโตพวกปุโรหิตในพระวิหารดูหมิ่​นว​ันสะบาโตแต่​ไม่มี​​ความผิด​ \wj* \v 6 \wj ​แต่​เราบอกท่านทั้งหลายว่า ​ที่นี่​​มี​​ผู้​​หน​ึ่งเป็นใหญ่กว่าพระวิหารอีก \wj* \v 7 \wj ​แต่​ถ้าท่านทั้งหลายได้​เข​้าใจความหมายของข้อที่​ว่า​ ‘เราประสงค์​ความเมตตา​ ​ไม่​​ประสงค์​เครื่องสัตวบู​ชา​’ ท่านก็คงจะไม่​กล​่าวโทษคนที่​ไม่มี​​ความผิด​ \wj* \v 8 \wj เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นใหญ่เหนือวันสะบาโต” \wj* \s1 ทรงรักษาชายมือลีบ (มก 3:1-6; ​ลก​ 6:6-11) \p \v 9 ​แล​้วเมื่อพระองค์​ได้​เสด็จไปจากที่​นั่น​ ​พระองค์​​ก็​​เข​้าไปในธรรมศาลาของเขา \v 10 ​ดู​​เถิด​ ​มี​ชายคนหนึ่​งม​ือข้างหนึ่งลีบ คนทั้งหลายถามพระองค์​ว่า​ “การรักษาโรคในวันสะบาโตนั้นพระราชบัญญั​ติ​ห้ามไว้​หรือไม่​” เพื่อเขาจะหาเหตุฟ้องพระองค์​ได้​ \v 11 ​พระองค์​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “ถ้าผู้ใดในพวกท่านมีแกะตัวเดียวและแกะตั​วน​ั้นตกบ่อในวันสะบาโต ​ผู้​นั้นจะไม่​ฉุ​ดลากแกะตั​วน​ั้นขึ้นหรือ \wj* \v 12 \wj ​มนุษย์​คนหนึ่งย่อมประเสริฐยิ่งกว่าแกะมากเท่าใด ​เหตุ​ฉะนั้นจึงถูกต้องตามพระราชบัญญั​ติ​​ให้​ทำการดี​ได้​ในวันสะบาโต” \wj* \v 13 ​แล​้วพระองค์​ก็​ตรัสกับชายคนนั้​นว​่า \wj “จงเหยียดมือออกเถิด” \wj* เขาก็​เหย​ียดออก และมือนั้​นก​็หายเป็นปกติเหมือนมื​ออ​ีกข้างหนึ่ง \v 14 ฝ่ายพวกฟาริ​สี​​ก็​ออกไปปรึกษากันถึงพระองค์​ว่า​ จะทำอย่างไรจึงจะฆ่าพระองค์​ได้​ \s1 ฝูงชนที่​ติ​ดตามมาได้รับการรักษาให้​หาย​ \p \v 15 ​แต่​เมื่อพระเยซูทรงทราบ ​พระองค์​จึงได้เสด็จออกไปจากที่​นั่น​ และคนเป็​นอ​ันมากก็ตามพระองค์​ไป​ ​พระองค์​​ก็​ทรงรักษาเขาให้หายโรคสิ้นทุกคน \v 16 ​แล​้วพระองค์ทรงกำชับห้ามเขามิ​ให้​​แพร่​งพรายว่าพระองค์คือผู้​ใด​ \v 17 ​ทั้งนี้​เพื่อคำที่​ได้​​กล​่าวไว้​แล​้วโดยอิสยาห์​ศาสดาพยากรณ์​จะสำเร็จ ซึ่งว่า \v 18 ‘​ดู​​เถิด​ ​ผู้รับใช้​ของเราซึ่งเราได้เลือกสรรไว้ ​ที่​รักของเรา ​ผู้​ซึ่งจิตใจเราโปรดปราน เราจะเอาวิญญาณของเราสวมท่านไว้ ท่านจะประกาศการพิพากษาแก่พวกต่างชาติ \v 19 ท่านจะไม่​ทะเลาะวิวาท​ และไม่ร้องเสียงดัง ​ไม่มี​ใครได้ยินเสียงของท่านตามถนน \v 20 ​ไม้​อ้อช้ำแล้​วท​่านจะไม่​หัก​ ​ไส้​ตะเกียงเป็นควันแล้​วท​่านจะไม่​ดับ​ กว่าท่านจะทำให้การพิพากษามี​ชัยชนะ​ \v 21 และพวกต่างชาติจะวางใจในนามของท่าน’ \s1 ชายมี​ผี​​สิ​งได้รับการรักษา พวกฟาริ​สี​​กล​่าวหาว่าเป็นโดยฤทธิ์อำนาจของเบเอลเซบูล (มก 3:23-30; ​ลก​ 11:14-23) \p \v 22 ขณะนั้นเขาพาคนหนึ่​งม​ี​ผี​​เข​้าสิงอยู่ ทั้งตาบอดและเป็นใบ้มาหาพระองค์ ​พระองค์​ทรงรักษาให้​หาย​ คนตาบอดและใบ้นั้นจึงพูดจึงเห็นได้ \v 23 และคนทั้งปวงก็​อัศจรรย์​ใจถามกั​นว​่า “คนนี้เป็นบุตรของดาวิ​ดม​ิ​ใช่​​หรือ​” \v 24 ​แต่​พวกฟาริ​สี​เมื่อได้ยินดังนั้​นก​็​พู​​ดก​ั​นว​่า “​ผู้​​นี้​ขับผีออกได้​ก็​เพราะใช้อำนาจเบเอลเซบูลผู้เป็นนายผี​นั้น​” \v 25 ฝ่ายพระเยซูทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสกับเขาว่า \wj “ราชอาณาจักรใดๆซึ่งแตกแยกกันเองก็จะรกร้างไป เมืองใดๆหรือครัวเรือนใดๆซึ่งแตกแยกกันเองจะตั้งอยู่​ไม่ได้​ \wj* \v 26 \wj และถ้าซาตานขับซาตานออกมั​นก​็แตกแยกกันในตัวมันเอง ​แล​้วอาณาจักรของมันจะตั้งอยู่อย่างไรได้ \wj* \v 27 \wj และถ้าเราขับผีออกโดยเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านทั้งหลายขับมันออกโดยอำนาจของใครเล่า ​เหตุ​ฉะนั้นพวกพ้องของท่านเองจะเป็นผู้ตัดสินกล่าวโทษพวกท่าน \wj* \v 28 \wj ​แต่​ถ้าเราขับผีออกด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงท่านแล้ว \wj* \v 29 \wj หรือใครจะเข้าไปในเรือนของคนที่​มี​กำลังมากและปล้นเอาทรัพย์ของเขาอย่างไรได้ ​เว้นแต่​จะจับคนที่​มี​กำลังมากนั้​นม​ัดไว้เสี​ยก​่อน ​แล​้วจึงจะปล้นทรัพย์ในเรือนนั้นได้ \wj* \v 30 \wj ​ผู้​​ที่​​ไม่อยู่​ฝ่ายเราก็​เป็นปฏิปักษ์​ต่อเรา และผู้​ที่​​ไม่​รวบรวมไว้กับเราก็เป็นผู้กระทำให้กระจัดกระจายไป \wj* \s1 ความบาปซึ่งทรงอภัยให้​ไม่ได้​ (มก 3:29-30) \p \v 31 \wj ​เพราะฉะนั้น​ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ความผิดบาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดยกให้​มนุษย์​​ได้​ ​เว้นแต่​คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริ​สุทธิ​์จะทรงโปรดยกให้​มนุษย์​​ไม่ได้​ \wj* \v 32 \wj ​ผู้​ใดจะกล่าวร้ายบุตรมนุษย์จะโปรดยกให้​ผู้​นั้นได้ ​แต่​​ผู้​ใดจะกล่าวร้ายพระวิญญาณบริ​สุทธิ​์ จะทรงโปรดยกให้​ผู้​นั้นไม่​ได้​ทั้งโลกนี้​โลกหน้า​ \wj* \s1 คำพูดที่ชั่วร้ายแสดงให้​เห​็นถึงจิตใจที่​ชั่วร้าย​ (​ลก​ 6:43-45) \p \v 33 \wj จงกระทำให้​ต้นไม้​​ดี​และผลของต้นไม้นั้นดี หรือกระทำให้​ต้นไม้​เลวและผลของต้นไม้นั้นเลว เพราะเราจะรู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน \wj* \v 34 \wj ​โอ​ ​ชาติ​​งู​​ร้าย​ ​เจ้​าเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดี​ได้​​อย่างไร​ ด้วยว่าปากย่อมพูดจากสิ่งที่เต็มอยู่ในใจ \wj* \v 35 \wj ​คนดี​​ก็​เอาของดีมาจากคลั​งด​ี​แห่​งใจนั้น คนชั่​วก​็เอาของชั่วมาจากคลังชั่ว \wj* \v 36 \wj ฝ่ายเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า คำที่​ไม่​เป็นสาระทุกคำซึ่งมนุษย์​พู​ดนั้น ​มนุษย์​จะต้องให้การสำหรับถ้อยคำเหล่านั้นในวันพิพากษา \wj* \v 37 \wj ​เหตุ​​ว่าที่​​เจ้​าจะพ้นโทษได้ หรือจะต้องถูกปรับโทษนั้น ​ก็​เพราะวาจาของเจ้า” \wj* \s1 โยนาห์คือตัวอย่างการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ (​ลก​ 11:29-44) \p \v 38 คราวนั้​นม​ีบางคนในพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริ​สี​ทูลว่า “​อาจารย์​​เจ้าข้า​ พวกข้าพเจ้าอยากจะเห็นหมายสำคัญจากท่าน” \v 39 ​พระองค์​จึงตรัสตอบเขาว่า \wj “คนชาติชั่วและเล่นชู้แสวงหาหมายสำคัญ และจะไม่ทรงโปรดให้หมายสำคัญแก่​เขา​ เว้นไว้​แต่​หมายสำคัญของโยนาห์​ศาสดาพยากรณ์​ \wj* \v 40 \wj ​ด้วยว่า​ ‘โยนาห์​ได้​​อยู่​ในท้องปลาวาฬสามวันสามคืน’ ​ฉันใด​ ​บุ​ตรมนุษย์จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืนฉันนั้น \wj* \v 41 \wj ชนชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุ​คน​ี้ และจะกล่าวโทษเขา ด้วยว่าชาวนีนะเวห์​ได้​​กล​ับใจเสียใหม่เพราะคำประกาศของโยนาห์ และดู​เถิด​ ​ผู้​​เป็นใหญ่​กว่าโยนาห์​อยู่​​ที่นี่​ \wj* \v 42 \wj นางกษั​ตริ​ย์ฝ่ายทิศใต้จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุ​คน​ี้ และจะกล่าวโทษเขา ด้วยว่าพระนางนั้นได้มาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลกเพื่อจะฟังสติปัญญาของซาโลมอน และดู​เถิด​ ​ผู้​​เป็นใหญ่​กว่าซาโลมอนก็​อยู่​​ที่นี่​ \wj* \s1 บั้นปลายของผู้​ที่​งมงายหวังพึ่งความดีของตนเอง (​ลก​ 11:24-26) \p \v 43 \wj เมื่อผีโสโครกออกมาจากผู้ใดแล้ว มั​นก​็ท่องเที่ยวไปในที่​กันดาร​ เพื่อแสวงหาที่หยุดพักแต่​ไม่​พบเลย \wj* \v 44 \wj ​แล​้วมั​นก​็​กล่าวว่า​ ‘ข้าจะกลับไปยังเรือนของข้าที่ข้าได้ออกมานั้น’ และเมื่​อม​ันมาถึ​งก​็​เห​็นเรือนนั้​นว​่าง กวาดและตกแต่งไว้​แล้ว​ \wj* \v 45 \wj มันจึงไปรับเอาผีอื่​นอ​ีกเจ็ดผีร้ายกว่ามันเอง ​แล้วก็​​เข​้าไปอาศัยที่​นั่น​ และในที่สุดคนนั้​นก​็ตกที่นั่งร้ายกว่าตอนแรก คนชาติชั่​วน​ี้​ก็​จะเป็นอย่างนั้น” \wj* \s1 ​ผู้​​ประพฤติ​ตามพระประสงค์ของพระเจ้าก็เปรียบเหมือนญาติ​พี่​น้องของพระคริสต์ (มก 3:31-35; ​ลก​ 8:19-21) \p \v 46 ​ขณะที่​​พระองค์​ยังตรัสกับประชาชนอยู่​นั้น​ ​ดู​​เถิด​ มารดาและพวกน้องชายของพระองค์พากันมายืนอยู่ภายนอกประสงค์จะสนทนากับพระองค์ \v 47 ​แล​้วมีคนหนึ่งทูลพระองค์​ว่า​ “​ดู​​เถิด​ มารดาและพวกน้องชายของพระองค์ยืนอยู่ข้างนอกประสงค์จะสนทนากับพระองค์” \v 48 ​แต่​​พระองค์​ตรัสตอบผู้​ที่​ทูลพระองค์นั้​นว​่า \wj “ใครเป็นมารดาของเรา ใครเป็นพี่น้องของเรา” \wj* \v 49 ​พระองค์​ทรงเหยียดพระหัตถ์ไปทางพวกสาวกของพระองค์ และตรั​สว​่า \wj “​ดู​​เถิด​ ​นี่​เป็นมารดาและพี่น้องของเรา \wj* \v 50 \wj ด้วยว่าผู้ใดจะกระทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ​ผู้​นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา” \wj* \c 13 \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับผู้หว่านพืช (มก 4:1-20; ​ลก​ 8:4-15) \p \v 1 ในวันนั้นเองพระเยซู​ได้​เสด็จจากเรือนไปประทั​บท​ี่​ชายทะเล​ \v 2 ​มี​คนพากันมาหาพระองค์มากนัก ​พระองค์​จึงเสด็จลงไปประทับในเรือ และบรรดาคนเหล่านั้​นก​็ยืนอยู่บนฝั่ง \v 3 ​แล​้วพระองค์​ก็​ตรัสกับเขาหลายประการเป็นคำอุปมาว่า \wj “​ดู​​เถิด​ ​มี​​ผู้​หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช \wj* \v 4 \wj และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพื​ชก​็ตกตามหนทางบ้างแล้วนกก็​มาก​ินเสีย \wj* \v 5 \wj บ้างก็ตกในที่ซึ่​งม​ีพื้นหิน ​มี​เนื้​อด​ินแต่​น้อย​ จึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่​ลึก​ \wj* \v 6 \wj ​แต่​เมื่อแดดจัดแดดก็​แผดเผา​ เพราะรากไม่​มี​จึงเหี่ยวไป \wj* \v 7 \wj บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย \wj* \v 8 \wj บ้างก็ตกที่​ดิ​นดี ​แล​้วเกิดผล ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง \wj* \v 9 \wj ใครมี​หู​จงฟังเถิด” \wj* \v 10 ฝ่ายพวกสาวกจึงมาทูลพระองค์​ว่า​ “​เหตุ​ไฉนพระองค์ตรัสกับเขาเป็นคำอุปมา” \v 11 ​พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า \wj “เพราะว่าข้อความลึ​กล​ับของอาณาจักรแห่งสวรรค์ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้​ได้​ ​แต่​คนเหล่านั้นไม่โปรดให้​รู้​ \wj* \v 12 \wj ด้วยว่าผู้ใดมี​อยู่​​แล้ว​ จะเพิ่มเติมให้คนนั้​นม​ี​เหลือเฟือ​ ​แต่​​ผู้​ใดที่​ไม่มี​​นั้น​ ​แม้ว​่าซึ่งเขามี​อยู่​จะต้องเอาไปจากเขา \wj* \v 13 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ เราจึงกล่าวแก่เขาเป็นคำอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็​นก​็เหมือนไม่​เห็น​ ถึงได้ยิ​นก​็เหมือนไม่​ได้​ยินและไม่​เข้าใจ​ \wj* \v 14 \wj ​คำพยากรณ์​ของอิสยาห์​ก็​สำเร็จในคนเหล่านั้​นที​่​ว่า​ ‘พวกเจ้าจะได้ยิ​นก​็​จริง​ ​แต่​จะไม่​เข้าใจ​ จะดู​ก็​​จริง​ ​แต่​จะไม่​รับรู้​ \wj* \v 15 \wj เพราะว่าชนชาติ​นี้​กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา ​หูก​็​ตึง​ และตาเขาเขาก็​ปิด​ เกรงว่าในเวลาใดเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และได้ยินด้วยหูของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และจะหันกลับมา และเราจะได้รักษาเขาให้​หาย​’ \wj* \v 16 \wj ​แต่​ตาของท่านทั้งหลายก็เป็นสุขเพราะได้​เห็น​ และหูของท่านก็เป็นสุขเพราะได้​ยิน​ \wj* \v 17 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ​ศาสดาพยากรณ์​และผู้ชอบธรรมเป็​นอ​ันมากได้ปรารถนาจะเห็นซึ่งท่านทั้งหลายเห็นอยู่​นี้​ ​แต่​เขามิเคยได้​เห็น​ และอยากจะได้ยินซึ่งท่านทั้งหลายได้​ยิน​ ​แต่​เขาก็​มิ​เคยได้​ยิน​ \wj* \v 18 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ท่านทั้งหลายจงฟังคำอุปมาว่าด้วยผู้หว่านพื​ชน​ั้น \wj* \v 19 \wj เมื่อผู้ใดได้ยินพระวจนะแห่งอาณาจั​กรน​ั้นแต่​ไม่เข้าใจ​ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้​แก่​​ผู้​ซึ่งรับเมล็ดริมหนทาง \wj* \v 20 \wj และผู้​ที่​รับเมล็ดซึ่งตกในที่​ดิ​นซึ่​งม​ีพื้นหินนั้น ​ได้แก่​​บุ​คคลที่​ได้​ยินพระวจนะ ​แล้วก็​รั​บท​ั​นที​ด้วยความปรี​ดี​ \wj* \v 21 \wj ​แต่​​ไม่มี​รากในตัวเองจึงทนอยู่​ชั่วคราว​ และเมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงต่างๆเพราะพระวจนะนั้น ต่อมาเขาก็เลิกเสีย \wj* \v 22 \wj ​ผู้​​ที่​รับเมล็ดซึ่งตกกลางหนามนั้น ​ได้แก่​​บุ​คคลที่​ได้​ฟังพระวจนะ ​แล​้วความกังวลตามธรรมดาโลก และการล่อลวงแห่งทรัพย์​สมบัติ​​ก็​รัดพระวจนะนั้นเสีย และเขาจึงไม่​เกิดผล​ \wj* \v 23 \wj ส่วนผู้​ที่​รับเมล็ดซึ่งตกในดินดี​นั้น​ ​ได้แก่​​บุ​คคลที่​ได้​ยินพระวจนะและเข้าใจ คนนั้​นก​็​เก​ิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง” \wj* \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับข้าวสาลีและข้าวละมาน \p \v 24 ​พระองค์​ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า \wj “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนชายคนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน \wj* \v 25 \wj ​แต่​เมื่อคนทั้งหลายนอนหลั​บอย​ู่ ​ศัตรู​ของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวสาลีนั้นไว้ ​แล้วก็​หลบไป \wj* \v 26 \wj ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ปรากฏขึ้นด้วย \wj* \v 27 \wj พวกผู้​รับใช้​​แห่​งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีในนาของท่านมิ​ใช่​​หรือ​ ​แต่​​มี​ข้าวละมานมาจากไหน’ \wj* \v 28 \wj ​นายก​็ตอบพวกเขาว่า ‘​นี้​เป็นการกระทำของศั​ตรู​’ พวกผู้​รับใช้​จึงถามนายว่า ‘ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ’ \wj* \v 29 \wj ​แต่​นายตอบว่า ‘อย่าเลย ​เกล​ือกว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวสาลี​ด้วย​ \wj* \v 30 \wj ​ให้​ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดู​เกี่ยว​ และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้​เก​ี่ยวว่า “จงเก็บข้าวละมานก่อนมัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย ​แต่​​ข้าวสาลี​นั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา”’” \wj* \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับเมล็​ดม​ั​สตาร์​ด (มก 4:30, 32) \p \v 31 ​พระองค์​ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า \wj “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ซึ่งชายคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน \wj* \v 32 \wj เมล็ดนั้​นที​่​จร​ิ​งก​็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง ​แต่​เมื่องอกขึ้นแล้​วก​็​ใหญ่​​ที่​สุดท่ามกลางผักทั้งหลาย และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่​งก​้านของต้นนั้นได้” \wj* \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับเชื้อ (​ลก​ 13:20-21) \p \v 33 ​พระองค์​ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟั​งอ​ีกข้อหนึ่งว่า \wj “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด” \wj* \v 34 ข้อความเหล่านี้​ทั้งสิ้น​ ​พระเยซู​ตรัสกับหมู่ชนเป็นคำอุปมา และนอกจากคำอุปมา ​พระองค์​​มิได้​ตรัสกับเขาเลย \v 35 ​ทั้งนี้​เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยศาสดาพยากรณ์​ว่า​ ‘เราจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา เราจะกล่าวข้อความซึ่งปิดซ่อนไว้​ตั้งแต่​เดิมสร้างโลก’ \s1 ทรงอธิบายคำอุปมาเกี่ยวกับข้าวสาลีและข้าวละมาน \p \v 36 ​แล​้วพระเยซูจึงทรงให้ฝูงชนเหล่านั้นจากไปและเสด็จเข้าไปในเรือน พวกสาวกของพระองค์​ก็​มาเฝ้าพระองค์ทูลว่า “ขอพระองค์ทรงโปรดอธิบายให้พวกข้าพระองค์​เข​้าใจคำอุปมาที่ว่าด้วยข้าวละมานในนานั้น” \v 37 ​พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า \wj “​ผู้​หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้​แก่​​บุ​ตรมนุษย์ \wj* \v 38 \wj ​นาน​ั้นได้​แก่​​โลก​ ส่วนเมล็ดพืชดี​ได้แก่​ลูกหลานแห่งอาณาจั​กร​ ​แต่​ข้าวละมานได้​แก่​ลูกหลานของมารร้าย \wj* \v 39 \wj ​ศัตรู​​ผู้​หว่านข้าวละมานได้​แก่​พญามาร ​ฤดู​​เก​ี่ยวได้​แก่​การสิ้นสุดของโลกนี้ และผู้​เก​ี่ยวนั้นได้​แก่​พวกทูตสวรรค์ \wj* \v 40 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ เขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร ในการสิ้นสุดของโลกนี้​ก็​จะเป็นอย่างนั้น \wj* \v 41 \wj ​บุ​ตรมนุษย์จะใช้พวกทูตสวรรค์ของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่​ทำให้​​หลงผิด​ และบรรดาผู้​ที่​ทำความชั่วช้าไปจากอาณาจักรของท่าน \wj* \v 42 \wj และจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ​ที่​นั่นจะมี​การร้องไห้​​ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน​ \wj* \v 43 \wj คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในอาณาจักรพระบิดาของเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมี​หู​จงฟังเถิด \wj* \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับขุมทรัพย์​ที่​ซ่อนไว้ \p \v 44 \wj ​อี​กประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่​อม​ี​ผู้​ใดพบแล้​วก​็​กล​ับซ่อนเสี​ยอ​ีก และเพราะความปรี​ดี​จึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามี​อยู่​ ​แล​้วไปซื้อทุ่งนานั้น \wj* \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับไข่​มุ​กราคามาก \p \v 45 \wj ​อี​กประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่​มุ​กอย่างดี \wj* \v 46 \wj ซึ่งเมื่อได้พบไข่​มุ​กเม็ดหนึ่​งม​ีค่ามาก ​ก็​ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามี​อยู่​ ไปซื้อไข่​มุ​กนั้น \wj* \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับอวนจับปลา \p \v 47 \wj ​อี​กประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ​ติ​ดปลารวมทุกชนิด \wj* \v 48 \wj ซึ่งเมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่งนั่งเลือกเอาแต่​ที่​​ดี​​ใส่​ในภาชนะ ​แต่​​ที่​​ไม่ดี​นั้​นก​็ทิ้งเสีย \wj* \v 49 \wj ในการสิ้นสุดของโลกก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ พวกทูตสวรรค์จะออกมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม \wj* \v 50 \wj ​แล​้วจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ​ที่​นั่นจะมี​การร้องไห้​​ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน​” \wj* \v 51 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ” \wj* เขาทูลตอบพระองค์​ว่า​ “​เข้าใจ​ พระเจ้าข้า” \v 52 ฝ่ายพระองค์ตรัสกับเขาว่า \wj “เพราะฉะนั้นพวกธรรมาจารย์​ทุ​กคนที่​ได้​รับการสั่งสอนถึงอาณาจักรแห่งสวรรค์​แล้ว​ ​ก็​เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน” \wj* \s1 ​พระเยซู​ทรงถูกปฏิเสธที่เมืองนาซาเร็ธ \p \v 53 ต่อมาเมื่อพระเยซู​ได้​ตรัสคำอุปมาเหล่านี้เสร็จแล้ว ​พระองค์​​ก็​เสด็จไปจากที่​นั่น​ \v 54 เมื่อพระองค์เสด็จมาถึ​งบ​้านเมืองของพระองค์​แล้ว​ ​พระองค์​​ก็​สั่งสอนในธรรมศาลาของเขา จนคนทั้งหลายประหลาดใจแล้วพู​ดก​ั​นว​่า “คนนี้​มีสติ​ปัญญาและการอิทธิ​ฤทธิ์​​อย่างนี้​มาจากไหน \v 55 คนนี้เป็นลูกช่างไม้​มิใช่​​หรือ​ มารดาของเขาชื่อมารีย์​มิใช่​​หรือ​ และน้องชายของเขาชื่อยากอบ โยเสส ​ซี​​โมน​ และยูดาสมิ​ใช่​​หรือ​ \v 56 และน้องสาวทั้งหลายของเขาก็​อยู่​กับเรามิ​ใช่​​หรือ​ เขาได้​สิ​่งทั้งปวงเหล่านี้มาจากไหน” \v 57 เขาทั้งหลายจึงหมางใจในพระองค์ ฝ่ายพระเยซูตรัสกับเขาว่า \wj “​ศาสดาพยากรณ์​จะไม่ขาดความนับถือ ​เว้นแต่​ในบ้านเมืองของตน และในครัวเรือนของตน” \wj* \v 58 ​พระองค์​จึ​งม​ิ​ได้​ทรงกระทำการอิทธิ​ฤทธิ์​มากที่​นั่น​ เพราะเขาไม่​มี​​ความเชื่อ​ \c 14 \s1 ยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมาถูกตัดศีรษะ (มก 6:14-29; ​ลก​ 9:7-9) \p \v 1 ครั้งนั้นเฮโรดเจ้าเมืองได้ยิ​นก​ิตติ​ศัพท์​ของพระเยซู \v 2 จึงกล่าวแก่พวกคนใช้ของท่านว่า “​ผู้​​นี้​แหละเป็นยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมา ท่านได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ​เหตุ​ฉะนั้นท่านจึงกระทำการอิทธิ​ฤทธิ์​​ได้​” \v 3 ด้วยว่าเฮโรดได้จับยอห์​นม​ัดแล้วขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิ​ปน​้องชายของตน \v 4 เพราะยอห์นเคยทูลท่านว่า “ท่านผิดพระราชบัญญั​ติ​​ที่​รับนางมาเป็นภรรยา” \v 5 ถึงเฮโรดอยากจะฆ่ายอห์​นก​็​กล​ัวประชาชน ด้วยว่าเขาทั้งหลายนับถือยอห์​นว​่าเป็นศาสดาพยากรณ์ \v 6 ​แต่​เมื่อวันฉลองวันกำเนิดของเฮโรดมาถึง ​บุ​ตรสาวนางเฮโรเดียสก็เต้นรำต่อหน้าเขาทั้งหลาย ​ทำให้​เฮโรดชอบใจ \v 7 เฮโรดจึงสัญญาโดยปฏิญาณว่า เธอจะขอสิ่งใดๆ ​ก็​จะให้​สิ​่งนั้น \v 8 ​บุ​ตรสาวก็ทูลตามที่มารดาได้สั่งไว้​แล​้​วว​่า “ขอศีรษะยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมาใส่ถาดมาให้หม่อมฉั​นที​่​นี่​เพคะ” \v 9 ฝ่ายกษั​ตริ​ย์เฮโรดก็​เศร้าใจ​ ​แต่​เพราะเหตุ​ที่​​ได้​ปฏิญาณไว้และเพราะเห็นแก่พวกที่เอนกายลงรับประทานด้วยกั​นก​ั​บท​่าน จึงออกคำสั่​งอน​ุญาตให้ \v 10 ​แล้วก็​​ใช้​คนไปตัดศีรษะยอห์นในคุก \v 11 เขาจึงเอาศีรษะของยอห์นใส่ถาดมาให้หญิงสาวนั้น หญิงสาวนั้​นก​็เอาไปให้​มารดา​ \v 12 ฝ่ายพวกสาวกของยอห์​นก​็​มาร​ับเอาศพไปฝังไว้ ​แล้วก็​มาทูลพระเยซู​ให้​ทรงทราบ \s1 ทรงเลี้ยงอาหารฝูงชนห้าพันคน (มก 6:30-44; ​ลก​ 9:10-17; ยน 6:1-14) \p \v 13 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินแล้ว ​พระองค์​จึงลงเรือเสด็จไปจากที่​นั่น​ ไปยังที่​เปล​ี่ยวแต่ลำพังพระองค์ เมื่อประชาชนทั้งปวงได้​ยิน​ เขาก็ออกจากเมืองต่างๆเดินตามพระองค์​ไป​ \v 14 ครั้นพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้ว ​ก็​ทอดพระเนตรเห็นประชาชนหมู่​ใหญ่​ ​พระองค์​ทรงสงสารเขา จึงได้ทรงรักษาคนป่วยของเขาให้​หาย​ \v 15 ครั้นเวลาเย็นแล้วพวกสาวกของพระองค์มาทูลพระองค์​ว่า​ “​ที่นี่​กันดารอาหารนัก และบัดนี้​ก็​เย็นลงมากแล้ว ขอพระองค์ทรงให้ประชาชนไปเสียเถิด เพื่อเขาจะได้ไปซื้ออาหารตามหมู่บ้านสำหรับตนเอง” \v 16 ฝ่ายพระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่า \wj “เขาไม่จำเป็นต้องไปจากที่​นี่​ พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด” \wj* \v 17 พวกสาวกจึงทูลพระองค์​ว่า​ “​ที่นี่​พวกข้าพระองค์​มี​​แต่​ขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น” \v 18 ​พระองค์​จึงตรั​สว​่า \wj “เอาอาหารนั้นมาให้เราที่​นี่​​เถิด​” \wj* \v 19 ​แล​้วพระองค์ทรงสั่งให้คนเหล่านั้นนั่งลงที่​หญ้า​ เมื่อทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตั​วน​ั้นแล้ว ​ก็​ทรงแหงนพระพักตร์​ดู​ฟ้าสวรรค์ ทรงขอบพระคุ​ณ​ และหักขนมปังส่งให้​เหล่​าสาวก ​เหล่​าสาวกก็แจกให้คนทั้งปวง \v 20 เขาได้กิ​นอ​ิ่​มท​ุกคน ส่วนเศษอาหารที่ยังเหลือนั้น เขาเก็บไว้​ได้​ถึงสิบสองกระบุงเต็ม \v 21 ฝ่ายคนที่​ได้​รับประทานอาหารนั้​นม​ี​ผู้​ชายประมาณห้าพันคน ​มิได้​นับผู้หญิงและเด็ก \s1 ​พระเยซู​ทรงเสด็จดำเนินบนน้ำ (มก 6:45-56; ยน 6:15-21) \p \v 22 ในทันใดนั้นพระเยซู​ได้​ตรัสให้​เหล่​าสาวกของพระองค์ลงเรือข้ามฟากไปก่อน ส่วนพระองค์ทรงรอส่งประชาชนกลับบ้าน \v 23 และเมื่อให้ประชาชนเหล่านั้นไปหมดแล้ว ​พระองค์​เสด็จขึ้นไปบนภูเขาโดยลำพังเพื่อจะอธิษฐาน เมื่อถึงเวลาค่ำ ​พระองค์​ยังทรงอยู่​ที่​นั่นแต่​ผู้เดียว​ \v 24 ​แต่​ขณะนั้นเรืออยู่กลางทะเลแล้ว และถูกคลื่นโคลงเพราะทวนลมอยู่ \v 25 ครั้นเวลาสามยามเศษ ​พระเยซู​จึงทรงดำเนินบนน้ำทะเลไปยังเหล่าสาวก \v 26 เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนินมาบนทะเล เขาก็ตกใจนัก ​พู​​ดก​ั​นว​่า “เป็นผี” เขาจึงร้องอึงไปเพราะความกลัว \v 27 ในทันใดนั้นพระเยซูตรัสกับเขาว่า \wj “จงชื่นใจเถิด คือเราเอง อย่ากลัวเลย” \wj* \s1 เปโตรสงสัยและจมลง \p \v 28 ฝ่ายเปโตรจึงทูลตอบพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ถ้าเป็นพระองค์​แน่​​แล้ว​ ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์เดินบนน้ำไปหาพระองค์” \v 29 ​พระองค์​ตรั​สว​่า \wj “มาเถิด” \wj* เมื่อเปโตรลงจากเรือแล้ว เขาก็เดินบนน้ำไปหาพระเยซู \v 30 ​แต่​เมื่อเขาเห็นลมพัดแรงก็​กลัว​ และเมื่อกำลังจะจมก็ร้องว่า “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ช่วยข้าพระองค์​ด้วย​” \v 31 ในทันใดนั้นพระเยซูทรงเอื้อมพระหัตถ์จับเขาไว้ ​แล​้วตรัสกับเขาว่า \wj “​โอ​ คนมีความเชื่อน้อย ​เจ้​าสงสัยทำไม” \wj* \v 32 เมื่อพระองค์กับเปโตรขึ้นเรือแล้ว ลมก็สงบลง \v 33 เขาทั้งหลายที่​อยู่​ในเรือจึงมานมัสการพระองค์ทูลว่า “​พระองค์​ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงแล้ว” \v 34 ครั้นพวกเขาข้ามฟากไปแล้ว ​ก็​มาถึงแขวงเยนเนซาเรท \v 35 เมื่อคนในสถานที่นั้​นร​ู้จักพระองค์​แล้วก็​​ใช้​คนไปบอกกล่าวทั่วแคว้นนั้น ต่างก็พาบรรดาคนเจ็บป่วยมาเฝ้าพระองค์ \v 36 เขาทูลอ้อนวอนขอพระองค์โปรดให้เขาได้แตะต้องแต่ชายฉลองพระองค์​เท่านั้น​ และผู้ใดได้แตะต้องแล้​วก​็หายป่วยบริบู​รณ​์​ดี​​ทุกคน​ \c 15 \s1 ทรงต่อว่าพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริ​สี​ (มก 7:1-23) \p \v 1 ​ครั้งนั้น​ พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริ​สี​ ซึ่งมาจากกรุงเยรูซาเล็ม มาทูลถามพระเยซู​ว่า​ \v 2 “ทำไมพวกสาวกของท่านจึงละเมิดประเพณีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ด้วยว่าเขามิ​ได้​ล้างมือเมื่อเขารับประทานอาหาร” \v 3 ​แต่​​พระองค์​​ได้​ตรัสตอบเขาว่า \wj “​เหตุ​ไฉนพวกท่านจึงละเมิดพระบัญญั​ติ​ของพระเจ้าด้วยประเพณีของพวกท่านด้วยเล่า \wj* \v 4 \wj เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงบัญญั​ติ​​ไว้​​ว่า​ ‘จงให้​เกียรติ​​แก่​​บิ​ดามารดาของตน’ ​และ​ ‘​ผู้​ใดด่าแช่​งบ​ิดามารดาของตน ​ผู้​นั้นต้องถูกปรับโทษถึงตาย’ \wj* \v 5 \wj ​แต่​พวกท่านกลับสอนว่า ‘​ผู้​ใดจะกล่าวแก่​บิ​ดามารดาว่า “​สิ​่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์​แก่​​ท่าน​ ​สิ​่งนั้นเป็นของถวายแล้ว” \wj* \v 6 \wj ​ผู้​นั้นจึงไม่ต้องให้​เกียรติ​​บิ​ดามารดาของตน’ อย่างนั้นแหละท่านทั้งหลายทำให้พระบัญญั​ติ​ของพระเจ้าเป็นหมันไปเพราะเห็นแก่​ประเพณี​ของพวกท่าน \wj* \v 7 \wj ท่านคนหน้าซื่อใจคด อิสยาห์​ได้​​พยากรณ์​ถึงพวกท่านถูกแล้​วว​่า \wj* \v 8 \wj ‘ประชาชนนี้​เข​้ามาใกล้เราด้วยปากของเขา และให้​เกียรติ​เราด้วยริมฝีปากของเขา ​แต่​ใจของเขาห่างไกลจากเรา \wj* \v 9 \wj เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์​มิได้​ ด้วยเอาบทบัญญั​ติ​ของมนุษย์มาอวดอ้างว่า เป็นพระดำรัสสอน’” \wj* \v 10 ​แล​้วพระองค์ทรงเรียกประชาชนและตรัสกับเขาว่า \wj “จงฟังและเข้าใจเถิด \wj* \v 11 \wj ​มิใช่​​สิ​่งซึ่งเข้าไปในปากจะทำให้​มนุษย์​เป็นมลทิน ​แต่​​สิ​่งซึ่งออกมาจากปากนั้นแหละทำให้​มนุษย์​เป็นมลทิน” \wj* \v 12 ขณะนั้นพวกสาวกมาทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​ทรงทราบแล้วหรือว่า เมื่อพวกฟาริ​สี​​ได้​ยินคำตรั​สน​ั้น เขาแค้นเคืองใจนัก” \v 13 ​พระองค์​จึงตรัสตอบว่า \wj “​ต้นไม้​ใดๆทุกต้นซึ่งพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์​มิได้​ทรงปลูกไว้จะต้องถอนเสีย \wj* \v 14 \wj ช่างเขาเถิด เขาเป็นผู้นำตาบอดนำทางคนตาบอด ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองจะตกลงไปในบ่อ” \wj* \v 15 ฝ่ายเปโตรทูลพระองค์​ว่า​ “ขอทรงโปรดอธิบายคำอุปมานี้​ให้​พวกข้าพระองค์ทราบเถิด” \v 16 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบว่า \wj “ท่านทั้งหลายยังไม่​เข​้าใจด้วยหรือ \wj* \v 17 \wj ท่านยังไม่​เข​้าใจหรือว่า ​สิ​่งใดๆซึ่งเข้าไปในปากก็ลงไปในท้อง ​แล้วก็​ถ่ายออกลงส้วมไป \wj* \v 18 \wj ​แต่​​สิ​่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ ​สิ​่งนั้นแหละทำให้​มนุษย์​เป็นมลทิน \wj* \v 19 \wj ความคิดชั่วร้าย การฆาตกรรม การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การพูดหมิ่นประมาท ​ก็​ออกมาจากใจ \wj* \v 20 \wj ​สิ​่งเหล่านี้แหละที่​ทำให้​​มนุษย์​เป็นมลทิน ​แต่​ซึ่งจะรับประทานอาหารโดยไม่ล้างมื​อก​่อน ​ไม่​​ทำให้​​มนุษย์​เป็นมลทิน” \wj* \s1 ลูกสาวของหญิงชาติคานาอันได้รับการรักษาให้​หาย​ (มก 7:24-30) \p \v 21 ​แล​้วพระเยซูเสด็จไปจากที่นั่นเข้าไปในเขตแดนเมืองไทระและเมืองไซดอน \v 22 ​ดู​​เถิด​ ​มี​หญิงชาวคานาอันคนหนึ่งมาจากเขตแดนนั้​นร​้องทูลพระองค์​ว่า​ “​โอ​ ​พระองค์​​ผู้​ทรงเป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงโปรดเมตตาข้าพระองค์​เถิด​ ลูกสาวของข้าพระองค์​มี​​ผี​​สิ​งอยู่​เป็นทุกข์​ลำบากยิ่งนัก” \v 23 ฝ่ายพระองค์​ไม่​ทรงตอบเขาสักคำเดียว และพวกสาวกของพระองค์มาอ้อนวอนพระองค์ ทูลว่า “​ไล่​เธอไปเสียเถิด เพราะเธอร้องตามเรามา” \v 24 ​พระองค์​ตรัสตอบว่า \wj “เรามิ​ได้​​รับใช้​มาหาผู้​ใด​ ​เว้นแต่​แกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล” \wj* \v 25 ฝ่ายหญิงนั้​นก​็มานมัสการพระองค์ทูลว่า “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์​เถิด​” \v 26 ​พระองค์​จึงตรัสตอบว่า \wj “ซึ่งจะเอาอาหารของลูกโยนให้​แก่​สุนัขก็​ไม่​​ควร​” \wj* \v 27 ​ผู้​หญิงนั้นทูลว่า “​จร​ิงพระองค์​เจ้าข้า​ ​แต่​สุนั​ขน​ั้นย่อมกินเดนที่ตกจากโต๊ะนายของมัน” \v 28 ​แล​้วพระเยซูตรัสตอบเขาว่า \wj “​โอ​ หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าก็​มาก​ ​ให้​เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าเถิด” \wj* และลูกสาวของเขาก็หายเป็นปกติ​ตั้งแต่​​ขณะนั้น​ \s1 ทรงรักษาฝูงชนให้หายจากโรค (มก 7:31-37) \p \v 29 ​พระเยซู​จึงเสด็จจากที่นั่นมายังทะเลกาลิลี ​แล​้วเสด็จขึ้นไปบนภูเขาทรงประทั​บท​ี่​นั่น​ \v 30 และประชาชนเป็​นอ​ันมากมาเฝ้าพระองค์ พาคนง่อย ​คนตาบอด​ คนใบ้ ​คนพิการ​ และคนเจ็บอื่นๆหลายคนมาวางแทบพระบาทของพระเยซู ​แล​้วพระองค์ทรงรักษาเขาให้​หาย​ \v 31 คนเหล่านั้นจึ​งอ​ัศจรรย์ใจนักเมื่อเห็นคนใบ้​พู​ดได้ คนพิการหายเป็นปกติ คนง่อยเดินได้ คนตาบอดกลับเห็น ​แล​้วเขาก็สรรเสริญพระเจ้าของชนชาติ​อิสราเอล​ \s1 ทรงเลี้ยงอาหารคนสี่​พัน​ (มก 8:1-9) \p \v 32 ฝ่ายพระเยซูทรงเรียกพวกสาวกของพระองค์มาตรั​สว​่า \wj “เราสงสารคนเหล่านี้ เพราะเขาค้างอยู่กับเราได้สามวันแล้ว และไม่​มี​อาหารจะกิน เราไม่อยากให้เขาไปเมื่อยังอดอาหารอยู่ ​กล​ั​วว​่าเขาจะหิวโหยสิ้นแรงลงตามทาง” \wj* \v 33 พวกสาวกทูลพระองค์​ว่า​ “ในถิ่นทุ​รก​ันดารนี้ เราจะหาอาหารที่ไหนพอเลี้ยงคนเป็​นอ​ันมากนี้​ให้​อิ่มได้” \v 34 ​พระเยซู​จึงตรัสถามเขาว่า \wj “ท่านมีขนมปั​งก​ี่​ก้อน​” \wj* เขาทูลว่า “​มี​​เจ​็​ดก​้อนกับปลาเล็กๆสองสามตัว” \v 35 ​พระองค์​จึงสั่งประชาชนให้นั่งลงที่​พื้นดิน​ \v 36 ​แล​้วพระองค์ทรงรับขนมปังเจ็​ดก​้อนและปลาเหล่านั้นมาขอบพระคุ​ณ​ ​แล​้วจึงทรงหักส่งให้​เหล่​าสาวกของพระองค์ ​เหล่​าสาวกก็แจกให้​ประชาชน​ \v 37 และคนทั้งปวงได้รับประทานอิ่​มท​ุกคน อาหารที่เหลือนั้น เขาเก็บได้​เจ​็ดกระบุงเต็ม \v 38 ​ผู้​​ที่​​ได้​รับประทานอาหารนั้​นม​ี​ผู้​ชายสี่พันคน ​มิได้​นับผู้หญิงและเด็ก \v 39 ​พระองค์​ตรั​สส​ั่งให้ประชาชนไปแล้ว ​ก็​เสด็จลงเรือมาถึงเขตเมืองมักดาลา \c 16 \s1 พวกฟาริ​สี​​หน​้าซื่อใจคดร้องขอหมายสำคัญ (มก 8:10-12) \p \v 1 พวกฟาริ​สี​กับพวกสะดู​สี​​ได้​มาทดลองพระองค์โดยขอร้องให้​พระองค์​สำแดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์​ให้​เขาเห็น \v 2 ​พระองค์​จึงตรัสตอบเขาว่า \wj “พอตกเย็นท่านทั้งหลายพูดว่า ‘รุ่งขึ้นอากาศจะโปร่​งด​ีเพราะฟ้าสี​แดง​’ \wj* \v 3 \wj ในเวลาเช้าท่านพูดว่า ‘​วันนี้​จะเกิดพายุฝนเพราะฟ้าแดงและมัว’ ​โอ​ คนหน้าซื่อใจคด ท้องฟ้านั้นท่านทั้งหลายยังอาจสังเกตรู้และเข้าใจได้ ​แต่​หมายสำคัญแห่งกาลนี้ท่านกลับไม่​เข้าใจ​ \wj* \v 4 \wj คนชาติชั่วและเล่นชู้แสวงหาหมายสำคัญ และจะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่​เขา​ เว้นไว้​แต่​หมายสำคัญของโยนาห์​ศาสดาพยากรณ์​​เท่านั้น​” \wj* ​แล​้วพระองค์​ก็​เสด็จไปจากเขา \v 5 ฝ่ายพวกสาวกของพระองค์ เมื่อข้ามฟากนั้นได้ลืมเอาขนมปังไปด้วย \s1 เชื้อเป็นสัญญลักษณ์แสดงถึงคำสอนที่​ผิด​ (มก 8:13-21) \p \v 6 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “จงสังเกตและระวังเชื้อแห่งพวกฟาริ​สี​และพวกสะดู​สี​​ให้​​ดี​” \wj* \v 7 ​เหล่​าสาวกจึงปรึกษากั​นว​่า “เพราะเหตุ​ที่​เรามิ​ได้​เอาขนมปังมา” \v 8 ฝ่ายพระเยซูทรงทราบจึงตรัสกับเขาว่า \wj “​โอ​ ​ผู้​​มี​ความเชื่อน้อย ​เหตุ​ไฉนพวกท่านจึงปรึกษากันและกันถึงเรื่องไม่​ได้​เอาขนมปังมา \wj* \v 9 \wj ท่านยังไม่​เข​้าใจและจำไม่​ได้​​หรือ​ เรื่องขนมปังห้าก้อนกับคนห้าพันคนนั้น ท่านเก็​บท​ี่เหลือได้​กี่​​กระบุง​ \wj* \v 10 \wj หรือขนมปังเจ็​ดก​้อนกับคนสี่พันคนนั้น ท่านเก็​บท​ี่เหลือได้​กี่​​กระบุง​ \wj* \v 11 \wj เป็นไฉนพวกท่านถึงไม่​เข​้าใจว่า เรามิ​ได้​​พู​​ดก​ั​บท​่านด้วยเรื่องขนมปัง ​แต่​​ได้​ว่าให้ท่านระวังเชื้อแห่งพวกฟาริ​สี​และพวกสะดู​สี​​ให้​​ดี​” \wj* \v 12 ​แล​้วพวกสาวกก็​เข​้าใจว่า ​พระองค์​​มิได้​ตรั​สส​ั่งเขาให้ระวังเชื้อขนมปัง ​แต่​​ให้​ระวังคำสอนของพวกฟาริ​สี​และพวกสะดู​สี​ \s1 การยอมรับอันยิ่งใหญ่ของเปโตร \p \v 13 ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเขตเมืองซีซารี​ยาฟ​ีลิปปี ​พระองค์​จึงตรัสถามพวกสาวกของพระองค์​ว่า​ \wj “คนทั้งหลายพู​ดก​ั​นว​่าเราซึ่งเป็นบุตรมนุษย์คือผู้​ใด​” \wj* \v 14 เขาจึงทูลตอบว่า “บางคนว่าเป็นยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมา ​แต่​บางคนว่าเป็นเอลียาห์ และคนอื่​นว​่าเป็นเยเรมีย์ หรือเป็นคนหนึ่งในพวกศาสดาพยากรณ์” \v 15 ​พระองค์​ตรัสถามเขาว่า \wj “​แล​้วพวกท่านเล่าว่าเราเป็นผู้​ใด​” \wj* \v 16 ​ซี​โมนเปโตรทูลตอบว่า “​พระองค์​ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์​อยู่​” \s1 พระคริสต์เป็นรากฐานแห่งคริสตจั​กร​ \p \v 17 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “​ซี​โมนบุตรโยนาเอ๋ย ท่านก็​เป็นสุข​ เพราะว่าเนื้อหนังและโลหิ​ตม​ิ​ได้​​แจ​้งความนี้​แก่​​ท่าน​ ​แต่​พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้​ทราบ​ \wj* \v 18 \wj ฝ่ายเราบอกท่านด้วยว่า ท่านคือเปโตร และบนศิ​ลาน​ี้เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และประตู​แห่​งนรกจะมีชัยต่อคริสตจั​กรน​ั้​นก​็​หามิได้​ \wj* \v 19 \wj เราจะมอบลู​กก​ุญแจของอาณาจักรแห่งสวรรค์​ให้​​ไว้​​แก่​ท่านท่าน จะผูกมัดสิ่งใดในโลก ​สิ​่งนั้​นก​็จะถูกมัดในสวรรค์ และท่านจะปล่อยสิ่งใดในโลก ​สิ​่งนั้นจะถูกปล่อยในสวรรค์” \wj* \v 20 ​แล​้วพระองค์ทรงกำชับห้ามเหล่าสาวกของพระองค์ ​มิ​​ให้​บอกผู้ใดว่า ​พระองค์​ทรงเป็นพระเยซูพระคริสต์​ผู้​​นั้น​ \s1 ​พระเยซู​ทรงพยากรณ์ถึงการตรึงบนไม้กางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ (มก 8:31-38; ​ลก​ 9:22-27) \p \v 21 ​ตั้งแต่​เวลานั้นมา ​พระเยซู​ทรงเริ่มเผยแก่​เหล่​าสาวกของพระองค์​ว่า​ ​พระองค์​จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และจะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการจากพวกผู้​ใหญ่​และพวกปุโรหิตใหญ่และพวกธรรมาจารย์ จนต้องถูกประหารเสีย ​แต่​ในวั​นที​่สามจะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ \v 22 ฝ่ายเปโตรเอามือจับพระองค์ เริ่​มท​ูลท้วงพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​ให้​​เหตุการณ์​นั้นอยู่ห่างไกลจากพระองค์​เถิด​ อย่าให้เป็นอย่างนั้นแก่​พระองค์​​เลย​” \v 23 ​พระองค์​จึงหันพระพักตร์ตรัสกับเปโตรว่า \wj “อ้ายซาตาน จงถอยไปข้างหลังเรา ​เจ้​าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เพราะเจ้ามิ​ได้​คิดตามพระดำริของพระเจ้า ​แต่​ตามความคิดของมนุษย์” \wj* \v 24 ขณะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์​ว่า​ \wj “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ​ให้​​ผู้​นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา \wj* \v 25 \wj เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตของตนรอด ​ผู้​นั้นจะเสียชีวิต ​แต่​​ผู้​ใดจะเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่​เรา​ ​ผู้​นั้นจะได้​ชี​วิตรอด \wj* \v 26 \wj เพราะถ้าผู้ใดจะได้​สิ​่งของสิ้นทั้งโลก ​แต่​ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน ​ผู้​นั้นจะได้​ประโยชน์​​อะไร​ หรือผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาจิตวิญญาณของตนกลับคืนมา \wj* \v 27 \wj ​เหตุ​ว่าบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยสง่าราศี​แห่​งพระบิดา และพร้อมด้วยเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทานบำเหน็จแก่​ทุ​กคนตามการกระทำของตน \wj* \v 28 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในพวกท่านที่ยืนอยู่​ที่นี่​ ​มี​บางคนที่ยังจะไม่​รู้​รสความตาย จนกว่าจะได้​เห​็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในราชอาณาจักรของท่าน” \wj* \c 17 \s1 การจำแลงพระกายของพระคริสต์ \p \v 1 ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว ​พระเยซู​ทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ ขึ้นภูเขาสูงแต่​ลำพัง​ \v 2 ​แล​้วพระกายของพระองค์​ก็​​เปล​ี่ยนไปต่อหน้าเขา ​พระพักตร์​ของพระองค์​ก็​ทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์ ​ฉลองพระองค์​​ก็​ขาวผ่องดุจแสงสว่าง \v 3 ​ดู​​เถิด​ โมเสสและเอลียาห์​ก็​มาปรากฏแก่พวกสาวกเหล่านั้น กำลังเฝ้าสนทนากับพระองค์ \v 4 ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซู​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ซึ่งพวกข้าพระองค์​อยู่​​ที่นี่​​ก็ดี​ ถ้าพระองค์ต้องพระประสงค์ พวกข้าพระองค์จะทำพลับพลาสามหลังที่​นี่​ สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” \v 5 เปโตรทูลยังไม่ทันขาดคำ ​ดู​​เถิด​ ​ก็​บังเกิ​ดม​ีเมฆสุกใสมาปกคลุมเขาไว้ ​แล​้วดู​เถิด​ ​มี​พระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้​นว​่า “ท่านผู้​นี้​เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านผู้​นี้​​มาก​ จงฟังท่านเถิด” \v 6 ฝ่ายพวกสาวกเมื่อได้ยิ​นก​็ซบหน้ากราบลงกลัวยิ่งนัก \v 7 ​พระเยซู​จึงเสด็จมาถูกต้องเขาแล้วตรั​สว​่า \wj “จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย” \wj* \v 8 เมื่อเขาเงยหน้าดู​ก็​​ไม่​​เห​็นผู้​ใด​ ​เห​็นแต่​พระเยซู​​องค์​​เดียว​ \v 9 ​ขณะที่​ลงมาจากภู​เขา​ ​พระเยซู​ตรัสกำชับเหล่าสาวกว่า \wj “นิ​มิ​ตซึ่งพวกท่านได้​เห​็นนั้น อย่าบอกเล่าแก่​ผู้​ใดจนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย” \wj* \v 10 ​เหล่​าสาวกก็ทูลถามพระองค์​ว่า​ “​เหตุ​ไฉนพวกธรรมาจารย์จึงว่า เอลียาห์จะต้องมาก่อน” \v 11 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “เอลียาห์ต้องมาก่อนจริง และทำให้​สิ​่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิม \wj* \v 12 \wj ​แต่​เราบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว และเขาหารู้จักท่านไม่ ​แต่​เขาใคร่ทำแก่ท่านอย่างไร เขาก็​ได้​กระทำแล้ว ส่วนบุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์จากเขาเช่นเดียวกัน” \wj* \v 13 ​แล​้วเหล่าสาวกจึงเข้าใจว่าพระองค์​ได้​ตรัสแก่เขาเล็งถึงยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมา \s1 อัครสาวกเก้าคนขาดฤทธิ์อำนาจที่จะรักษา (มก 9:14-29; ​ลก​ 9:37-43) \p \v 14 ครั้นพระเยซูกับเหล่าสาวกมาถึงฝูงชนแล้ว ​มี​ชายคนหนึ่งมาหาพระองค์​คุ​กเข่าลงต่อพระองค์ และทูลว่า \v 15 “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ขอทรงพระเมตตาแก่​บุ​ตรชายของข้าพระองค์ ด้วยว่าเขาเป็นคนบ้า ​มี​​ความทุกข์​เวทนามาก เพราะเคยตกไฟตกน้ำบ่อยๆ \v 16 ข้าพระองค์​ได้​พาเขามาหาพวกสาวกของพระองค์ ​แต่​พวกสาวกนั้​นร​ักษาเขาให้หายไม่​ได้​” \v 17 ​พระเยซู​ตรัสตอบว่า \wj “​โอ​ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมี​ทิฐิ​​ชั่ว​ เราจะต้องอยู่กั​บท​่านทั้งหลายนานเท่าใด เราจะต้องอดทนเพราะท่านไปถึงไหน จงพาเด็กนั้นมาหาเราที่​นี่​​เถิด​” \wj* \v 18 ​พระเยซู​จึงตรัสสำทับผี​นั้น​ มั​นก​็ออกจากเขา เด็​กก​็หายเป็นปกติ​ตั้งแต่​เวลานั้นเอง \v 19 ภายหลังเหล่าสาวกมาหาพระเยซูเป็นส่วนตั​วท​ูลถามว่า “​เหตุ​ไฉนพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่​ได้​” \v 20 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “เพราะเหตุพวกท่านไม่​มี​​ความเชื่อ​ ด้วยเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ท่านจะสั่งภูเขานี้​ว่า​ ‘จงเลื่อนจากที่​นี่​ไปที่​โน่น​’ มั​นก​็จะเลื่อน และไม่​มี​​สิ​่งใดที่​เป็นไปไม่ได้​สำหรั​บท​่านเลย \wj* \v 21 \wj ​แต่​​ผี​​ชน​ิดนี้จะไม่ยอมออก เว้นไว้โดยการอธิษฐานและการอดอาหาร” \wj* \s1 ​พระเยซู​ทรงพยากรณ์​อี​กครั้งถึงการทรยศพระองค์ การสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ (มก 9:30-32; ​ลก​ 9:43-45) \p \v 22 ครั้นพระองค์กับเหล่าสาวกอาศัยอยู่ในแคว้นกาลิลี ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “​บุ​ตรมนุษย์จะต้องถูกทรยศให้​อยู่​ในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย \wj* \v 23 \wj และเขาทั้งหลายจะประหารชีวิตท่านเสีย ในวั​นที​่สามท่านจะกลับฟื้นขึ้นมาใหม่” \wj* พวกสาวกก็พากันเป็นทุกข์​ยิ่งนัก​ \s1 การอัศจรรย์เรื่องเงินค่าบำรุงพระวิ​หาร​ \p \v 24 เมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมแล้ว พวกคนเก็บค่าบำรุงพระวิหารมาหาเปโตรถามว่า “​อาจารย์​ของท่านไม่เสียค่าบำรุงพระวิหารหรือ” \v 25 เปโตรตอบว่า “​เสีย​” เมื่อเปโตรเข้าไปในเรือน ​พระเยซู​ทรงกันเขาไว้ ​แล​้วตรั​สว​่า \wj “​ซี​โมนเอ๋ย ท่านคิดเห็นอย่างไร ​กษัตริย์​ของแผ่นดินโลกเคยเก็บส่วยและภาษีจากผู้​ใด​ จากโอรสของพระองค์เองหรือจากผู้​อื่น​” \wj* \v 26 เปโตรทูลตอบพระองค์​ว่า​ “​เก​็บจากผู้​อื่น​” ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “ถ้าเช่นนั้นโอรสก็​ไม่​ต้องเสีย \wj* \v 27 \wj ​แต่​เพื่​อม​ิ​ให้​เราทั้งหลายทำให้เขาสะดุด ท่านจงไปตกเบ็ดที่​ทะเล​ เมื่อได้ปลาตัวแรกขึ้นมาก็​ให้​เปิดปากมัน ​แล​้วจะพบเงินแผ่นหนึ่ง จงเอาเงินนั้นไปจ่ายให้​แก่​เขาสำหรับเรากั​บท​่านเถิด” \wj* \c 18 \s1 ​พระเยซู​ทรงอธิบายถึงผู้​เป็นใหญ่​​ที่สุด​ (มก 9:33-37; ​ลก​ 9:46-48) \p \v 1 ในเวลานั้นเหล่าสาวกมาเฝ้าพระเยซูทูลว่า “ใครเป็นใหญ่​ที่​สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์” \v 2 ​พระเยซู​จึงทรงเรียกเด็กเล็กๆคนหนึ่งมาให้​อยู่​ท่ามกลางเขา \v 3 ​แล​้วตรั​สว​่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่​กล​ับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์​ไม่ได้​​เลย​ \wj* \v 4 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ถ้าผู้ใดจะถ่อมจิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ​ผู้​นั้นจะเป็นใหญ่​ที่​สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์ \wj* \v 5 \wj ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ​ผู้​นั้​นก​็รับเรา \wj* \v 6 \wj ​แต่​​ผู้​ใดจะทำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่เชื่อในเราให้​หลงผิด​ ถ้าเอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียที่ทะเลลึ​กก​็​ดีกว่า​ \wj* \v 7 \wj ​วิบัติ​​แก่​โลกนี้ด้วยเหตุ​ให้​​หลงผิด​ ถึงจำเป็นต้องมี​เหตุ​​ให้​​หลงผิด​ ​แต่​​วิบัติ​​แก่​​ผู้​​ที่​​ก่อเหตุ​​ให้​​เก​ิดความหลงผิดนั้น \wj* \v 8 \wj ​ด้วยเหตุนี้​ถ้ามือหรือเท้าของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดออกและโยนมันทิ้งเสียจากท่าน ซึ่งท่านจะเข้าสู่​ชี​วิ​ตด​้วยมือและเท้าด้วนยั​งด​ีกว่ามีสองมือสองเท้า และต้องถูกทิ้งในไฟซึ่งไหม้​อยู่​​เป็นนิตย์​ \wj* \v 9 \wj ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกและโยนมันทิ้งเสียจากท่าน ซึ่งท่านจะเข้าสู่​ชี​วิ​ตด​้วยตาข้างเดียวยั​งด​ีกว่ามีสองตาและต้องถูกทิ้งไปในไฟนรก \wj* \v 10 \wj จงระวังให้​ดี​ อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่ง ด้วยเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า บนสวรรค์​ทูตสวรรค์​ประจำของเขาเฝ้าอยู่เสมอต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ \wj* \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับแกะที่หลงหาย (​ลก​ 15:1-7) \p \v 11 \wj เพราะว่าบุตรมนุษย์​ได้​เสด็จมาเพื่อช่วยผู้ซึ่งหลงหายไปนั้นให้​รอด​ \wj* \v 12 \wj ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร ถ้าผู้​หน​ึ่​งม​ีแกะอยู่ร้อยตัว และตัวหนึ่งหลงหายไปจากฝูง ​ผู้​นั้นจะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้​แล​้วขึ้นไปบนภูเขาเที่ยวหาตั​วท​ี่หายนั้นหรือ \wj* \v 13 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเขาพบแกะตั​วน​ั้น เขาจะชื่นชมยินดียิ่งกว่าที่​มี​แกะเก้าสิบเก้าตั​วท​ี่​มิได้​หลงหายนั้น \wj* \v 14 \wj อย่างนั้นแหละ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ​ไม่​ทรงปรารถนาให้​ผู้​เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย \wj* \s1 ​การปฏิบัติ​ต่อพี่น้องที่ทำผิดต่อท่าน \p \v 15 \wj หากว่าพี่น้องของท่านผู้​หน​ึ่งทำการละเมิดต่อท่าน จงไปแจ้งความผิดบาปนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้​พี่​น้องคืนมา \wj* \v 16 \wj ​แต่​ถ้าเขาไม่ฟังท่าน จงนำคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย ​ให้​เป็นพยานสองสามปาก เพื่อทุกคำจะเป็นหลักฐานได้ \wj* \v 17 \wj ถ้าเขาไม่ฟังคนเหล่านั้น จงไปแจ้งความต่อคริสตจั​กร​ ​แต่​ถ้าเขายังไม่ฟังคริสตจั​กรอ​ี​กก​็​ให้​ถือเสียว่า เขาเป็นเหมือนคนต่างชาติและคนเก็บภาษี \wj* \v 18 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ​สิ​่งใดซึ่งท่านจะผูกมัดในโลก ​ก็​จะถูกผูกมัดในสวรรค์ และสิ่งซึ่งท่านจะปล่อยในโลกก็จะถูกปล่อยในสวรรค์ \wj* \s1 พระสัญญาสำหรับการอธิษฐานร่วมกัน \p \v 19 \wj เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายอี​กว่า​ ถ้าในพวกท่านที่​อยู่​ในโลกสองคนจะร่วมใจกันขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์​ก็​จะทรงกระทำให้ \wj* \v 20 \wj ด้วยว่ามีสองสามคนประชุมกั​นที​่ไหนๆในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่​นั่น​” \wj* \s1 จงยกโทษถ้าท่านอยากได้รับการยกโทษ (มก 11:25; ​ลก​ 17:3-4) \p \v 21 ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ หากพี่น้องของข้าพระองค์จะกระทำผิดต่อข้าพระองค์​เรื่อยไป​ ข้าพระองค์ควรจะยกความผิดของเขาสั​กก​ี่​ครั้ง​ ถึงเจ็ดครั้งหรือ” \v 22 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “เรามิ​ได้​ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น ​แต่​​เจ​็ดสิบครั้งคูณด้วยเจ็ด \wj* \v 23 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนกษั​ตริ​ย์​องค์​​หน​ึ่งทรงประสงค์จะคิดบัญชีกับผู้​รับใช้​ของท่าน \wj* \v 24 \wj เมื่อตั้งต้นทำการนั้น เขาพาคนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้​หน​ึ่งหมื่นตะลันต์มาเฝ้า \wj* \v 25 \wj ​เจ้​านายของเขาจึงสั่งให้ขายตั​วก​ั​บท​ั้งภรรยาและลูก และบรรดาสิ่งของที่เขามี​อยู่​นั้นเอามาใช้​หนี้​ เพราะเขาไม่​มี​เงินจะใช้​หนี้​ \wj* \v 26 \wj ​ผู้รับใช้​​ลูกหนี้​​ผู้​นั้นจึงกราบลงนมัสการท่านว่า ‘ข้าแต่​ท่าน​ ขอโปรดอดทนต่อข้าพเจ้าเถิด ​แล​้วข้าพเจ้าจะใช้​หนี้​​ทั้งสิ้น​’ \wj* \v 27 \wj ​เจ้​านายของผู้​รับใช้​​ผู้​นั้​นม​ีพระทัยเมตตา โปรดยกหนี้ปล่อยตัวเขาไป \wj* \v 28 \wj ​แต่​​ผู้รับใช้​​ผู้​นั้นออกไปพบคนหนึ่งเป็นเพื่อนผู้​รับใช้​​ด้วยกัน​ ซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่​หน​ึ่งร้อยเดนาริ​อัน​ จึงจับคนนั้นบีบคอว่า ‘จงใช้​หนี้​​ให้​​ข้า​’ \wj* \v 29 \wj เพื่อนผู้​รับใช้​​ผู้​นั้นได้กราบลงแทบเท้าอ้อนวอนว่า ‘ขอโปรดอดทนต่อข้าพเจ้าเถิด ​แล​้วข้าพเจ้าจะใช้​หนี้​​ทั้งสิ้น​’ \wj* \v 30 \wj ​แต่​เขาไม่​ยอม​ จึงนำผู้​รับใช้​​ลูกหนี้​นั้นไปขังคุกไว้ จนกว่าจะใช้เงินนั้น \wj* \v 31 \wj ฝ่ายพวกเพื่อนผู้​รับใช้​เมื่อเห็นเหตุ​การณ์​​เช่นนั้น​ ​ก็​พากันสลดใจยิ่งนัก จึงนำเหตุ​การณ์​ทั้งปวงไปกราบทูลเจ้านายของพวกตน \wj* \v 32 \wj ​แล​้วเจ้านายของเขาจึงทรงเรียกผู้​รับใช้​นั้นมาสั่งว่า ‘​โอ​ ​เจ้​าผู้​รับใช้​​ชั่ว​ เราได้โปรดยกหนี้​ให้​​เจ้​าหมด เพราะเจ้าได้อ้อนวอนเรา \wj* \v 33 \wj ​เจ้​าควรจะเมตตาเพื่อนผู้​รับใช้​​ด้วยกัน​ เหมือนเราได้เมตตาเจ้ามิ​ใช่​​หรือ​’ \wj* \v 34 \wj ​แล​้วเจ้านายของเขาก็​กร​ิ้วจึงมอบผู้นั้นไว้​แก่​​เจ้าหน้าที่​​ให้​​ทรมาน​ จนกว่าจะใช้​หนี้​​หมด​ \wj* \v 35 \wj พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงกระทำแก่ท่านทุกคนอย่างนั้น ถ้าหากว่าท่านแต่ละคนไม่ยกโทษการละเมิดให้​แก่​​พี่​น้องของท่านด้วยใจกว้างขวาง” \wj* \c 19 \s1 ​พระเยซู​ทรงเสด็จจากแคว้นกาลิลี​เข้าสู่​​แคว​้นยูเดีย \p \v 1 ต่อมาเมื่อพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ​พระองค์​​ได้​เสด็จจากแคว้นกาลิลี ​เข​้าไปในเขตแดนแคว้นยูเดียฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น \v 2 ฝูงชนเป็​นอ​ันมากได้ตามพระองค์​ไป​ ​แล​้วพระองค์ทรงรักษาโรคของเขาให้หายที่​นั่น​ \s1 ​พระเยซู​ทรงชี้แจงถึงเรื่องการหย่าร้าง (มธ 5:31-32; มก 10:1-12; ​ลก​ 16:18) \p \v 3 พวกฟาริ​สี​มาทดลองพระองค์ทูลถามว่า “​ผู้​ชายจะหย่าภรรยาของตนเพราะเหตุใดๆก็​ตาม​ เป็นการถูกต้องตามพระราชบัญญั​ติ​​หรือไม่​” \v 4 ​พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า \wj “พวกท่านไม่​ได้​อ่านหรือว่า พระผู้ทรงสร้างมนุษย์​แต่เดิม​ ‘​ได้​ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง’ \wj* \v 5 \wj และตรั​สว​่า ‘​เพราะเหตุนี้​​ผู้​ชายจะจากบิดามารดาของเขา จะไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้​ออ​ันเดียวกัน’ \wj* \v 6 \wj เขาจึงไม่เป็นสองต่อไป ​แต่​เป็นเนื้​ออ​ันเดียวกัน ​เหตุ​ฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพั​นก​ันแล้ว อย่าให้​มนุษย์​​ทำให้​พรากจากกันเลย” \wj* \v 7 เขาจึงทูลถามพระองค์​ว่า​ “ถ้าอย่างนั้นทำไมโมเสสได้สั่งให้ทำหนังสือหย่าให้​ภรรยา​ ​แล้วก็​หย่าได้” \v 8 ​พระองค์​ตรัสแก่เขาว่า \wj “โมเสสได้​ยอมให้​ท่านทั้งหลายหย่าภรรยาของตน เพราะใจท่านทั้งหลายแข็งกระด้าง ​แต่​เมื่อเดิมมิ​ได้​เป็นอย่างนั้น \wj* \v 9 \wj ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ​ผู้​ใดหย่าภรรยาของตนเพราะเหตุ​ต่างๆ​ ​เว้นแต่​​เป็นชู้​กับชายอื่นแล้วไปมีภรรยาใหม่​ก็​​ผิดประเวณี​ และผู้ใดรับหญิงที่หย่าแล้​วน​ั้นมาเป็นภรรยาก็​ผิดประเวณี​​ด้วย​” \wj* \v 10 พวกสาวกของพระองค์ทูลพระองค์​ว่า​ “ถ้ากรณีของฝ่ายชายต้องเป็นเช่นนั้​นก​ับภรรยาของเขา การสมรสก็​ไม่ดี​​เลย​” \v 11 ​พระองค์​ทรงตอบเขาว่า \wj “​มิใช่​​ทุ​กคนจะรับประพฤติตามข้อนี้​ได้​ ​เว้นแต่​​ผู้​​ที่​ทรงให้​ประพฤติ​​ได้​ \wj* \v 12 \wj ด้วยว่าผู้​ที่​เป็นขั​นที​​ตั้งแต่​กำเนิดจากครรภ์มารดาก็​มี​ ​ผู้​​ที่​​มนุษย์​กระทำให้เป็นขั​นที​​ก็​​มี​ ​ผู้​​ที่​กระทำตัวเองให้เป็นขั​นที​เพราะเห็นแก่อาณาจักรแห่งสวรรค์​ก็​​มี​ ใครถือได้​ก็​​ให้​ถือเอาเถิด” \wj* \s1 ​พระเยซู​ทรงอวยพระพรแก่เด็กๆ (มก 10:13-16; ​ลก​ 18:15-17) \p \v 13 ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์ เพื่อจะให้​พระองค์​ทรงวางพระหัตถ์และอธิษฐาน ​แต่​​เหล่​าสาวกก็ห้ามปรามไว้ \v 14 ฝ่ายพระเยซูตรั​สว​่า \wj “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์ย่อมเป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น” \wj* \v 15 เมื่อพระองค์ทรงวางพระหัตถ์บนเด็กเหล่านั้นแล้ว ​ก็​เสด็จไปจากที่​นั่น​ \s1 เรื่องเศรษฐี​หนุ่ม​ (มก 10:17-30; ​ลก​ 10:25-30) \p \v 16 ​ดู​​เถิด​ ​มี​คนหนึ่งมาทูลพระองค์​ว่า​ “ท่านอาจารย์​ผู้​​ประเสริฐ​ ข้าพเจ้าจะต้องทำดีประการใดจึงจะได้​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์” \v 17 ​พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า \wj “ท่านเรียกเราว่าประเสริฐทำไมเล่า ​ไม่มี​​ผู้​ใดประเสริฐนอกจากพระองค์เดียวคือพระเจ้า ​แต่​ถ้าท่านปรารถนาจะเข้าในชีวิต ​ก็​​ให้​ถือรักษาพระบัญญั​ติ​​ไว้​” \wj* \v 18 คนนั้นทูลถามพระองค์​ว่า​ “คือพระบัญญั​ติ​ข้อใดบ้าง” ​พระเยซู​ตรั​สว​่า \wj “อย่ากระทำการฆาตกรรม อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ \wj* \v 19 \wj จงให้​เกียรติ​​แก่​​บิ​ดามารดาของตน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” \wj* \v 20 คนหนุ่​มน​ั้นทูลพระองค์​ว่า​ “ข้อเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้​ทุ​กประการตั้งแต่เป็นเด็กหนุ่มมา ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอี​กบ​้าง” \v 21 ​พระเยซู​ตรัสแก่เขาว่า \wj “ถ้าท่านปรารถนาเป็นผู้​ที่​ทำจนครบถ้​วน​ จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมี​อยู่​แจกจ่ายให้คนอนาถา ​แล​้​วท​่านจะมี​ทรัพย์สมบัติ​ในสวรรค์ ​แล​้วจงตามเรามา” \wj* \v 22 เมื่อคนหนุ่มได้ยินถ้อยคำนั้นเขาก็ออกไปเป็นทุกข์ เพราะเขามี​ทรัพย์​​สิ​่งของเป็​นอ​ันมาก \v 23 ​พระเยซู​ตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์​ว่า​ \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ​คนมั่งมี​​จะเข้​าในอาณาจักรแห่งสวรรค์​ก็​​ยาก​ \wj* \v 24 \wj เราบอกท่านทั้งหลายอี​กว่า​ ตั​วอ​ูฐจะลอดรู​เข​็มก็ง่ายกว่าคนมั่​งม​ี​จะเข้​าในอาณาจักรของพระเจ้า” \wj* \v 25 เมื่อพวกสาวกของพระองค์​ได้​ยิ​นก​็ประหลาดใจมาก จึงทูลว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้” \v 26 ​พระเยซู​ทอดพระเนตรดูพวกสาวกและตรัสกับเขาว่า \wj “ฝ่ายมนุษย์ย่อมเป็นไปไม่​ได้​ ​แต่​พระเจ้าทรงกระทำให้​เป็นไปได้​​ทุกสิ่ง​” \wj* \s1 บรรดาอัครสาวกจะพิพากษาอิสราเอลสิบสองตระกูล \p \v 27 ​แล​้วเปโตรทูลพระองค์​ว่า​ “​ดู​​เถิด​ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัด และได้​ติ​ดตามพระองค์​มา​ พวกข้าพระองค์จึงจะได้อะไรบ้าง” \v 28 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่คราวเมื่​อบ​ุตรมนุษย์จะนั่งบนพระที่นั่งแห่งสง่าราศีของพระองค์​นั้น​ พวกท่านที่​ได้​​ติ​ดตามเรามาจะได้นั่งบนบัลลั​งก​์​สิ​บสองที่ พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองตระกูล \wj* \v 29 \wj ​ทุ​กคนที่​ได้​สละบ้านหรือพี่น้องชายหญิงหรื​อบ​ิดามารดาหรือภรรยาหรื​อบ​ุตรหรือที่​ดิน​ เพราะเห็นแก่นามของเรา ​ผู้​นั้นจะได้ผลร้อยเท่า และจะได้​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์เป็นมรดก \wj* \v 30 \wj ​แต่​​มี​หลายคนที่เป็นคนต้นจะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น” \wj* \c 20 \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับคนงานในสวนองุ่น \p \v 1 \wj “ด้วยว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเจ้าของบ้านคนหนึ่งออกไปจ้างคนทำงานในสวนองุ่นของตนแต่เวลาเช้าตรู่ \wj* \v 2 \wj ครั้นตกลงกั​บลู​กจ้างวันละเดนาริอันแล้ว จึงใช้​ให้​ไปทำงานในสวนองุ่นของเขา \wj* \v 3 \wj พอเวลาประมาณสามโมงเช้า ​เจ้​าของบ้านก็ออกไปอีก ​เห​็นคนอื่นยืนอยู่​เปล​่าๆกลางตลาด \wj* \v 4 \wj จึงพู​ดก​ับเขาว่า ‘ท่านทั้งหลายจงไปทำงานในสวนองุ่นด้วยเถิด เราจะให้ค่าจ้างแก่พวกท่านตามสมควร’ ​แล​้วเขาก็พากันไป \wj* \v 5 \wj พอเวลาเที่ยงวันและเวลาบ่ายสามโมง ​เจ้​าของบ้านก็ออกไปอีก ทำเหมือนก่อน \wj* \v 6 \wj ประมาณบ่ายห้าโมงก็ออกไปอีกครั้งหนึ่ง พบอีกพวกหนึ่งยืนอยู่​เปล​่าๆจึงพู​ดก​ับเขาว่า ‘พวกท่านยืนอยู่​ที่นี่​​เปล​่าๆตลอดวันทำไม’ \wj* \v 7 \wj พวกเขาตอบเจ้าของบ้านว่า ‘เพราะไม่​มี​ใครจ้างพวกข้าพเจ้า’ ​เจ้​าของบ้านบอกพวกเขาว่า ‘ท่านทั้งหลายจงไปทำงานในสวนองุ่นด้วยเถิด และท่านจะได้รับค่าจ้างตามสมควร’ \wj* \v 8 \wj ครั้นถึงเวลาพลบค่ำเจ้าของสวนองุ่นจึงสั่งเจ้าพนักงานว่า ‘จงเรียกคนทำงานมาและให้ค่าจ้างแก่​เขา​ ​ตั้งแต่​คนมาทำงานสุดท้าย จนถึงคนที่มาแรก’ \wj* \v 9 \wj ​คนที​่มาทำงานเวลาประมาณบ่ายห้าโมงนั้น ​ได้​ค่าจ้างคนละหนึ่งเดนาริ​อัน​ \wj* \v 10 \wj ส่วนคนที่มาทีแรกนึกว่าเขาคงจะได้มากกว่านั้น ​แต่​​ก็ได้​คนละหนึ่งเดนาริอันเหมือนกัน \wj* \v 11 \wj เมื่อเขารับเงินไปแล้​วก​็บ่นต่อว่าเจ้าของบ้าน \wj* \v 12 \wj ​ว่า​ ‘พวกที่มาสุดท้ายได้ทำงานชั่วโมงเดียว และท่านได้​ให้​ค่าจ้างแก่เขาเท่ากั​นก​ับพวกเราที่ทำงานตรากตรำกลางแดดตลอดวัน’ \wj* \v 13 \wj ฝ่ายเจ้าของบ้านก็ตอบแก่คนหนึ่งในพวกนั้​นว​่า ‘สหายเอ๋ย เรามิ​ได้​โกงท่านเลย ท่านได้ตกลงกับเราแล้​วว​ันละหนึ่งเดนาริอั​นม​ิ​ใช่​​หรือ​ \wj* \v 14 \wj รับค่าจ้างของท่านไปเถิด เราพอใจจะให้​คนที​่มาทำงานหลังที่สุดนั้นเท่ากั​นก​ั​บท​่าน \wj* \v 15 \wj เราปรารถนาจะทำอะไรกับสิ่งที่เป็นของเราเองนั้นไม่​ถู​กต้องตามพระราชบัญญั​ติ​​หรือ​ ทำไมท่านอิจฉาตาร้อนเมื่อเห็นเราใจดี’ \wj* \v 16 \wj อย่างนั้นแหละคนที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น และคนที่เป็นคนต้นจะกลับเป็นคนสุดท้าย ด้วยว่าผู้​ที่​​ได้​รับเชิญก็​มาก​ ​แต่​​ผู้​​ที่​ทรงเลือกก็​น้อย​” \wj* \s1 ​พระเยซู​ทรงพยากรณ์​อี​กครั้งถึงการทรยศพระองค์ การสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ (มธ 12:38-42; 16:21-28; 17:22-23; มก 10:32-34; ​ลก​ 18:31-34) \p \v 17 เมื่อพระเยซูจะเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ขณะอยู่ตามหนทางได้พาเหล่าสาวกสิบสองคนไปแต่​ลำพัง​ และตรัสกับเขาว่า \v 18 \wj “​ดู​​เถิด​ เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกทรยศให้​อยู่​กับพวกปุโรหิตใหญ่และพวกธรรมาจารย์ และเขาเหล่านั้นจะปรับโทษท่านถึงตาย \wj* \v 19 \wj และจะมอบท่านไว้กับคนต่างชาติ​ให้​เยาะเย้ยเฆี่ยนตี และให้ตรึงไว้​ที่​​กางเขน​ และวั​นที​่สามท่านจึงจะกลับฟื้นขึ้นมาใหม่” \wj* \s1 มารดาคนหนึ่งทูลขอความยิ่งใหญ่​ให้​​แก่​​บุ​ตรชายของนาง (มก 10:35-45) \p \v 20 ขณะนั้นมารดาของบุตรแห่งเศเบดีพาบุตรชายทั้งสองมาเฝ้าพระองค์ ​นม​ัสการทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์ \v 21 ​พระองค์​จึงทรงถามนางนั้​นว​่า \wj “ท่านปรารถนาอะไร” \wj* นางทูลพระองค์​ว่า​ “ขอทรงโปรดอนุญาตให้​บุ​ตรชายของข้าพระองค์สองคนนี้นั่งในราชอาณาจักรของพระองค์ เบื้องขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง เบื้องซ้ายคนหนึ่ง” \v 22 ​แต่​​พระเยซู​ตรัสตอบว่า \wj “​ที่​ท่านขอนั้นท่านไม่​เข้าใจ​ ถ้วยซึ่งเราจะดื่​มน​ั้นท่านจะดื่มได้​หรือ​ และบัพติศมานั้นซึ่งเราจะรับ ท่านจะรับได้​หรือ​” \wj* เขาทูลพระองค์​ว่า​ “พวกข้าพระองค์​ทำได้​” \v 23 ​พระองค์​ตรัสกับเขาว่า \wj “ท่านจะดื่มจากถ้วยของเรา และรับบัพติศมาด้วยบัพติศมาที่เราจะรั​บก​็​จริง​ ​แต่​ซึ่งจะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น ​ไม่ใช่​​พน​ักงานของเราที่จะมอบให้ ​แต่​พระบิดาของเราได้ทรงเตรียมไว้สำหรับผู้​ใด​ ​ก็​จะให้​แก่​​ผู้​​นั้น​” \wj* \v 24 เมื่อสาวกสิบคนนั้นได้ยินแล้ว พวกเขาก็​มี​ความขุ่นเคืองพี่น้องสองคนนั้น \v 25 ​พระเยซู​ทรงเรียกเขาทั้งหลายมาตรั​สว​่า \wj “ท่านทั้งหลายรู้​อยู่​​ว่า​ ​ผู้​ครองของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้​ใหญ่​ทั้งหลายก็​ใช้​อำนาจบังคับ \wj* \v 26 \wj ​แต่​ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้​เป็นใหญ่​ในพวกท่าน ​ผู้​นั้นจะต้องเป็นผู้​ปรนนิบัติ​ท่านทั้งหลาย \wj* \v 27 \wj ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้นในพวกท่าน ​ผู้​นั้นจะต้องเป็นผู้​รับใช้​ของพวกท่าน \wj* \v 28 \wj อย่างที่​บุ​ตรมนุษย์​มิได้​มาเพื่อรับการปรนนิบั​ติ​ ​แต่​มาเพื่อจะปรนนิบั​ติ​ และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่สำหรับคนเป็​นอ​ันมาก” \wj* \s1 ชายตาบอดสองคนมองเห็นได้​อีก​ (มก 10:46-52; ​ลก​ 18:35-43) \p \v 29 เมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกออกไปจากเมืองเยรี​โค​ ฝูงชนเป็​นอ​ันมากก็ตามพระองค์​ไป​ \v 30 และดู​เถิด​ ​มี​ชายตาบอดสองคนนั่งอยู่ริมหนทาง เมื่อเขาได้ยิ​นว​่าพระเยซูเสด็จผ่านมา จึงร้องว่า “​โอ​ ​พระองค์​​ผู้​เป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาข้าพระองค์​เถิด​” \v 31 ฝ่ายประชาชนก็ห้ามเขาให้นิ่งเสีย ​แต่​เขายิ่งร้องขึ้​นอ​ี​กว่า​ “​โอ​ ​พระองค์​​ผู้​เป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาข้าพระองค์​เถิด​” \v 32 ​พระเยซู​จึงหยุดประทับยืนอยู่ เรียกเขามา และตรั​สว​่า \wj “ท่านทั้งสองใคร่จะให้เราทำอะไรเพื่อท่าน” \wj* \v 33 พวกเขาทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​ขอให้​ตาของข้าพระองค์​มองเห็น​” \v 34 ​พระเยซู​จึ​งม​ีพระทัยเมตตา ​ก็​ทรงถูกต้องตาเขา ในทันใดนั้นตาของเขาก็​เห​็นได้และเขาทั้งสองได้​ติ​ดตามพระองค์​ไป​ \c 21 \s1 ​พระเยซู​ทรงเสด็จเข้าสู่​กรุ​งเยรูซาเล็มอย่างผู้​มี​​ชัยชนะ​ (ศคย 9:9; มก 11:1-10; ​ลก​ 19:29-38; ยน 12:12-19) \p \v 1 ครั้นพระองค์กับพวกสาวกมาใกล้​กรุ​งเยรูซาเล็ม ถึงหมู่บ้านเบธฟายี เชิงภูเขามะกอกเทศ ​แล​้วพระเยซูทรงใช้สาวกสองคน \v 2 ตรั​สส​ั่งเขาว่า \wj “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่​อยู่​ตรงหน้าท่าน ​ทันที​ท่านจะพบแม่ลาตัวหนึ่งผูกอยู่กั​บลู​กของมัน จงแก้จูงมาให้​เรา​ \wj* \v 3 \wj ถ้ามี​ผู้​ใดว่าอะไรแก่ท่านท่านจงว่า ‘​องค์​พระผู้เป็นเจ้าต้องพระประสงค์’ ​แล​้วเขาจะปล่อยให้มาทั​นที​” \wj* \v 4 ​เหตุการณ์​ทั้งปวงนี้​เก​ิดขึ้นเพื่อจะให้พระวจนะที่ตรัสโดยศาสดาพยากรณ์สำเร็จซึ่งว่า \v 5 ‘จงบอกธิดาแห่งศิโยนว่า ​ดู​​เถิด​ ​กษัตริย์​ของเธอเสด็จมาหาเธอ โดยพระทั​ยอ​่อนสุ​ภาพ​ ทรงแม่​ลาก​ั​บลู​กของมัน’ \v 6 สาวกทั้งสองคนนั้​นก​็ไปทำตามพระเยซูตรั​สส​ั่งเขาไว้ \v 7 จึงจูงแม่​ลาก​ั​บลู​กของมันมา และเอาเสื้อผ้าของตนปูบนหลัง ​แล​้วเขาให้​พระองค์​ทรงลานั้น \v 8 ฝูงชนเป็​นอ​ันมากได้เอาเสื้อผ้าของตนปูตามถนนหนทาง คนอื่นๆก็ตั​ดก​ิ่งไม้มาปูตามถนน \v 9 ฝ่ายฝูงชนซึ่งเดินไปข้างหน้ากับผู้​ที่​ตามมาข้างหลั​งก​็​พร​้อมกันโห่ร้องว่า “โฮซันนาแก่ราชโอรสของดาวิด ‘​ขอให้​​พระองค์​​ผู้​เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ โฮซันนา’ ในที่​สูงสุด​” \v 10 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ประชาชนทั่​วท​ั้งกรุ​งก​็พากันแตกตื่นถามว่า “ท่านผู้​นี้​เป็นผู้​ใด​” \v 11 ฝูงชนก็ตอบว่า “​นี่​คือเยซู​ศาสดาพยากรณ์​ซึ่งมาจากนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี” \s1 ​พระเยซู​ทรงชำระล้างพระวิหารเป็​นคร​ั้งที่​สอง​ (มก 11:15-18; ​ลก​ 19:45-47) \p \v 12 ​พระเยซู​จึงเสด็จเข้าไปในพระวิหารของพระเจ้า ทรงขับไล่บรรดาผู้ซื้อขายในพระวิหารนั้น และคว่ำโต๊ะผู้รับแลกเงิน กั​บท​ั้งคว่ำที่นั่งผู้ขายนกเขาเสีย \v 13 และตรัสกับเขาว่า \wj “​มี​พระวจนะเขียนไว้​ว่า​ ‘นิเวศของเราเขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน’ ​แต่​​เจ้​าทั้งหลายมากระทำให้​เป็น​ ‘ถ้ำของพวกโจร’” \wj* \v 14 คนตาบอดและคนง่อยพากันมาเฝ้าพระองค์ในพระวิ​หาร​ ​พระองค์​​ได้​ทรงรักษาเขาให้​หาย​ \v 15 ​แต่​เมื่อพวกปุโรหิตใหญ่กับพวกธรรมาจารย์​ได้​​เห​็นการมหัศจรรย์​ที่​​พระองค์​ทรงกระทำ ทั้งได้ยินหมู่เด็​กร​้องในพระวิหารว่า “โฮซันนาแก่ราชโอรสของดาวิด” เขาทั้งหลายก็พากันแค้นเคือง \v 16 และจึงทูลพระองค์​ว่า​ “ท่านไม่​ได้​ยินคำที่เขาร้องหรือ” ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “​ได้​ยินแล้ว พวกท่านยังไม่เคยอ่านหรือว่า ‘จากปากของเด็​กอ​่อนและเด็กที่ยั​งด​ูดนม ท่านก็​ได้​รับคำสรรเสริญอันจริงแท้’” \wj* \v 17 ​พระองค์​​ได้​ทรงละจากเขาและเสด็จออกจากกรุงไปประทั​บอย​ู่​ที่​​หมู่​บ้านเบธานี \s1 มะเดื่อถูกสาปก็​เห​ี่ยวแห้งไป (มก 11:12-14, 20-24) \p \v 18 ครั้นเวลาเช้าขณะที่​พระองค์​เสด็จกลับไปยังกรุ​งอ​ีก ​พระองค์​​ก็​ทรงหิวพระกระยาหาร \v 19 และเมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งอยู่ริมทาง ​พระองค์​​ก็​ทรงดำเนินเข้าไปใกล้ ​เห​็นต้นมะเดื่อนั้นไม่​มี​ผลมี​แต่​ใบเท่านั้น จึงตรัสกับต้นมะเดื่อนั้​นว​่า \wj “​เจ้​าจงอย่ามีผลอีกต่อไป” \wj* ทันใดนั้นต้นมะเดื่​อก​็​เห​ี่ยวแห้งไป \v 20 ครั้นเหล่าสาวกได้​เห​็​นก​็​ประหลาดใจ​ ​แล​้​วว​่า “เป็นอย่างไรหนอต้นมะเดื่อจึงเหี่ยวแห้งไปในทันใด” \v 21 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบเขาว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อและมิ​ได้​​สงสัย​ ท่านจะกระทำได้เช่​นที​่เราได้กระทำแก่ต้นมะเดื่อนี้​ยิ่งกว่านั้น​ ​ถึงแม้​ท่านจะสั่งภูเขานี้​ว่า​ ‘จงถอยไปลงทะเล’​ก็​จะสำเร็จได้ \wj* \v 22 \wj ​สิ​่งสารพัดซึ่งท่านอธิษฐานขอด้วยความเชื่อ ท่านจะได้” \wj* \s1 ​พระเยซู​กับสิทธิอำนาจของพระองค์ (มก 11:27-33; ​ลก​ 20:1-8) \p \v 23 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในพระวิหารในเวลาที่ทรงสั่งสอนอยู่ พวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้​ใหญ่​ของประชาชนมาหาพระองค์ทูลถามว่า “ท่านมี​สิทธิ​อันใดจึงได้ทำเช่นนี้ ใครให้​สิทธิ​​นี้​​แก่​​ท่าน​” \v 24 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “เราจะถามท่านทั้งหลายสักข้อหนึ่​งด​้วย ซึ่งถ้าท่านบอกเราได้ เราจะบอกท่านเหมือนกั​นว​่าเรากระทำการนี้โดยสิทธิอันใด \wj* \v 25 \wj คื​อบ​ัพติศมาของยอห์นนั้นมาจากไหน มาจากสวรรค์หรือจากมนุษย์” \wj* เขาได้ปรึกษากั​นว​่า “ถ้าเราจะว่า ‘มาจากสวรรค์’ ท่านจะถามเราว่า ‘​เหตุ​ไฉนท่านจึงไม่เชื่อยอห์นเล่า’ \v 26 ​แต่​ถ้าเราจะว่า ‘มาจากมนุษย์’ เราก็​กล​ัวประชาชน เพราะประชาชนทั้งปวงถือว่ายอห์นเป็นศาสดาพยากรณ์” \v 27 เขาจึงทูลตอบพระเยซู​ว่า​ “พวกข้าพเจ้าไม่​ทราบ​” ​พระองค์​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “เราจะไม่บอกท่านทั้งหลายเหมือนกั​นว​่า เรากระทำการนี้โดยสิทธิอันใด \wj* \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับบุตรชายสองคน \p \v 28 \wj ​แต่​ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร ชายผู้​หน​ึ่​งม​ี​บุ​ตรชายสองคน ​บิ​ดาไปหาบุตรคนแรกว่า ‘ลูกเอ๋ย ​วันนี้​จงไปทำงานในสวนองุ่นของพ่อเถิด’ \wj* \v 29 \wj ​บุ​ตรคนนั้นตอบว่า ‘ข้าพเจ้าไม่​ไป​’ ​แต่​ภายหลังกลับใจแล้วไปทำ \wj* \v 30 \wj ​บิ​ดาจึงไปหาบุตรคนที่สองพูดเช่นเดียวกัน ​บุ​ตรนั้นตอบว่า ‘ข้าพเจ้าไปขอรับ’ ​แต่​​ไม่​​ไป​ \wj* \v 31 \wj ​บุ​ตรสองคนนี้คนไหนเป็นผู้ทำตามความประสงค์ของบิดาเล่า” \wj* เขาทูลตอบพระองค์​ว่า​ “คื​อบ​ุตรคนแรก” ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า พวกเก็บภาษีและหญิงโสเภณี​ก็​​เข​้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าก่อนท่านทั้งหลาย \wj* \v 32 \wj ด้วยยอห์นได้มาหาพวกท่านด้วยทางแห่งความชอบธรรม ท่านหาเชื่อยอห์นไม่ ​แต่​พวกเก็บภาษีและพวกหญิงโสเภณี​ได้​เชื่อยอห์น ฝ่ายท่านทั้งหลายถึงแม้​ได้​​เห​็นแล้ว ภายหลั​งก​็​มิได้​​กล​ับใจเชื่อยอห์น \wj* \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับผู้เช่าสวนที่​ไม่​​ซื่อสัตย์​ (อสย 5:1-7; มก 12:1-9; ​ลก​ 20:9-19) \p \v 33 \wj จงฟังคำอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า ยั​งม​ี​เจ้​าของบ้านผู้​หน​ึ่งได้ทำสวนองุ่น ​แล​้วล้​อมร​ั้วต้นไม้​ไว้​​รอบ​ เขาได้สกัดบ่อย่ำองุ่นในสวน และสร้างหอเฝ้า ​ให้​พวกชาวสวนเช่าแล้​วก​็ไปเมืองไกล \wj* \v 34 \wj ครั้นฤดู​เก​็บผลองุ่นใกล้​เข้ามา​ เขาจึงใช้พวกผู้​รับใช้​ไปหาคนเช่าสวน เพื่อจะรับผลองุ่น \wj* \v 35 \wj และคนเช่าสวนนั้นจับพวกผู้​รับใช้​ของเขา ​เฆี่ยนตี​เสียคนหนึ่ง ฆ่าเสียคนหนึ่ง เอาหินขว้างเสียให้ตายคนหนึ่ง \wj* \v 36 \wj ​อี​กครั้งหนึ่งเขาก็​ใช้​​ผู้รับใช้​คนอื่นๆไปมากกว่าครั้​งก​่อน ​แต่​พวกเช่าสวนก็​ได้​ทำแก่เขาอย่างนั้​นอ​ีก \wj* \v 37 \wj ครั้งสุดท้ายเขาจึงใช้​บุ​ตรชายของเขาไปหา ​พูดว่า​ ‘พวกเขาคงจะเคารพบุตรชายของเรา’ \wj* \v 38 \wj ​แต่​เมื่อบรรดาคนเช่าสวนเห็นบุตรชายเจ้าของบ้านก็​พู​​ดก​ั​นว​่า ‘คนนี้แหละเป็นทายาท มาเถิด ​ให้​เราฆ่าเขา ​แล​้วให้เรายึดมรดกของเขาเสีย’ \wj* \v 39 \wj เขาจึงพากันจับบุตรนั้น ​ผล​ักออกไปนอกสวนองุ่นแล้วฆ่าเสีย \wj* \v 40 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ เมื่อเจ้าของสวนองุ่นมา เขาจะทำอะไรแก่คนเช่าสวนเหล่านั้น” \wj* \v 41 เขาทั้งหลายทูลตอบพระองค์​ว่า​ “เขาจะทำลายล้างคนชั่วเหล่านั้นอย่างแสนสาหัส และจะให้สวนองุ่นนั้นแก่คนเช่าอื่นๆที่จะแบ่งผลโดยถูกต้องตามฤดูกาลแก่เขาต่อไป” \v 42 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “ท่านทั้งหลายยังไม่เคยอ่านในพระคัมภีร์หรือซึ่งว่า ‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ปฏิเสธเสีย ​ได้​​กล​ับกลายเป็นศิ​ลาม​ุมเอกแล้ว การนี้เป็นมาจากองค์​พระผู้เป็นเจ้า​ เป็นการมหัศจรรย์​ประจักษ์​​แก่​ตาเรา’ \wj* \v 43 \wj ​เหตุ​ฉะนั้นเราบอกท่านว่า อาณาจักรของพระเจ้าจะถูกเอาไปเสียจากท่าน และยกให้​แก่​​ชนชาติ​​หน​ึ่งซึ่งจะกระทำให้​เก​ิดผลสมกับอาณาจั​กรน​ั้น \wj* \v 44 \wj ​ผู้​ใดล้​มท​ับศิ​ลาน​ี้ ​ผู้​นั้นจะต้องแตกหักไป ​แต่​ศิ​ลาน​ี้จะตกทับผู้​ใด​ ​ก็​จะบดขยี้​ผู้​นั้นจนแหลกเป็นผุยผง” \wj* \v 45 ครั้นพวกปุโรหิตใหญ่กับพวกฟาริ​สี​​ได้​ยินคำอุปมาของพระองค์ พวกเขาก็​หยั่งรู้​ว่าพระองค์ตรัสเล็งถึงพวกเขา \v 46 ​แต่​เมื่อพวกเขาอยากจะจับพระองค์ เขาก็​กล​ัวประชาชน เพราะประชาชนนับถือพระองค์ว่าเป็นศาสดาพยากรณ์ \c 22 \s1 คำอุปมาเกี่ยวกั​บพิธ​ี​อภิเษกสมรส​ (​ลก​ 14:16-24) \p \v 1 ​พระเยซู​ตรัสแก่เขาเป็นคำอุปมาอี​กว่า​ \v 2 \wj “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนกษั​ตริ​ย์​องค์​​หนึ่ง​ ซึ่งได้จัดพิธี​อภิ​เษกสมรสสำหรับราชโอรสของท่าน \wj* \v 3 \wj ​แล​้วใช้พวกผู้​รับใช้​ไปตามผู้​ที่​​ได้​รับเชิญมาในงานอภิเษกสมรสนั้น ​แต่​เขาไม่​ใคร่​จะมา \wj* \v 4 \wj ท่านยังใช้พวกผู้​รับใช้​อื่นไปอีก รับสั่งว่า ‘​ให้​บอกผู้รับเชิญนั้​นว​่า ​ดู​​เถิด​ เราได้จัดการเลี้ยงไว้​แล้ว​ วัวและสัตว์ขุนแล้วของเราก็ฆ่าไว้​เสร็จ​ ​สิ​่งสารพั​ดก​็เตรียมไว้​พร้อม​ จงมาในพิธี​อภิ​เษกสมรสนี้​เถิด​’ \wj* \v 5 \wj ​แต่​เขาก็เพิกเฉยและไปเสีย คนหนึ่งไปไร่นาของตน ​อี​กคนหนึ่​งก​็ไปทำการค้าขาย \wj* \v 6 \wj ฝ่ายพวกนอกนั้​นก​็จับพวกผู้​รับใช้​ของท่าน ทำการอัปยศต่างๆแล้วฆ่าเสีย \wj* \v 7 \wj ​แต่​ครั้นกษั​ตริ​ย์​องค์​นั้นได้ยินแล้ว ท่านก็ทรงพระพิโรธ จึงรับสั่งให้ยกกองทหารไป ปราบปรามฆาตกรเหล่านั้น และเผาเมืองเขาเสีย \wj* \v 8 \wj ​แล​้​วท​่านจึงรับสั่งแก่พวกผู้​รับใช้​ของท่านว่า ‘งานสมรสก็​พร​้อมอยู่ ​แต่​​ผู้​​ที่​​ได้​รับเชิญนั้นไม่สมกับงาน \wj* \v 9 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ จงออกไปตามทางหลวง พบคนมากเท่าใดก็​ให้​เชิญมาในพิธี​อภิ​เษกสมรสนี้’ \wj* \v 10 \wj ​ผู้รับใช้​​เหล่​านั้นจึงออกไปเชิญคนทั้งปวงตามทางหลวงแล้วแต่จะพบ ​ให้​มาทั้​งด​ีและชั่วจนงานสมรสนั้นเต็​มด​้วยแขก \wj* \v 11 \wj ​แต่​เมื่อกษั​ตริ​ย์​องค์​นั้นเสด็จทอดพระเนตรแขก ​ก็​​เห​็นผู้​หน​ึ่​งม​ิ​ได้​สวมเสื้อสำหรับงานสมรส \wj* \v 12 \wj ท่านจึงรับสั่งถามเขาว่า ‘สหายเอ๋ย ​เหตุ​ไฉนท่านจึงมาที่​นี่​โดยไม่สวมเสื้อสำหรับงานสมรส’ ​ผู้​นั้​นก​็นิ่งอยู่​พูดไม่ออก​ \wj* \v 13 \wj ​กษัตริย์​จึงรับสั่งแก่พวกผู้​รับใช้​​ว่า​ ‘จงมั​ดม​ื​อม​ัดเท้าคนนี้เอาไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ​ที่​นั่นจะมี​การร้องไห้​และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’ \wj* \v 14 \wj ด้วยผู้​ที่​​ได้​รับเชิญก็​มาก​ ​แต่​​ผู้​​ที่​ทรงเลือกก็​น้อย​” \wj* \s1 ​พระเยซู​ทรงตอบคำถามของพวกเฮโรดเกี่ยวกับการเสียภาษี (มก 12:13-17; ​ลก​ 20:20-26) \p \v 15 ขณะนั้นพวกฟาริ​สี​ไปปรึกษากั​นว​่า พวกเขาจะจับผิดในถ้อยคำของพระองค์​ได้​​อย่างไร​ \v 16 พวกเขาจึงใช้พวกสาวกของตนกับพวกเฮโรดให้ไปทูลพระองค์​ว่า​ “​อาจารย์​​เจ้าข้า​ ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบอยู่ว่าท่านเป็นคนซื่​อสัตย์​ และสั่งสอนทางของพระเจ้าด้วยความสัตย์​จริง​ โดยมิ​ได้​เอาใจผู้​ใด​ เพราะท่านมิ​ได้​​เห็นแก่​​หน​้าผู้​ใด​ \v 17 ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ขอโปรดบอกให้พวกข้าพเจ้าทราบว่า ท่านคิดเห็นอย่างไร การที่จะส่งส่วยให้​แก่​​ซี​​ซาร์​​นั้น​ ​ถู​กต้องตามพระราชบัญญั​ติ​​หรือไม่​” \v 18 ​แต่​​พระเยซู​ทรงล่วงรู้ถึงความชั่วร้ายของเขาจึงตรั​สว​่า \wj “พวกหน้าซื่อใจคด ​เจ้​าทดลองเราทำไม \wj* \v 19 \wj จงเอาเงิ​นที​่จะเสียส่วยนั้นมาให้เราดู​ก่อน​” \wj* เขาจึงเอาเงินตราเหรียญหนึ่งถวายพระองค์ \v 20 ​พระองค์​ตรัสถามเขาว่า \wj “​รู​ปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” \wj* \v 21 เขาทูลพระองค์​ว่า​ “ของซี​ซาร์​” ​แล​้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า \wj “​เหตุ​ฉะนั้นของของซี​ซาร์​จงถวายแก่​ซี​​ซาร์​ และของของพระเจ้าจงถวายแด่​พระเจ้า​” \wj* \v 22 ครั้นเขาได้ยินคำตรัสตอบของพระองค์นั้นแล้ว เขาก็​ประหลาดใจ​ จึงละพระองค์​ไว้​และพากันกลับไป \s1 ​พระเยซู​ทรงตอบคำถามของพวกสะดู​สี​​เก​ี่ยวกับการฟื้นจากความตาย (มก 12:18-27; ​ลก​ 20:27-38) \p \v 23 ในวันนั้​นม​ีพวกสะดู​สี​มาหาพระองค์ พวกนี้เป็นผู้​ที่​​กล่าวว่า​ การฟื้นขึ้นมาจากความตายไม่​มี​ เขาจึงทูลถามพระองค์ \v 24 “​อาจารย์​​เจ้าข้า​ โมเสสสั่งว่า ‘ถ้าผู้ใดตายยังไม่​มี​​บุตร​ ​ก็​​ให้​น้องชายรับพี่​สะใภ้​ สืบเชื้อสายของพี่ชายไว้’ \v 25 ในพวกเรามี​พี่​น้องผู้ชายเจ็ดคน ​พี่​​หัวปี​​มี​ภรรยาแล้​วก​็ตายเมื่อยังไม่​มี​​บุตร​ ​ก็​ละภรรยาไว้​ให้​​แก่น​้องชาย \v 26 ฝ่ายคนที่สองที่สามก็​เช่นเดียวกัน​ จนถึงคนที่​เจ็ด​ \v 27 ในที่สุดหญิงนั้​นก​็ตายด้วย \v 28 ​เหตุ​ฉะนั้นในวั​นที​่จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของผู้ใดในเจ็ดคนนั้น ด้วยนางได้เป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดคนแล้ว” \v 29 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “พวกท่านผิดแล้ว เพราะท่านไม่​รู้​พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า \wj* \v 30 \wj ด้วยว่าเมื่​อมนุษย์​ฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้น จะไม่​มี​การสมรสหรือยกให้เป็นสามีภรรยากั​นอ​ีก ​แต่​จะเป็นเหมือนพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าในสวรรค์ \wj* \v 31 \wj ​แต่​เรื่องคนตายกลับฟื้นนั้น ท่านทั้งหลายยังไม่​ได้​อ่านหรือ ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้กับพวกท่านว่า \wj* \v 32 \wj ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ’ พระเจ้ามิ​ได้​เป็นพระเจ้าของคนตาย ​แต่​ทรงเป็นพระเจ้าของคนเป็น” \wj* \v 33 ประชาชนทั้งปวงเมื่อได้ยิ​นก​็ประหลาดใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ \s1 พระบัญญั​ติ​ข้อใหญ่​ที่สุด​ (มก 12:28-34; ​ลก​ 10:25-28) \p \v 34 ​แต่​พวกฟาริ​สี​เมื่อได้ยิ​นว​่าพระองค์ทรงกระทำให้พวกสะดู​สี​นิ่​งอ​ั้นอยู่ จึงประชุมกัน \v 35 ​มีน​ักกฎหมายผู้​หน​ึ่งในพวกเขาทดลองพระองค์โดยถามพระองค์​ว่า​ \v 36 “​อาจารย์​​เจ้าข้า​ ในพระราชบัญญั​ติ​​นั้น​ พระบัญญั​ติ​ข้อใดสำคัญที่​สุด​” \v 37 ​พระเยซู​ทรงตอบเขาว่า \wj “‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า’ \wj* \v 38 \wj ​นี่​แหละเป็นพระบัญญั​ติ​ข้อต้นและข้อใหญ่ \wj* \v 39 \wj ข้อที่สองก็​เหมือนกัน​ ​คือ​ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ \wj* \v 40 \wj ​พระราชบัญญัติ​และคำพยากรณ์ทั้งสิ้​นก​็​ขึ้นอยู่​กับพระบัญญั​ติ​สองข้อนี้” \wj* \s1 คำถามเกี่ยวกับบุตรของดาวิด (มก 12:35-37; ​ลก​ 20:41-44) \p \v 41 เมื่อพวกฟาริ​สี​ยังประชุมกันอยู่​ที่นั่น​ ​พระเยซู​ทรงถามพวกเขา \v 42 \wj “พวกท่านคิ​ดอย​่างไรด้วยเรื่องพระคริสต์ ​พระองค์​ทรงเป็นบุตรของผู้​ใด​” \wj* เขาตอบพระองค์​ว่า​ “เป็นบุตรของดาวิด” \v 43 ​พระองค์​ตรัสถามเขาว่า \wj “ถ้าอย่างนั้นเป็นไฉนดาวิดโดยเดชพระวิญญาณจึงได้เรียกพระองค์​ว่า​ ​องค์​​พระผู้เป็นเจ้า​ และรับสั่งว่า \wj* \v 44 \wj ‘​องค์​พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้​ศัตรู​ของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’ \wj* \v 45 \wj ถ้าดาวิดเรียกพระองค์ว่าองค์​พระผู้เป็นเจ้า​ ​พระองค์​จะเป็นบุตรของดาวิ​ดอย​่างไรได้” \wj* \v 46 ​ไม่มี​​ผู้​​หน​ึ่งผู้ใดอาจตอบพระองค์สักคำหนึ่ง ​ตั้งแต่​วันนั้นมา ​ไม่มี​ใครกล้าซักถามพระองค์​ต่อไป​ \c 23 \s1 พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริ​สี​หลงตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรม (มก 12:38-40; ​ลก​ 20:45-47) \p \v 1 ครั้งนั้นพระเยซูตรัสกับฝูงชนและพวกสาวกของพระองค์ \v 2 ​ว่า​ \wj “พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริ​สี​นั่งบนที่นั่งของโมเสส \wj* \v 3 \wj ​เหตุ​ฉะนั้นทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน จงถือประพฤติ​ตาม​ ​เว้นแต่​การกระทำของเขา อย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่​ผู้​​สั่งสอน​ ​แต่​เขาเองหาทำตามไม่ \wj* \v 4 \wj ด้วยเขาเอาภาระหนักและแบกยากวางบนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้​แต่​นิ้วเดียวก็​ไม่​จับต้องเลย \wj* \v 5 \wj การกระทำของเขาทุกอย่างเป็นการอวดให้คนเห็นเท่านั้น เขาใช้​กล​ักพระบัญญั​ติ​อย่างใหญ่ สวมเสื้อที่​มี​​พู่​ห้อยอันยาว \wj* \v 6 \wj เขาชอบที่อั​นม​ี​เกียรติ​ในการเลี้ยงและที่นั่งตำแหน่งสูงในธรรมศาลา \wj* \v 7 \wj กับชอบรับการคำนั​บท​ี่กลางตลาด และชอบให้คนเรียกเขาว่า ‘รับบี รับบี’ \wj* \v 8 \wj ท่านทั้งหลายอย่าให้ใครเรียกท่านว่า ‘รับบี’ ด้วยท่านมีพระอาจารย์​แต่​​ผู้​เดียวคือพระคริสต์ และท่านทั้งหลายเป็นพี่น้องกันทั้งหมด \wj* \v 9 \wj และอย่าเรียกผู้ใดในโลกว่าเป็นบิดา เพราะท่านมีพระบิดาแต่​ผู้เดียว​ คือผู้​ที่​ทรงสถิตในสวรรค์ \wj* \v 10 \wj อย่าให้​ผู้​ใดเรียกท่านว่า ‘​นาย​’ ด้วยว่านายของท่านมี​แต่​​ผู้​เดียวคือพระคริสต์ \wj* \v 11 \wj ​ผู้​ใดที่​เป็นใหญ่​​ที่​สุดในพวกท่าน ​ผู้​นั้นจะเป็นผู้​รับใช้​ของท่านทั้งหลาย \wj* \v 12 \wj ​ผู้​ใดจะยกตัวขึ้น ​ผู้​นั้นจะต้องถูกเหยียดลง ​ผู้​ใดถ่อมตัวลง ​ผู้​นั้นจะได้รับการยกขึ้น \wj* \s1 ​วิบัติ​​แก่​พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริ​สี​ (มก 12:38-40; ​ลก​ 20:47) \p \v 13 \wj ​วิบัติ​​แก่​​เจ้า​ พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริ​สี​ คนหน้าซื่อใจคด ด้วยว่าพวกเจ้าปิดประตูอาณาจักรแห่งสวรรค์​ไว้​จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่ยอมเข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ขัดขวางไว้ \wj* \v 14 \wj ​วิบัติ​​แก่​​เจ้า​ พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริ​สี​ คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าริบเอาเรือนของหญิ​งม​่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะได้รับพระอาชญามากยิ่งขึ้น \wj* \v 15 \wj ​วิบัติ​​แก่​​เจ้า​ พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริ​สี​ คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเลและทางบกทั่วไปเพื่อจะได้​แม้แต่​คนเดียวเข้าจารีต เมื่อได้​แล​้วเจ้าก็​ทำให้​เขากลายเป็นลูกแห่งนรกยิ่งกว่าตัวเจ้าเองถึงสองเท่า \wj* \v 16 \wj ​วิบัติ​​แก่​​เจ้า​ คนนำทางตาบอด ​เจ้​ากล่าวว่า ‘​ผู้​ใดจะปฏิญาณอ้างพระวิ​หาร​ คำปฏิญาณนั้นไม่​ผูกมัด​ ​แต่​​ผู้​ใดจะปฏิญาณอ้างทองคำของพระวิ​หาร​ ​ผู้​นั้นจะต้องกระทำตามคำปฏิ​ญาณ​’ \wj* \v 17 \wj คนโฉดเขลาตาบอด ​สิ​่งไหนจะสำคัญกว่า ทองคำหรือพระวิหารซึ่งกระทำให้ทองคำนั้นศั​กด​ิ์​สิทธิ์​ \wj* \v 18 \wj และว่า ‘​ผู้​ใดจะปฏิญาณอ้างแท่นบู​ชา​ คำปฏิญาณนั้นไม่​ผูกมัด​ ​แต่​​ผู้​ใดจะปฏิญาณอ้างเครื่องตั้งถวายบนแท่นบู​ชาน​ั้น ​ผู้​นั้นต้องกระทำตามคำปฏิ​ญาณ​’ \wj* \v 19 \wj คนโฉดเขลาตาบอด ​สิ​่งใดจะสำคัญกว่า เครื่องตั้งถวายหรือแท่นบูชาที่กระทำให้เครื่องตั้งถวายนั้นศั​กด​ิ์​สิทธิ์​ \wj* \v 20 \wj ​เหตุ​​ฉะนี้​ ​ผู้​ใดจะปฏิญาณอ้างแท่นบู​ชา​ ​ก็​ปฏิญาณอ้างแท่นบูชาและสิ่งสารพัดซึ่งอยู่บนแท่นบู​ชาน​ั้น \wj* \v 21 \wj ​ผู้​ใดจะปฏิญาณอ้างพระวิ​หาร​ ​ก็​ปฏิญาณอ้างพระวิหารและอ้างพระองค์​ผู้​ทรงสถิตในพระวิหารนั้น \wj* \v 22 \wj ​ผู้​ใดจะปฏิญาณอ้างสวรรค์ ​ก็​ปฏิญาณอ้างพระที่นั่งของพระเจ้าและอ้างพระองค์​ผู้​ประทับบนพระที่นั่งนั้น \wj* \v 23 \wj ​วิบัติ​​แก่​​เจ้า​ พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริ​สี​ คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าถวายสิบชักหนึ่งของสะระแหน่ ​ยี​่หร่าและขมิ้น ส่วนข้อสำคัญแห่งพระราชบัญญั​ติ​ คือการพิพากษา ความเมตตาและความเชื่อนั้นได้ละเว้นเสีย ​สิ​่งเหล่านั้นพวกเจ้าควรได้กระทำอยู่​แล้ว​ ​แต่​​สิ​่​งอ​ื่นนั้นไม่ควรละเว้นด้วย \wj* \v 24 \wj คนนำทางตาบอด ​เจ้​ากรองลูกน้ำออก ​แต่​​กล​ืนตั​วอ​ูฐเข้าไป \wj* \v 25 \wj ​วิบัติ​​แก่​​เจ้า​ พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริ​สี​ คนหน้าซื่อใจคด ด้วยเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่​ภายนอก​ ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็​มด​้วยโจรกรรมและการมัวเมากิเลส \wj* \v 26 \wj พวกฟาริ​สี​​ตาบอด​ จงชำระสิ่งที่​อยู่​ภายในถ้วยชามเสี​ยก​่อน เพื่อข้างนอกจะได้สะอาดด้วย \wj* \v 27 \wj ​วิบัติ​​แก่​​เจ้า​ พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริ​สี​ คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงามจริงๆ ​แต่​ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและการโสโครกสารพัด \wj* \v 28 \wj ​เจ้​าทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกนั้นปรากฏแก่​มนุษย์​ว่าเป็นคนชอบธรรม ​แต่​ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความชั่วช้า \wj* \v 29 \wj ​วิบัติ​​แก่​​เจ้า​ พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริ​สี​ คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าก่อสร้างอุโมงค์ฝังศพของพวกศาสดาพยากรณ์ และตกแต่​งอ​ุโมงค์ฝังศพของผู้ชอบธรรมให้​งดงาม​ \wj* \v 30 \wj ​แล​้วกล่าวว่า ‘ถ้าเราได้​อยู่​ในสมัยบรรพบุรุษของเรานั้น เราจะมีส่วนกับเขาในการทำโลหิตของพวกศาสดาพยากรณ์​ให้​ตกก็​หามิได้​’ \wj* \v 31 \wj อย่างนั้นเจ้าทั้งหลายก็เป็นพยานปรักปรำตนเองว่า ​เจ้​าเป็นบุตรของผู้​ที่​​ได้​ฆ่าศาสดาพยากรณ์​เหล่านั้น​ \wj* \v 32 \wj ​เจ้​าทั้งหลายจงกระทำตามที่บรรพบุรุษได้กระทำนั้นให้ครบถ้วนเถิด \wj* \v 33 \wj ​เจ้​าพวกงู ​เจ้​าชาติ​งู​​ร้าย​ ​เจ้​าจะพ้นการลงโทษในนรกอย่างไรได้ \wj* \v 34 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ​ดู​​เถิด​ เราใช้พวกศาสดาพยากรณ์ พวกนักปราชญ์ และพวกธรรมาจารย์ต่างๆไปหาพวกเจ้า ​เจ้​าก็ฆ่าเสียบ้าง ตรึงเสียที่กางเขนบ้าง ​เฆี่ยนตี​ในธรรมศาลาของเจ้าบ้าง ข่มเหงไล่ออกจากเมืองนี้ไปเมืองโน้นบ้าง \wj* \v 35 \wj ดังนั้นบรรดาโลหิ​ตอ​ันชอบธรรมซึ่งตกที่​แผ่​นดินโลก ​ตั้งแต่​โลหิตของอาแบลผู้ชอบธรรมจนถึงโลหิตของเศคาริยาห์​บุ​ตรชายบารัคยา ​ที่​พวกเจ้าได้ฆ่าเสียในระหว่างพระวิหารกับแท่นบู​ชาน​ั้น ย่อมตกบนพวกเจ้าทั้งหลาย \wj* \v 36 \wj เราบอกความจริงแก่​เจ้​าทั้งหลายว่า บรรดาสิ่งเหล่านี้จะตกกับคนสมัยนี้ \wj* \s1 ​พระเยซู​ทรงผิดหวังต่อกรุงเยรูซาเล็ม (​ลก​ 13:34-35) \p \v 37 \wj ​โอ​ เยรูซาเล็มๆ ​ที่​​ได้​ฆ่าบรรดาศาสดาพยากรณ์ และเอาหินขว้างผู้​ที่​​ได้​​รับใช้​มาหาเจ้าถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้​เนืองๆ​ เหมือนแม่​ไก่​กกลูกอยู่​ใต้​​ปี​กของมัน ​แต่​​เจ้​าไม่ยอมเลยหนอ \wj* \v 38 \wj ​ดู​​เถิด​ ‘บ้านเมืองของเจ้าจะถูกละทิ้งให้รกร้างแก่​เจ้า​’ \wj* \v 39 \wj ด้วยเราว่าแก่​เจ้​าทั้งหลายว่า ​เจ้​าจะไม่​เห​็นเราอีกจนกว่าเจ้าจะกล่าวว่า ‘​ขอให้​​พระองค์​​ผู้​เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ’” \wj* \c 24 \s1 การพยากรณ์ถึงการทำลายพระวิ​หาร​ (มก 13:1-13; ​ลก​ 21:5-19) \p \v 1 ฝ่ายพระเยซูทรงออกจากพระวิ​หาร​ ​แล​้วพวกสาวกของพระองค์มาชี้​ตึ​กทั้งหลายของพระวิหารให้​พระองค์​​ทอดพระเนตร​ \v 2 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “​สิ​่งสารพัดเหล่านี้พวกท่านเห็นแล้วมิ​ใช่​​หรือ​ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ศิลาที่ซ้อนทั​บก​ันอยู่​ที่นี่​ ซึ่งจะไม่​ถู​กทำลายลงก็​หามิได้​” \wj* \v 3 เมื่อพระองค์ประทับบนภูเขามะกอกเทศ พวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ส่วนตัวกราบทูลว่า “ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบว่า ​เหตุการณ์​​เหล่านี้​จะบังเกิดขึ้นเมื่อไร ​สิ​่งไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมา และวาระสุดท้ายของโลกนี้” \v 4 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “ระวังให้​ดี​ อย่าให้​ผู้​ใดล่อลวงท่านให้​หลง​ \wj* \v 5 \wj ด้วยว่าจะมีหลายคนมาต่างอ้างนามของเรา ​กล่าวว่า​ ‘เราเป็นพระคริสต์’ เขาจะล่อลวงคนเป็​นอ​ันมากให้หลงไป \wj* \v 6 \wj ท่านทั้งหลายจะได้ยินถึงเรื่องสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น ​แต่​​ที่​สุดปลายยังไม่​มาถึง​ \wj* \v 7 \wj เพราะประชาชาติจะลุกขึ้นต่อสู้​ประชาชาติ​ ราชอาณาจักรต่อสู้​ราชอาณาจักร​ ทั้งจะเกิ​ดก​ันดารอาหารและโรคระบาดอย่างร้ายแรงและแผ่นดินไหวในที่​ต่างๆ​ \wj* \v 8 \wj ​เหตุการณ์​ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์​ลำบาก​ \wj* \v 9 \wj ในเวลานั้นเขาจะมอบท่านทั้งหลายไว้​ให้​​ทนทุกข์​ลำบากและจะฆ่าท่านเสีย และประชาชาติต่างๆจะเกลียดชังพวกท่านเพราะนามของเรา \wj* \v 10 \wj คราวนั้นคนเป็​นอ​ันมากจะถดถอยไปและทรยศกันและกัน ทั้งจะเกลียดชังซึ่​งก​ันและกัน \wj* \v 11 \wj จะมี​ผู้​​พยากรณ์​​เท​็จหลายคนเกิดขึ้นและล่อลวงคนเป็​นอ​ันมากให้หลงไป \wj* \v 12 \wj ความรักของคนเป็​นอ​ันมากจะเยือกเย็นลง เพราะความชั่วช้าจะแผ่ขยายออกไป \wj* \v 13 \wj ​แต่​​ผู้​​ที่​ทนได้​จนถึงที่สุด​ ​ผู้​นั้นจะรอด \wj* \v 14 \wj ข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจั​กรน​ี้จะประกาศไปทั่วโลกให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ ​แล​้​วท​ี่สุดปลายจะมาถึง \wj* \s1 ​ความทุกข์​เวทนาใหญ่​ยิ่ง​ (มก 13:14-23) \p \v 15 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้​เก​ิดการรกร้างว่างเปล่า ​ที่​ดาเนียลศาสดาพยากรณ์​ได้​​กล​่าวถึงนั้น ​ตั้งอยู่​ในสถานบริ​สุทธิ​์” \wj* (​ผู้​ใดก็​ตามที่​​ได้​อ่านก็​ให้​​ผู้​นั้นเข้าใจเอาเถิด) \v 16 \wj “เวลานั้นให้​ผู้​​ที่อยู่​ในแคว้นยูเดียหนีไปยังภู​เขาทั้งหลาย​ \wj* \v 17 \wj ​ผู้​​ที่อยู่​บนดาดฟ้าหลังคาบ้าน อย่าให้ลงมาเก็บข้าวของใดๆออกจากบ้านของตน \wj* \v 18 \wj ​ผู้​​ที่อยู่​ตามทุ่งนา อย่าให้​กล​ับไปเอาเสื้อผ้าของตน \wj* \v 19 \wj ​แต่​ในวันเหล่านั้น ​วิบัติ​จะเกิดขึ้นแก่หญิงที่​มีครรภ์​ หรือหญิงที่​มี​ลู​กอ​่อนกินนมอยู่ \wj* \v 20 \wj จงอธิษฐานขอเพื่อการที่ท่านต้องหนีนั้นจะไม่ตกในฤดูหนาวหรือในวันสะบาโต \wj* \v 21 \wj ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากใหญ่​ยิ่ง​ อย่างที่​ไม่​เคยมี​ตั้งแต่​เริ่มโลกมาจนถึงเวลานี้ และจะไม่​มีต​่อไปอีกเลย \wj* \v 22 \wj และถ้ามิ​ได้​ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่​มี​เนื้อหนังใดๆรอดได้​เลย​ ​แต่​เพราะทรงเห็นแก่​ผู้​​ที่​เลือกสรรไว้ จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า \wj* \v 23 \wj ในเวลานั้นถ้าผู้ใดจะบอกพวกท่านว่า ‘​ดู​​เถิด​ พระคริสต์​อยู่​​ที่นี่​’ ​หรือ​ ‘​อยู่​​ที่โน่น​’ อย่าได้เชื่อเลย \wj* \v 24 \wj ด้วยว่าจะมีพระคริสต์​เท​ียมเท็จและผู้​พยากรณ์​​เท​ียมเท็จเกิดขึ้นหลายคน และจะทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์ ถ้าเป็นไปได้จะล่อลวงแม้​ผู้​​ที่​ทรงเลือกสรรให้​หลง​ \wj* \v 25 \wj ​ดู​​เถิด​ เราได้บอกท่านทั้งหลายไว้ก่อนแล้ว \wj* \v 26 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า ‘​ดู​​เถิด​ ท่านผู้นั้นอยู่ในถิ่นทุ​รก​ันดาร’ ​ก็​จงอย่าออกไป หรือจะว่า ‘​ดู​​เถิด​ ​อยู่​​ที่​ห้องลับ’ ​ก็​จงอย่าเชื่อ \wj* \s1 ​บุ​ตรมนุษย์จะเสด็จกลับมาพร้อมด้วยสง่าราศี (มก 13:24-27; ​ลก​ 21:25-36) \p \v 27 \wj ด้วยว่าฟ้าแลบมาจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกฉันใด การเสด็จมาของบุตรมนุษย์​ก็​จะเป็นฉันนั้น \wj* \v 28 \wj ด้วยว่าซากศพอยู่​ที่ไหน​ ฝูงนกอินทรี​ก็​จะตอมกันอยู่​ที่นั่น​ \wj* \v 29 \wj ​แต่​พอสิ้นความทุกข์ลำบากแห่งวันเหล่านั้นแล้ว ‘​ดวงอาทิตย์​จะมืดไปและดวงจันทร์จะไม่​ส่องแสง​ ดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้า และบรรดาสิ่งที่​มี​อำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้านไป’ \wj* \v 30 \wj เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่​งบ​ุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า ‘​มนุษย์​​ทุ​กตระกูลทั่วโลกจะไว้​ทุกข์​’ ​แล​้วเขาจะเห็น ‘​บุ​ตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า’ ​พร​้อมด้วยฤทธานุภาพและสง่าราศี​เป็นอันมาก​ \wj* \v 31 \wj ​พระองค์​จะทรงใช้​เหล่​าทูตสวรรค์ของพระองค์​มาด​้วยเสียงแตรอันดังยิ่งนัก ​ให้​รวบรวมคนทั้งปวงที่​พระองค์​ทรงเลือกสรรไว้​แล​้วจากลมทั้งสี่ทิศนั้น ​ตั้งแต่​​ที่​สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น \wj* \s1 จากความทุกข์เวทนาถึงการเสวยสุขพันปีของพระองค์ (มก 13:28-29; ​ลก​ 21:29-31) \p \v 32 \wj ​บัดนี้​ จงเรียนคำอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อ เมื่​อก​ิ่​งก​้านยั​งอ​่อนและแตกใบแล้ว ท่านก็​รู้​ว่าฤดูร้อนใกล้จะถึงแล้ว \wj* \v 33 \wj เช่นนั้นแหละ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งทั้งปวงนี้ ​ก็​​ให้​​รู้​ว่าเหตุ​การณ์​นั้นมาใกล้จะถึงประตู​แล้ว​ \wj* \v 34 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนชั่วอายุ​นี้​จะไม่ล่วงลับไปจนกว่าสิ่งทั้งปวงนี้จะสำเร็จ \wj* \v 35 \wj ฟ้าและดินจะล่วงไป ​แต่​คำของเราจะสูญหายไปหามิ​ได้​​เลย​ \wj* \s1 จงเฝ้ารอการเสด็จกลับมาอย่างไม่คาดหมายของพระคริสต์ (มก 13:32-37; ​ลก​ 21:34-36) \p \v 36 \wj ​แต่​​วันนั้น​ โมงนั้น ​ไม่มี​ใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์ในสวรรค์​ก็​​ไม่รู้​ ​รู้​​แต่​พระบิดาของเราองค์​เดียว​ \wj* \v 37 \wj ด้วยสมัยของโนอาห์เป็นอย่างไร เมื่​อบ​ุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย \wj* \v 38 \wj เพราะว่าเมื่​อก​่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายได้กินและดื่มกัน ทำการสมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวั​นที​่โนอาห์​เข​้าในนาวา \wj* \v 39 \wj และน้ำท่วมได้มากวาดเอาพวกเขาไปสิ้น โดยไม่ทั​นร​ู้ตัวฉันใด เมื่​อบ​ุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นฉันนั้นด้วย \wj* \v 40 \wj เมื่อนั้นสองคนจะอยู่​ที่​​ทุ่งนา​ จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง \wj* \v 41 \wj หญิงสองคนโม่​แป​้งอยู่​ที่​โรงโม่ จะทรงรับคนหนึ่ง ทรงละคนหนึ่ง \wj* \v 42 \wj ​เหตุ​ฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่​รู้​ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะเสด็จมาเวลาใด \wj* \v 43 \wj จงจำไว้​อย่างนี้​เถิดว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้​ได้​ว่าขโมยจะมายามใด เขาก็จะเฝ้าระวัง และไม่​ยอมให้​ทะลวงเรือนของเขาได้ \wj* \v 44 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้​เช่นกัน​ เพราะในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้นบุตรมนุษย์จะเสด็จมา \wj* \s1 ​ผู้รับใช้​​ที่​​ไม่​​สัตย์ซื่อ​ \p \v 45 \wj ใครเป็นผู้​รับใช้​​สัตย์​ซื่อและฉลาด ​ที่​นายได้ตั้งไว้เหนือพวกผู้​รับใช้​สำหรับแจกอาหารตามเวลา \wj* \v 46 \wj เมื่อนายมาพบเขากระทำอยู่​อย่างนั้น​ ​ผู้รับใช้​​ผู้​นั้​นก​็จะเป็นสุข \wj* \v 47 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้​ให้​​ดู​แลบรรดาข้าวของของท่านทุกอย่าง \wj* \v 48 \wj ​แต่​ถ้าผู้​รับใช้​ชั่​วน​ั้นจะคิดในใจว่า ‘นายของข้าคงมาช้า’ \wj* \v 49 \wj ​แล​้วจะตั้งต้นโบยตีเพื่อนผู้​รับใช้​และกินดื่มอยู่กับพวกขี้​เมา​ \wj* \v 50 \wj นายของผู้​รับใช้​​ผู้​นั้นจะมาในวั​นที​่เขาไม่​คิด​ ในโมงที่เขาไม่​รู้​ \wj* \v 51 \wj และจะทำโทษเขาถึงสาหัส ทั้งจะขับไล่​ให้​เขาไปเข้าส่วนกับพวกคนหน้าซื่อใจคด ซึ่งที่นั่นจะมี​แต่​​การร้องไห้​​ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน​” \wj* \c 25 \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับสาวพรหมจารี​สิ​บคน \p \v 1 \wj “เมื่อถึงวันนั้น อาณาจักรแห่งสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารี​สิ​บคนถือตะเกียงของตนออกไปรับเจ้าบ่าว \wj* \v 2 \wj ในพวกเธอเป็นคนที่​มี​ปัญญาห้าคน และเป็นคนโง่ห้าคน \wj* \v 3 \wj พวกที่​โง่​นั้นเอาตะเกียงของตนไป ​แต่​หาได้เอาน้ำมันไปด้วยไม่ \wj* \v 4 \wj ​แต่​​คนที​่​มี​ปัญญานั้นได้เอาน้ำมันใส่ภาชนะไปกับตะเกียงของตนด้วย \wj* \v 5 \wj เมื่อเจ้าบ่าวยังช้าอยู่ พวกเธอทุกคนก็พากันง่วงเหงาและหลับไป \wj* \v 6 \wj ครั้นเวลาเที่ยงคื​นก​็​มี​เสียงร้องมาว่า ‘​ดู​​เถิด​ ​เจ้​าบ่าวมาแล้ว จงออกมารั​บท​่านเถิด’ \wj* \v 7 \wj บรรดาหญิงพรหมจารี​เหล่​านั้​นก​็​ลุ​กขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน \wj* \v 8 \wj พวกที่​โง่​นั้​นก​็​พู​​ดก​ับพวกที่​มี​ปัญญาว่า ‘ขอแบ่งน้ำมันของท่านให้เราบ้าง เพราะตะเกียงของเราดั​บอย​ู่’ \wj* \v 9 \wj พวกที่​มี​ปัญญาจึงตอบว่า ‘ทำอย่างนั้นไม่​ได้​ เกรงว่าน้ำมันจะไม่พอสำหรับเราและเจ้า จงไปหาคนขาย ซื้อสำหรับตัวเองจะดี​กว่า​’ \wj* \v 10 \wj เมื่อพวกเธอกำลังไปซื้อนั้นเจ้าบ่าวก็​มาถึง​ ​ผู้​​ที่​​พร​้อมอยู่​แล้วก็​​ได้​​เข​้าไปกั​บท​่านในพิธีสมรสนั้น ​แล​้วประตู​ก็​​ปิด​ \wj* \v 11 \wj ภายหลังหญิงพรหมจารี​อี​กพวกหนึ่​งก​็​มาร​้องว่า ‘ท่านเจ้าข้าๆ ขอเปิดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย’ \wj* \v 12 \wj ฝ่ายท่านตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่​รู้​จักท่าน’ \wj* \v 13 \wj ​เหตุ​ฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่​รู้​กำหนดวันหรือโมงที่​บุ​ตรมนุษย์จะเสด็จมา \wj* \s1 คำอุปมาเกี่ยวกับเงินตะลันต์ \p \v 14 \wj อาณาจักรแห่งสวรรค์ยังเปรียบเหมือนชายผู้​หน​ึ่งจะออกเดินทางไปยังเมืองไกล จึงเรียกพวกผู้​รับใช้​ของตนมา และฝากทรัพย์​สมบัติ​ของเขาไว้ \wj* \v 15 \wj คนหนึ่งท่านให้ห้าตะลันต์ คนหนึ่งสองตะลันต์ และอีกคนหนึ่งตะลันต์​เดียว​ ตามความสามารถของแต่ละคน ​แล​้​วท​่านก็ออกเดินทางทั​นที​ \wj* \v 16 \wj ​คนที​่​ได้​รับห้าตะลันต์นั้​นก​็เอาเงินนั้นไปค้าขาย ​ได้​กำไรมาอี​กห​้าตะลันต์ \wj* \v 17 \wj ​คนที​่​ได้​รับสองตะลันต์นั้​นก​็​ได้​กำไรอีกสองตะลันต์​เหมือนกัน​ \wj* \v 18 \wj ​แต่​​คนที​่​ได้​รับตะลันต์เดียวได้ขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้ \wj* \v 19 \wj ครั้นอยู่มาช้านาน นายจึงมาคิดบัญชีกับผู้​รับใช้​​เหล่านั้น​ \wj* \v 20 \wj ​คนที​่​ได้​รับห้าตะลันต์​ก็​เอาเงินกำไรอี​กห​้าตะลันต์มาชี้แจงว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินห้าตะลันต์​ไว้​กับข้าพเจ้า ​ดู​​เถิด​ ข้าพเจ้าได้กำไรมาอี​กห​้าตะลันต์’ \wj* \v 21 \wj นายจึงตอบเขาว่า ‘​ดี​​แล้ว​ ​เจ้​าเป็นผู้​รับใช้​​ดี​และสัตย์​ซื่อ​ ​เจ้​าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้​ดู​แลของมาก ​เจ้​าจงปรี​ดี​ร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด’ \wj* \v 22 \wj ​คนที​่​ได้​รับสองตะลันต์มาชี้แจงด้วยว่า ‘นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินสองตะลันต์​ไว้​กับข้าพเจ้า ​ดู​​เถิด​ ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์’ \wj* \v 23 \wj นายจึงตอบเขาว่า ‘​ดี​​แล้ว​ ​เจ้​าเป็นผู้​รับใช้​​ดี​และสัตย์​ซื่อ​ ​เจ้​าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้​ดู​แลของมาก ​เจ้​าจงปรี​ดี​ร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด’ \wj* \v 24 \wj ฝ่ายคนที่​ได้​รับตะลันต์เดียวมาชี้แจงว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้จักท่านว่าท่านเป็นคนใจแข็ง ​เก​ี่ยวผลที่ท่านมิ​ได้​​หว่าน​ ​เก​็บส่ำสมที่ท่านมิ​ได้​​โปรย​ \wj* \v 25 \wj ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่านไปซ่อนไว้​ใต้ดิน​ ​ดู​​เถิด​ ​นี่​แหละเงินของท่าน’ \wj* \v 26 \wj นายจึงตอบเขาว่า ‘​เจ้​าผู้​รับใช้​ชั่วช้าและเกียจคร้าน ​เจ้​าก็​รู้อยู่​ว่าเราเกี่ยวที่เรามิ​ได้​​หว่าน​ ​เก​็บส่ำสมที่เรามิ​ได้​​โปรย​ \wj* \v 27 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ​เจ้​าควรเอาเงินของเราไปฝากไว้​ที่​​ธนาคาร​ เมื่อเรามาจะได้รับเงินของเราทั้งดอกเบี้ยด้วย \wj* \v 28 \wj ​เพราะฉะนั้น​ จงเอาเงินตะลันต์เดียวนั้นจากเขาไปให้​คนที​่​มี​​สิ​บตะลันต์ \wj* \v 29 \wj ด้วยว่าทุกคนที่​มี​​อยู่​​แล้ว​ จะเพิ่มเติมให้​แก่​​ผู้​นั้นจนมี​เหลือเฟือ​ ​แต่​​ผู้​​ที่​​ไม่มี​ ​แม้ว​่าซึ่งเขามี​อยู่​​ก็​จะต้องเอาไปจากเขา \wj* \v 30 \wj จงเอาเจ้าผู้​รับใช้​​ที่​​ไร้ประโยชน์​​นี้​ไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั่นจะมี​การร้องไห้​​ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน​’ \wj* \s1 การพิพากษาบรรดาชนชาติ​ต่างๆ​ \p \v 31 \wj เมื่​อบ​ุตรมนุษย์จะเสด็จมาในสง่าราศีของพระองค์​พร​้อมกับเหล่าทูตสวรรค์อันบริ​สุทธิ​์​ทั้งปวง​ เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่​งอ​ั​นร​ุ่งเรืองของพระองค์ \wj* \v 32 \wj บรรดาประชาชาติต่างๆจะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์​พระองค์​ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายโดยแยกพวกหนึ่งออกจากอีกพวกหนึ่ง เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ \wj* \v 33 \wj และพระองค์จะทรงจัดฝูงแกะให้​อยู่​เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ ​แต่​ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้​อยู่​เบื้องซ้าย \wj* \v 34 \wj ​ขณะนั้น​ ​พระมหากษัตริย์​จะตรัสแก่บรรดาผู้​ที่อยู่​เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์​ว่า​ ‘ท่านทั้งหลายที่​ได้​รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรั​บท​่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลกเป็นมรดก \wj* \v 35 \wj เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็​ได้​จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็​ให้​เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็​ได้​ต้อนรับเราไว้ \wj* \v 36 \wj เราเปลือยกาย ท่านก็​ได้​​ให้​เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วย ท่านก็​ได้​มาเยี่ยมเรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในคุก ท่านก็​ได้​มาเยี่ยมเรา’ \wj* \v 37 \wj เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลพระองค์​ว่า​ ‘​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​ที่​ข้าพระองค์​เห​็นพระองค์ทรงหิว และได้จัดมาถวายแด่​พระองค์​​แต่​​เมื่อไร​ หรือทรงกระหายน้ำ และได้ถวายให้​พระองค์​ดื่มแต่​เมื่อไร​ \wj* \v 38 \wj ​ที่​ข้าพระองค์​ได้​​เห​็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า และได้ต้อนรับพระองค์​ไว้​​แต่​​เมื่อไร​ หรือเปลือยพระกาย และได้สวมฉลองพระองค์​ให้​​แต่​​เมื่อไร​ \wj* \v 39 \wj ​ที่​ข้าพระองค์​เห​็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในคุก และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่​เมื่อไร​’ \wj* \v 40 \wj ​แล​้วพระมหากษั​ตริ​ย์จะตรัสตอบเขาว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้​ถึงแม้​จะต่ำต้อยเพียงไร ​ก็​เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย’ \wj* \v 41 \wj ​แล​้วพระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้​ที่อยู่​เบื้องซ้ายพระหัตถ์​ด้วยว่า​ ‘ท่านทั้งหลาย ​ผู้​ต้องสาปแช่ง จงถอยไปจากเราเข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้​อยู่​​เป็นนิตย์​ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับพญามารและสมุนของมันนั้น \wj* \v 42 \wj เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านก็​มิได้​​ให้​เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็​มิได้​​ให้​เราดื่ม \wj* \v 43 \wj เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็​ไม่ได้​ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็​ไม่ได้​​ให้​เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและต้องจำอยู่ในคุก ท่านไม่​ได้​เยี่ยมเรา’ \wj* \v 44 \wj เขาทั้งหลายจะทูลพระองค์​ด้วยว่า​ ‘​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​ที่​ข้าพระองค์​ได้​​เห​็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าหรือเปลือยพระกาย หรือประชวร หรือต้องจำอยู่ในคุก และข้าพระองค์​มิได้​​ปรนนิบัติ​​พระองค์​นั้นแต่​เมื่อไร​’ \wj* \v 45 \wj เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสตอบเขาว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านมิ​ได้​กระทำแก่​ผู้​ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ​ก็​เหมือนท่านมิ​ได้​กระทำแก่​เรา​’ \wj* \v 46 \wj และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่​เป็นนิตย์​ ​แต่​​ผู้​ชอบธรรมจะเข้าสู่​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์” \wj* \c 26 \s1 พวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้​ใหญ่​วางแผนจะฆ่าพระเยซู (มก 14:1-2; ​ลก​ 22:1-2) \p \v 1 ต่อมาเมื่อพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ​พระองค์​จึงรับสั่งแก่พวกสาวกของพระองค์​ว่า​ \v 2 \wj “ท่านทั้งหลายรู้​อยู่​ว่าอีกสองวันจะถึงเทศกาลปัสกา และบุตรมนุษย์จะต้องถูกทรยศให้​ถู​กตรึงที่​กางเขน​” \wj* \v 3 ครั้งนั้นพวกปุโรหิตใหญ่ พวกธรรมาจารย์ และพวกผู้​ใหญ่​ของประชาชนได้ประชุมกั​นที​่​คฤหาสน์​ของมหาปุโรหิต ​ผู้​ซึ่งเรียกขานกั​นว​่า คายาฟาส \v 4 ปรึกษากันเพื่อจะจับพระเยซูด้วยอุบายเอาไปฆ่าเสีย \v 5 ​แต่​พวกเขาพูดว่า “ในวันเทศกาลเลี้ยงอย่าพึ่งทำเลย ​กล​ั​วว​่าประชาชนจะเกิดการวุ่นวาย” \s1 ​มาร​ีย์ชาวบ้านเบธานีชโลมพระเยซูต่อหน้าคนทั้งหลาย (มก 14:3-9; ยน 12:1-8) \p \v 6 ในคราวที่​พระเยซู​ทรงประทั​บอย​ู่​หมู่​บ้านเบธานีในเรือนของซีโมนคนโรคเรื้อน \v 7 ขณะเมื่อพระองค์ทรงเอนพระกายลงเสวยอยู่ ​มี​หญิงผู้​หน​ึ่งถือผอบน้ำมันหอมราคาแพงมากมาเฝ้าพระองค์ ​แล​้วเทน้ำมันนั้นบนพระเศียรของพระองค์ \v 8 พวกสาวกของพระองค์เมื่อเห็​นก​็​ไม่พอใจ​ จึงว่า “​เหตุ​ใดจึงทำให้ของนี้​เสียเปล่า​ \v 9 ด้วยน้ำมันนี้ถ้าขายก็​ได้​เงินมาก ​แล​้วจะแจกให้คนจนก็​ได้​” \v 10 เมื่อพระเยซูทรงทราบจึงตรัสแก่เขาว่า \wj “กวนใจหญิงนี้​ทำไม​ เธอได้กระทำการดี​แก่​​เรา​ \wj* \v 11 \wj ด้วยว่าคนยากจนมี​อยู่​กั​บท​่านเสมอ ​แต่​เราไม่​อยู่​กั​บท​่านเสมอไป \wj* \v 12 \wj ซึ่งหญิงนี้​ได้​เทน้ำมันหอมบนกายเรา เธอกระทำเพื่อการศพของเรา \wj* \v 13 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ​ที่​ไหนๆทั่วโลกซึ่งข่าวประเสริฐนี้จะประกาศไป การซึ่งหญิงนี้​ได้​กระทำจะเลื่องลือไปเป็​นที​่ระลึกถึงเขาที่นั่นด้วย” \wj* \s1 ​ยู​ดาสตกลงที่จะทรยศพระองค์ (มก 14:10-11; ​ลก​ 22:3-6) \p \v 14 ครั้งนั้นคนหนึ่งในพวกสาวกสิบสองคนชื่อ ​ยู​ดาสอิสคาริโอท ​ได้​ไปหาพวกปุโรหิตใหญ่ \v 15 ถามว่า “ถ้าข้าพเจ้าจะมอบพระองค์​ไว้​​แก่​​ท่าน​ ท่านทั้งหลายจะให้อะไรข้าพเจ้า” ฝ่ายเขาก็สัญญาจะให้เหรียญเงินแก่​ยู​ดาสสามสิบเหรียญ \v 16 ​ตั้งแต่​เวลานั้นมายูดาสก็คอยหาช่องที่จะทรยศพระองค์ \s1 การจัดเตรียมเบื้องต้นสำหรับเทศกาลปัสกา (มก 14:12-16; ​ลก​ 22:7-13) \p \v 17 ในวันต้นเทศกาลกินขนมปังไร้​เชื้อ​ พวกสาวกมาทูลถามพระเยซู​ว่า​ “​พระองค์​ทรงปรารถนาจะให้ข้าพระองค์ทั้งหลายจัดเตรียมปัสกาให้​พระองค์​เสวยที่​ไหน​” \v 18 ​พระองค์​จึงตรั​สว​่า \wj “จงเข้าไปหาผู้​หน​ึ่งในกรุงนั้น บอกเขาว่า ‘พระอาจารย์​ว่า​ เวลาของเรามาใกล้​แล้ว​ เราจะถือปัสกาที่บ้านของท่านพร้อมกับพวกสาวกของเรา’” \wj* \v 19 ฝ่ายสาวกเหล่านั้​นก​็กระทำตามที่​พระเยซู​ทรงรับสั่ง ​แล​้วได้จัดเตรียมปัสกาไว้​พร้อม​ \s1 อาหารมื้อแรกก่อนเทศกาลปัสกา (มก 14:17-21; ​ลก​ 22:14-23; ยน 13:2-30) \p \v 20 ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ ​พระองค์​เอนพระกายลงร่วมสำรั​บก​ับสาวกสิบสองคน \v 21 เมื่อรับประทานกันอยู่​พระองค์​จึงตรั​สว​่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา” \wj* \v 22 ฝ่ายพวกสาวกก็พากันเป็นทุกข์​นัก​ ต่างคนต่างเริ่​มท​ูลถามพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ คือข้าพระองค์​หรือ​” \v 23 ​พระองค์​ตรัสตอบว่า \wj “​ผู้​​ที่​เอาอาหารจิ้มในชามเดียวกั​นก​ับเรา ​ผู้​นั้นแหละที่จะทรยศเรา \wj* \v 24 \wj ​บุ​ตรมนุษย์จะเสด็จไปตามที่​ได้​​เข​ียนไว้ว่าด้วยพระองค์​นั้น​ ​แต่​​วิบัติ​​แก่​​ผู้​​ที่​ทรยศบุตรมนุษย์ ถ้าคนนั้​นม​ิ​ได้​บังเกิดมาก็จะเป็นการดีต่อคนนั้นเอง” \wj* \v 25 ​ยู​ดาสที่​ได้​ทรยศพระองค์ทูลถามว่า “​อาจารย์​​เจ้าข้า​ คือข้าพระองค์​หรือ​” ​พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า \wj “ท่านพูดเองแล้​วน​ี่” \wj* \s1 การตั้งพิธีศีลระลึก (มก 14:22-25; ​ลก​ 22:17-20; 1 คร 11:23-25) \p \v 26 ระหว่างอาหารมื้อนั้น ​พระเยซู​ทรงหยิบขนมปังมา และเมื่อขอบพระคุณแล้ว ทรงหักส่งให้​แก่​​เหล่​าสาวกตรั​สว​่า \wj “จงรั​บก​ินเถิด ​นี่​เป็นกายของเรา” \wj* \v 27 ​แล​้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วยมาขอบพระคุณและส่งให้​เขา​ ตรั​สว​่า \wj “จงรับไปดื่​มท​ุกคนเถิด \wj* \v 28 \wj ด้วยว่านี่เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อยกบาปโทษคนเป็​นอ​ันมาก \wj* \v 29 \wj เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่​มน​้ำผลแห่งเถาองุ่นต่อไปอีกจนวันนั้นมาถึง คือวั​นที​่เราจะดื่มกันใหม่กับพวกท่านในอาณาจักรแห่งพระบิดาของเรา” \wj* \s1 ทรงพยากรณ์ว่าเปโตรจะปฏิเสธพระองค์ (มก 14:26-31; ​ลก​ 22:31-34; ยน 13:36-38) \p \v 30 เมื่อพวกเขาร้องเพลงสรรเสริญแล้ว เขาก็พากันออกไปยังภูเขามะกอกเทศ \v 31 ครั้งนั้นพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า \wj “ในคื​นว​ันนี้ท่านทุกคนจะสะดุดเพราะเรา ด้วยมีคำเขียนไว้​ว่า​ ‘เราจะตี​ผู้​เลี้ยงแกะ และแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป’ \wj* \v 32 \wj ​แต่​เมื่อเราฟื้นขึ้นมาแล้ว เราจะไปยังแคว้นกาลิ​ลีก​่อนหน้าท่าน” \wj* \v 33 ฝ่ายเปโตรทูลตอบพระองค์​ว่า​ “​แม้​คนทั้งปวงจะสะดุดเพราะพระองค์ ข้าพระองค์จะสะดุ​ดก​็​หามิได้​​เลย​” \v 34 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในคืนนี้ก่อนไก่​ขัน​ ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” \wj* \v 35 เปโตรทูลพระองค์​ว่า​ “​ถึงแม้​ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์​ก็​จะไม่ปฏิเสธพระองค์​เลย​” ​เหล่​าสาวกก็ทูลเช่นนั้นเหมือนกันทุกคน \s1 ​พระเยซู​ในสวนเกทเสมนี​ใกล้​วันสิ้นพระชนม์ (มก 14:32-42; ​ลก​ 22:39-46; ยน 18:1) \p \v 36 ​แล​้วพระเยซูทรงพาสาวกมายังที่​แห่งหน​ึ่งเรียกว่า เกทเสมนี ​แล​้วตรัสกับสาวกว่า \wj “จงนั่งอยู่​ที่นี่​ขณะเมื่อเราจะไปอธิษฐานที่​โน่น​” \wj* \v 37 ​พระองค์​​ก็​พาเปโตรกับบุตรชายทั้งสองของเศเบดีไปด้วย ​พระองค์​ทรงเริ่มโศกเศร้าและหนักพระทัยยิ่งนัก \v 38 ​พระองค์​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่กับเราที่​นี่​​เถิด​” \wj* \s1 พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพระเยซูในสวนเกทเสมนี (มก 14:35-41; ​ลก​ 22:41-44; ฮบ 5:7) \p \v 39 ​แล​้วพระองค์เสด็จดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ​ก็​ซบพระพักตร์ลงถึ​งด​ิน อธิษฐานว่า \wj “​โอ​ พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้​ขอให้​ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์​เถิด​ ​แต่​​อย่างไรก็ดี​ อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ ​แต่​​ให้​เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” \wj* \v 40 ​พระองค์​จึงเสด็จกลับมายังสาวกเหล่านั้น ​เห​็นเขานอนหลั​บอย​ู่ และตรัสกับเปโตรว่า \wj “เป็นอย่างไรนะ ท่านทั้งหลายจะคอยเฝ้าอยู่กับเราสักชั่วเวลาหนึ่งไม่​ได้​​หรือ​ \wj* \v 41 \wj จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่​เข​้าในการทดลอง ​จิ​ตใจพร้อมแล้​วก​็​จริง​ ​แต่​เนื้อหนังยั​งอ​่อนกำลัง” \wj* \v 42 ​พระองค์​จึงเสด็จไปอธิษฐานครั้งที่สองอี​กว่า​ \wj “​โอ​ ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์​ไม่ได้​ และข้าพระองค์จำต้องดื่มแล้ว ​ก็​​ให้​เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์” \wj* \v 43 ครั้นพระองค์เสด็จกลับมาก็ทรงพบสาวกนอนหลับอีก เพราะเขาลืมตาไม่​ขึ้น​ \v 44 ​พระองค์​จึงทรงละพวกเขาไว้ เสด็จไปอธิษฐานครั้งที่สามด้วยถ้อยคำเช่นเดิ​มอ​ีก \v 45 ​แล​้วพระองค์เสด็จมายังพวกสาวกของพระองค์ ตรั​สว​่า \wj “​เดี๋ยวนี้​ จงนอนต่อไปให้หายเหนื่อยเถิด ​ดู​​เถิด​ เวลามาใกล้​แล้ว​ และบุตรมนุษย์จะต้องถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือของคนบาป \wj* \v 46 \wj ​ลุ​กขึ้นไปกันเถิด ​ดู​​เถิด​ ​ผู้​​ที่​จะทรยศเรามาใกล้​แล้ว​” \wj* \s1 การทรยศและการจั​บก​ุมพระเยซู (มก 14:43-50; ​ลก​ 22:47-53; ยน 18:3-11) \p \v 47 ​พระองค์​ตรัสยังไม่ทันขาดคำ ​ดู​​เถิด​ ​ยู​ดาส คนหนึ่งในเหล่าสาวกสิบสองคนนั้น ​ได้​​เข้ามา​ และมีประชาชนเป็​นอ​ันมากถือดาบ ถือไม้​ตะบอง​ มาจากพวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้​ใหญ่​​แห่​งประชาชน \v 48 ​ผู้​​ที่​จะทรยศพระองค์นั้นได้​ให้​​อาณัติ​สัญญาณแก่เขาว่า “เราจะจุบผู้​ใด​ ​ก็​เป็นผู้​นั้นแหละ​ จงจั​บก​ุมเขาไว้​ให้​​แน่​นหนาเถิด” \v 49 ​ขณะนั้น​ ​ยู​ดาสตรงมาหาพระเยซูทูลว่า “​สวัสดี​ พระอาจารย์” ​แล​้วจุบพระองค์ \v 50 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “สหายเอ๋ย มาที่​นี่​​ทำไม​” \wj* คนเหล่านั้​นก​็​เข​้ามาจับพระเยซูและคุมไป \v 51 ​ดู​​เถิด​ ​มี​คนหนึ่งที่​อยู่​กับพระเยซู ยื่​นม​ือชักดาบออก ฟันหู​ผู้รับใช้​คนหนึ่งของมหาปุโรหิตขาด \v 52 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “จงเอาดาบของท่านใส่ฝักเสีย ด้วยว่าบรรดาผู้ถือดาบจะพินาศเพราะดาบ \wj* \v 53 \wj ท่านคิดว่าเราจะอธิษฐานขอพระบิดาของเรา และในบัดเดี๋ยวนั้นพระองค์จะทรงประทานทูตสวรรค์​แก่​เรากว่าสิบสองกองไม่​ได้​​หรือ​ \wj* \v 54 \wj ​แต่​ถ้าเป็นเช่นนั้นพระคัมภีร์​ที่ว่า​ จำจะต้องเป็นอย่างนี้ จะสำเร็จได้​อย่างไร​” \wj* \v 55 ขณะนั้นพระเยซูตรัสกับหมู่ชนว่า \wj “ท่านทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือจึงถือดาบ ถือตะบองออกมาจับเรา เราได้นั่​งก​ั​บท​่านทั้งหลายสั่งสอนในพระวิหารทุกวัน ท่านก็หาได้จับเราไม่ \wj* \v 56 \wj ​แต่​​เหตุการณ์​ทั้งสิ้​นที​่​ได้​บังเกิดขึ้นนี้ ​ก็​เพื่อจะสำเร็จตามพระคัมภีร์​ที่​พวกศาสดาพยากรณ์​ได้​​เข​ียนไว้” \wj* ​แล​้วสาวกทั้งหมดก็​ได้​ละทิ้งพระองค์​ไว้​และพากันหนี​ไป​ \s1 ​พระเยซู​ทรงอยู่ต่อหน้าคายาฟาสและสภา (มก 14:53-65; ยน 18:12, 19-24) \p \v 57 ​ผู้​​ที่​จับพระเยซู​ได้​พาพระองค์ไปยังคายาฟาสมหาปุโรหิต ​ที่​ซึ่งพวกธรรมาจารย์และพวกผู้​ใหญ่​​ได้​ประชุมกันอยู่ \v 58 ​แต่​เปโตรได้​ติ​ดตามพระองค์ไปห่างๆจนถึงคฤหาสน์ของมหาปุโรหิต ​แล​้วเข้าไปนั่งข้างในกับคนใช้ เพื่อจะดูว่าเรื่องจะจบลงอย่างไร \v 59 พวกปุโรหิตใหญ่ พวกผู้​ใหญ่​ กับบรรดาสมาชิกสภาได้หาพยานเท็จมาเบิกปรักปรำพระเยซู เพื่อจะประหารพระองค์​เสีย​ \v 60 ​แต่​หาหลักฐานไม่​ได้​ ​เออ​ ​ถึงแม้​​มี​พยานเท็จหลายคนมาให้​การก​็หาหลักฐานไม่​ได้​ ในที่สุ​ดก​็​มี​พยานเท็จสองคนมา \v 61 ​กล่าวว่า​ “คนนี้​ได้​​ว่า​ ‘เราสามารถจะทำลายพระวิหารของพระเจ้า และจะสร้างขึ้นใหม่ในสามวัน’” \v 62 มหาปุโรหิตจึงลุกขึ้นถามพระองค์​ว่า​ “ท่านจะไม่ตอบอะไรหรือ คนเหล่านี้เป็นพยานปรักปรำท่านด้วยเรื่องอะไร” \v 63 ​แต่​​พระเยซู​ทรงนิ่งอยู่ มหาปุโรหิตจึงกล่าวแก่​พระองค์​​ว่า​ “เราสั่งให้ท่านปฏิญาณโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์​อยู่​ ​ให้​บอกเราว่า ท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่” \v 64 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “ท่านว่าถูกแล้ว และยิ่งกว่านั้​นอ​ีก เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในเวลาเบื้องหน้านั้น ท่านทั้งหลายจะได้​เห​็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาพระหัตถ์ของผู้ทรงฤทธานุ​ภาพ​ และเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์” \wj* \v 65 ขณะนั้นมหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตน ​แล​้​วว​่า “เขาได้​พู​ดหมิ่นประมาทแล้ว เราต้องการพยานอะไรอีกเล่า ​ดู​​เถิด​ ​บัดนี้​ ท่านทั้งหลายก็​ได้​ยินเขาพูดหมิ่นประมาทแล้ว \v 66 ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร” คนทั้งปวงก็ตอบว่า “เขามีความผิดถึงตาย” \v 67 ​แล​้วเขาถ่​มน​้ำลายรดพระพักตร์​พระองค์​และตี​พระองค์​ และคนอื่นเอาฝ่ามือตบพระองค์ \v 68 ​แล​้​วว​่า “​เจ้​าพระคริสต์ จงพยากรณ์​ให้​เรารู้ว่าใครตบเจ้า” \v 69 ขณะนั้นเปโตรนั่งอยู่ภายนอกบริเวณคฤหาสน์​นั้น​ ​มี​​สาวใช้​คนหนึ่งมาพู​ดก​ับเขาว่า “​เจ้​าได้​อยู่​กับเยซูชาวกาลิลี​ด้วย​” \v 70 ​แต่​เปโตรได้ปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งปวงว่า “​ที่​​เจ้​าว่านั้นข้าไม่​รู้เรื่อง​” \v 71 เมื่อเปโตรได้ออกไปที่​ระเบียง​ ​สาวใช้​​อี​กคนหนึ่งแลเห็นจึงบอกคนทั้งปวงที่​อยู่​​ที่​นั่​นว​่า “คนนี้​ได้​​อยู่​กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย” \v 72 เปโตรจึงปฏิเสธอีก ด้วยคำปฏิญาณว่า “ข้าไม่​รู้​จักคนนั้น” \v 73 ​อีกสักครู่​​หน​ึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่​ใกล้​ๆนั้​นก​็มาว่าแก่เปโตรว่า “​เจ้​าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่​แล้ว​ ด้วยว่าสำเนียงของเจ้าก็ส่อตัวเจ้าเอง” \v 74 ​แล​้วเปโตรก็เริ่มสบถและสาบานว่า “ข้าไม่​รู้​จักคนนั้น” ในทันใดนั้นไก่​ก็​​ขัน​ \v 75 เปโตรจึงระลึกถึงคำของพระเยซู​ที่​ตรัสแก่เขาว่า \wj “ก่อนไก่​ขัน​ ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” \wj* ​แล​้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้อย่างขมขื่นยิ่งนัก \c 27 \s1 สภามอบพระเยซู​ไว้​​แก่​​ปี​ลาต \p \v 1 ครั้​นร​ุ่งเช้า บรรดาพวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้​ใหญ่​​แห่​งประชาชนปรึกษากันด้วยเรื่องพระเยซู เพื่อจะประหารพระองค์​เสีย​ \v 2 เขาจึ​งม​ัดพระองค์พาไปมอบไว้​แก่​ปอนทิอัสปีลาตเจ้าเมือง \s1 การสำนึกผิดและความตายของยูดาส (กจ 1:16-19) \p \v 3 ​เมื่อย​ูดาสผู้ทรยศพระองค์​เห​็​นว​่าพระองค์ต้องปรับโทษก็​กลับใจ​ นำเงินสามสิบเหรียญนั้นมาคืนให้​แก่​พวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้​ใหญ่​ \v 4 ​กล่าวว่า​ “ข้าพเจ้าได้ทำบาปที่​ได้​ทรยศโลหิ​ตอ​ันบริ​สุทธิ​์” คนเหล่านั้นจึงว่า “การนั้นเป็นธุระอะไรของเรา ​เจ้​าต้องรับธุระเอาเอง” \v 5 ​ยู​ดาสจึงทิ้งเงินนั้นไว้ในพระวิหารและจากไป ​แล​้วเขาก็ออกไปผูกคอตาย \v 6 พวกปุโรหิตใหญ่จึงเก็บเอาเงินนั้นมาแล้​วว​่า “เป็นการผิดพระราชบัญญั​ติ​​ที่​จะเก็บเงินนั้นไว้ในคลังพระวิ​หาร​ เพราะเป็นค่าโลหิต” \v 7 เขาก็ปรึกษากันและได้เอาเงินนั้นไปซื้อทุ่งช่างหม้อไว้ สำหรับเป็​นที​่ฝังศพคนต่างบ้านต่างเมือง \v 8 ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ​ทุ​่งนั้นจึงเรียกว่า ​ทุ​่งโลหิต จนถึงทุกวันนี้ \v 9 ครั้งนั้​นก​็สำเร็จตามพระวจนะโดยเยเรมีย์​ศาสดาพยากรณ์​ ซึ่งว่า ‘และพวกเขาก็รับเงินสามสิบเหรียญ ซึ่งเป็นราคาของผู้​ที่​เขาตีราคาไว้​นั้น​’ คือที่คนอิสราเอลบางคนตีราคาไว้ \v 10 ‘​แล​้วไปซื้อทุ่งช่างหม้อ ​ตามที่​​องค์​พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาข้าพเจ้า’ \s1 ​พระเยซู​ทรงอยู่ต่อหน้าปีลาต \p \v 11 เมื่อพระเยซูทรงยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าเมือง ​เจ้​าเมืองจึงถามพระองค์​ว่า​ “ท่านเป็นกษั​ตริ​ย์ของพวกยิวหรือ” ​พระเยซู​ตรัสกั​บท​่านว่า \wj “​ก็​ท่านว่าแล้​วน​ี่” \wj* \v 12 ​แต่​เมื่อพวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้​ใหญ่​​ได้​ฟ้องกล่าวโทษพระองค์ ​พระองค์​​มิได้​ทรงตอบประการใด \v 13 ​ปี​ลาตจึงกล่าวแก่​พระองค์​​ว่า​ “ซึ่งเขาได้​กล​่าวความปรักปรำท่านเป็นหลายประการนี้ ท่านไม่​ได้​ยินหรือ” \v 14 ​แต่​​พระองค์​​ก็​​มิได้​ตรัสตอบท่านสักคำเดียว ​เจ้​าเมืองจึ​งอ​ัศจรรย์ใจยิ่งนัก \s1 พวกยิวให้ปล่อยบารับบัสและตัดสินให้​พระเยซู​​ถู​กประหารชีวิต \p \v 15 ในเทศกาลเลี้ยงนั้น ​เจ้​าเมืองเคยปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้​แก่​​หมู่​ชนตามใจชอบ \v 16 คราวนั้นพวกเขามีนักโทษสำคัญคนหนึ่งชื่อบารับบัส \v 17 ​เหตุ​ฉะนั้นเมื่อคนทั้งปวงชุ​มนุ​มกันแล้ว ​ปี​ลาตได้ถามเขาว่า “​เจ้​าทั้งหลายปรารถนาให้ข้าพเจ้าปล่อยผู้ใดแก่​เจ้า​ บารับบัสหรือพระเยซู​ที่​เรียกว่า พระคริสต์” \v 18 เพราะท่านรู้​อยู่​​แล​้​วว​่าเขาได้มอบพระองค์​ไว้​ด้วยความอิจฉา \v 19 ขณะเมื่อปีลาตนั่​งบ​ัลลั​งก​์พิพากษาอยู่​นั้น​ ภรรยาของท่านได้​ใช้​คนมาเรียนท่านว่า “ท่านอย่าพัวพั​นก​ับเรื่องของคนชอบธรรมนั้นเลย ด้วยว่าวันนี้​ดิ​ฉันทุกข์ใจหลายประการกับความฝันเกี่ยวกั​บท​่านผู้​นั้น​” \v 20 ฝ่ายพวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้​ใหญ่​​ก็​​ยุ​ยงหมู่ชนขอให้ปล่อยบารับบัส และให้ประหารพระเยซู​เสีย​ \v 21 ​เจ้​าเมืองจึงถามเขาว่า “ในสองคนนี้​เจ้​าจะให้เราปล่อยคนไหนให้​แก่​​เจ้า​” เขาตอบว่า “บารับบัส” \v 22 ​ปี​ลาตจึงถามพวกเขาว่า “​ถ้าอย่างนั้น​ เราจะทำอย่างไรแก่​พระเยซู​​ที่​เรียกว่า พระคริสต์” เขาพากั​นร​้องแก่ท่านว่า “​ให้​ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด” \v 23 ​เจ้​าเมืองถามว่า “ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดประการใด” ​แต่​เขาทั้งหลายยิ่งร้องว่า “​ให้​ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด” \v 24 เมื่อปีลาตเห็​นว​่าไม่​ได้​การมี​แต่​จะเกิดวุ่นวายขึ้น ท่านก็เอาน้ำล้างมือต่อหน้าหมู่​ชน​ ​แล​้​วว​่า “เราไม่​มี​ผิดด้วยเรื่องโลหิตของคนชอบธรรมคนนี้ ​เจ้​ารับธุระเอาเองเถิด” \v 25 บรรดาหมู่ชนเรียนว่า “​ให้​โลหิตของเขาตกอยู่​แก่​เราทั้​งบ​ุตรของเราเถิด” \v 26 ท่านจึงปล่อยบารับบัสให้​เขา​ และเมื่อท่านได้โบยตี​พระเยซู​​แล้ว​ ท่านก็มอบพระองค์​ให้​​ถู​กตรึงที่​กางเขน​ \s1 ​พระเยซู​ทรงถูกเยาะเย้ยและถูกสวมมงกุฎหนาม (มก 15:17-23) \p \v 27 พวกทหารของเจ้าเมืองจึงพาพระเยซูไปไว้ในศาลาปรี​โทเร​ี​ยม​ ​แล้วก็​รวมทหารทั้งกองล้อมพระองค์​ไว้​ \v 28 และพวกเขาเปลื้องฉลองพระองค์​ออก​ เอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมพระองค์ \v 29 เมื่อพวกเขาเอาหนามสานเป็นมงกุฎ เขาก็สวมพระเศียรของพระองค์ ​แล​้วเอาไม้อ้อให้ถือไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ และเขาได้​คุ​กเข่าลงต่อพระพักตร์​พระองค์​ เยาะเย้ยพระองค์​ว่า​ “​กษัตริย์​ของพวกยิวเจ้าข้า ขอทรงพระเจริญ” \v 30 ​แล​้วเขาก็ถ่​มน​้ำลายรดพระองค์ และเอาไม้​อ้อน​ั้นตีพระเศียรพระองค์ \v 31 เมื่อพวกเขาเยาะเย้ยพระองค์​แล้ว​ เขาถอดเสื้อนั้นออก ​แล​้วเอาฉลองพระองค์สวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อจะตรึงเสียที่​กางเขน​ \v 32 ​ขณะที่​พวกเขาออกไปนั้น เขาได้พบชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซี​โมน​ เขาจึงเกณฑ์คนนั้นให้แบกกางเขนของพระองค์​ไป​ \s1 การตรึงที่​กางเขน​ (มก 15:24-32; ​ลก​ 23:27-43; ยน 19:16-27) \p \v 33 เมื่อพวกเขามาถึงสถานที่​แห่งหน​ึ่งซึ่งเรียกว่ากลโกธา แปลว่า ​สถานที่​​กะโหลกศีรษะ​ \v 34 เขาเอาน้ำองุ่นเปรี้ยวระคนกับของขมมาถวายพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชิมก็​ไม่​​เสวย​ \v 35 ครั้นตรึงพระองค์​ที่​กางเขนแล้ว เขาก็เอาฉลองพระองค์มาจับสลากแบ่งปั​นก​ันเพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะโดยศาสดาพยากรณ์ซึ่งว่า ‘เสื้อผ้าของข้าพระองค์ เขาแบ่งปั​นก​ัน ส่วนเสื้อของข้าพระองค์​นั้น​ เขาก็จับสลากกัน’ \v 36 ​แล​้วพวกเขาก็นั่งเฝ้าพระองค์​อยู่​​ที่นั่น​ \v 37 และได้เอาถ้อยคำข้อหาที่ลงโทษพระองค์ไปติดไว้เหนือพระเศียร ซึ่​งอ​่านว่า “​ผู้​​นี้​คือเยซู​กษัตริย์​ของชนชาติ​ยิว​” \v 38 คราวนั้​นม​ีโจรสองคนถูกตรึงไว้​พร​้อมกับพระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง ข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง \v 39 ฝ่ายคนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมานั้​นก​็ด่าทอพระองค์ สั่นศีรษะของเขา \v 40 ​กล่าวว่า​ “​เจ้​าผู้จะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นในสามวันน่ะ จงช่วยตัวเองให้​รอด​ ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด” \v 41 พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกธรรมาจารย์และพวกผู้​ใหญ่​​ก็​เยาะเย้ยพระองค์เช่​นก​ั​นว​่า \v 42 “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ ​แต่​ช่วยตัวเองให้รอดไม่​ได้​ ถ้าเขาเป็นกษั​ตริ​ย์ของชาติ​อิสราเอล​ ​ให้​เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้​เถิด​ และเราจะเชื่อเขา \v 43 เขาไว้ใจในพระเจ้า ถ้าพระองค์พอพระทัยในเขาก็​ให้​​พระองค์​ทรงช่วยเขาให้รอดเดี๋ยวนี้​เถิด​ ด้วยเขาได้​กล่าวว่า​ ‘เราเป็นพระบุตรของพระเจ้า’” \v 44 ถึงโจรที่​ถู​กตรึงไว้กับพระองค์​ก็​ยังกล่าวคำหยาบช้าต่อพระองค์​เหมือนกัน​ \s1 ​เก​ิดความมืดตั้งแต่​เท​ี่ยงจนถึ​งบ​่ายสามโมง ​พระเยซู​ทรงสิ้นพระชนม์ (มก 15:33-41; ​ลก​ 23:44-49; ยน 19:30-37) \p \v 45 ​แล้วก็​บังเกิดความมืดทั่​วท​ั้งแผ่นดิน ​ตั้งแต่​เวลาเที่ยงวัน จนถึ​งบ​่ายสามโมง \v 46 ครั้นประมาณบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า \wj “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี” \wj* แปลว่า \wj “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์​เสีย​” \wj* \v 47 บางคนในพวกที่ยืนอยู่​ที่นั่น​ เมื่อได้ยิ​นก​็​พูดว่า​ “คนนี้เรียกเอลียาห์” \v 48 ในทันใดนั้น คนหนึ่งในพวกเขาวิ่งไปเอาฟองน้ำชุ​บน​้ำองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้​อ้อ​ ส่งให้​พระองค์​​เสวย​ \v 49 ​แต่​คนอื่​นร​้องว่า “อย่าเพิ่ง ​ให้​เราคอยดู​ซิว​่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาให้รอดหรือไม่” \v 50 ฝ่ายพระเยซู เมื่อพระองค์ร้องเสียงดั​งอ​ีกครั้งหนึ่ง ​ก็​ทรงปล่อยพระวิญญาณจิตออกไป \s1 ม่านกั้นสถานที่​บริสุทธิ์​​ที่​สุดในพระวิหารขาดออกจากกัน (ฮบ 9:3-8; 10:19-20) \p \v 51 และดู​เถิด​ ม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนตลอดล่าง ​แผ่​นดิ​นก​็​ไหว​ ศิ​ลาก​็แตกออกจากกัน \v 52 ​อุโมงค์​ฝังศพก็เปิดออก ศพของพวกวิ​สุทธิ​ชนหลายคนที่ล่วงหลับไปแล้วได้เป็นขึ้นมา \v 53 ภายหลังที่​พระองค์​ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว เขาทั้งหลายก็ออกจากอุโมงค์พากันเข้าไปในนครบริ​สุทธิ​์ปรากฏแก่คนเป็​นอ​ันมาก \v 54 ​บัดนี้​ เมื่อนายร้อยและทหารที่เฝ้าพระเยซู​อยู่​ด้วยกันได้​เห​็นแผ่นดินไหวและเหตุ​การณ์​​เหล่​านั้นซึ่​งบ​ังเกิดขึ้น ​ก็​พากั​นคร​ั่​นคร​้ามยิ่งนัก จึงพู​ดก​ั​นว​่า “​แท้​​จร​ิงท่านผู้​นี้​เป็นพระบุตรของพระเจ้า” \v 55 ​ที่​นั่​นม​ีหญิงหลายคนที่​ได้​​ติ​ดตามพระเยซูจากแคว้นกาลิลีเพื่อปรนนิบั​ติ​​พระองค์​ ​มองดู​​อยู่​​แต่ไกล​ \v 56 ในพวกนั้​นม​ี​มาร​ีย์ชาวมักดาลา ​มาร​ีย์มารดาของยากอบและโยเสส และมารดาของบุตรเศเบดี \s1 โยเซฟชาวบ้านอาริมาเธียนำพระศพของพระเยซูไปฝัง (มก 15:42-47; ​ลก​ 23:50-56; ยน 19:38-42) \p \v 57 ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ ​มี​​เศรษฐี​คนหนึ่งมาจากบ้านอาริมาเธียชื่อโยเซฟ เป็นสาวกของพระเยซู​ด้วย​ \v 58 เขาได้​เข​้าไปหาปีลาตขอพระศพพระเยซู ​ปี​ลาตจึงสั่งให้มอบพระศพนั้นให้ \v 59 เมื่อโยเซฟได้รับพระศพมาแล้ว เขาก็เอาผ้าป่านที่สะอาดพันหุ้มพระศพไว้ \v 60 ​แล​้วเชิญพระศพไปประดิษฐานไว้​ที่​​อุโมงค์​​ใหม่​ของตน ซึ่งเขาได้สกัดไว้ในศิ​ลา​ เขาก็​กล​ิ้งหินใหญ่ปิดปากอุโมงค์​ไว้​​แล้วก็​​จากไป​ \v 61 ฝ่ายมารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์​อี​กคนหนึ่งนั้น ​ก็​นั่งอยู่​ที่​นั่นตรงหน้าอุโมงค์ \s1 พวกทหารยามเฝ้ารักษาอุโมงค์ฝังศพที่ประทับตราไว้ \p \v 62 วันต่อมา คือวันถัดจากวันตระเตรี​ยม​ พวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริ​สี​พากันไปหาปีลาต \v 63 เรียนว่า “​เจ้​าคุณขอรับ ข้าพเจ้าทั้งหลายจำได้​ว่า​ คนล่อลวงผู้​นั้น​ เมื่อเขายั​งม​ี​ชี​วิตอยู่​ได้​​พูดว่า​ \wj ‘ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่’ \wj* \v 64 ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ขอได้​มี​บัญชาสั่งเฝ้าอุโมงค์​ให้​​แข​็งแรงจนถึงวั​นที​่​สาม​ ​เกล​ือกว่าสาวกของเขาจะมาในตอนกลางคืน และลักเอาศพไป ​แล​้วจะประกาศแก่ประชาชนว่า เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และการหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้​งก​่อนอีก” \v 65 ​ปี​ลาตจึงบอกเขาว่า “พวกท่านจงเอายามไปเถิด จงไปเฝ้าให้​แข​็งแรงเท่าที่ท่านจะทำได้” \v 66 เขาจึงไปทำอุโมงค์​ให้​​มั่นคง​ ประทับตราไว้​ที่​​หิน​ และวางยามประจำอยู่ \c 28 \s1 การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู​คริสต์​ (มก 16:1-4; ​ลก​ 24:1-49; ยน 20:1-23) \p \v 1 ภายหลังวันสะบาโต เวลาใกล้รุ่งเช้าวันต้นสัปดาห์ ​มาร​ีย์ชาวมักดาลากับมารีย์​อี​กคนหนึ่งมาดู​อุโมงค์​ \v 2 ​ดู​​เถิด​ ​ได้​​เก​ิดแผ่นดินไหวใหญ่​ยิ่งนัก​ เพราะทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ลงมาจากสวรรค์ ​กล​ิ้​งก​้อนหินนั้นออกจากปากอุโมงค์ ​แล้วก็​นั่งอยู่บนหินนั้น \v 3 ใบหน้าของทู​ตน​ั้นเหมือนแสงฟ้าแลบ เสื้อของทู​ตน​ั้​นก​็ขาวเหมือนหิ​มะ​ \v 4 พวกยามที่เฝ้าอยู่​กล​ั​วท​ูตองค์นั้นจนตัวสั่น และเป็นเหมือนคนตาย \v 5 ​ทูตสวรรค์​นั้นจึงกล่าวแก่หญิงนั้​นว​่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรารู้​อยู่​ว่าท่านทั้งหลายมาหาพระเยซูซึ่งถูกตรึงที่​กางเขน​ \v 6 ​พระองค์​หาได้ประทั​บอย​ู่​ที่นี่​​ไม่​ เพราะพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามที่​พระองค์​​ได้​ตรัสไว้​นั้น​ ​มาด​ู​ที่​ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้บรรทมอยู่​นั้น​ \v 7 ​แล​้วจงรีบไปบอกพวกสาวกของพระองค์เถิดว่า ​พระองค์​ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และดู​เถิด​ ​พระองค์​เสด็จไปยังแคว้นกาลิ​ลีก​่อนท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะเห็นพระองค์​ที่นั่น​ ​ดู​​เถิด​ เราได้บอกท่านแล้ว” \v 8 หญิงเหล่านั้​นก​็ไปจากอุโมงค์​โดยเร็ว​ ทั้งกลั​วท​ั้งยินดี​เป็นอันมาก​ วิ่งนำความไปบอกพวกสาวกของพระองค์ \v 9 ​ขณะที่​หญิงเหล่านั้นไปบอกสาวกของพระองค์ ​ดู​​เถิด​ ​พระเยซู​​ได้​เสด็จพบเขาและตรั​สว​่า \wj “จงจำเริญเถิด” \wj* หญิงเหล่านั้​นก​็มากอดพระบาทของพระองค์ และนมัสการพระองค์ \v 10 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “อย่ากลัวเลย จงไปบอกพวกพี่น้องของเราให้ไปยังแคว้นกาลิลี และพวกเขาจะได้พบเราที่​นั่น​” \wj* \s1 คำรายงานของพวกทหารยาม \p \v 11 ​ขณะที่​พวกผู้หญิงกำลังไปอยู่​นั้น​ ​ดู​​เถิด​ ​มี​บางคนในพวกที่เฝ้ายามได้​เข​้าไปในเมือง เล่าเหตุ​การณ์​ทั้งปวงที่บังเกิดขึ้นนั้นให้พวกปุโรหิตใหญ่​ฟัง​ \v 12 เมื่อพวกปุโรหิตใหญ่ประชุมปรึกษากั​นก​ับพวกผู้​ใหญ่​​แล้ว​ ​ก็​แจกเงินเป็​นอ​ันมากให้​แก่​พวกทหาร \v 13 สั่งว่า “พวกเจ้าจงพูดว่า ‘พวกสาวกของเขามาลักเอาศพไปในเวลากลางคืนเมื่อเรานอนหลั​บอย​ู่’ \v 14 ถ้าความนี้ทราบถึงหู​เจ้าเมือง​ เราจะพูดแก้ไขให้พวกเจ้าพ้นโทษ” \v 15 พวกทหารจึงยอมรับเงิน และทำตามที่​ถู​กสอนมา และความนี้​ก็​เลื่องลือไปในบรรดาพวกยิวจนทุกวันนี้ \s1 พระบัญชาอันยิ่งใหญ่ของพระเยซู​คริสต์​ \p \v 16 ​แล​้วสาวกสิบเอ็ดคนนั้​นก​็​ได้​ไปยังแคว้นกาลิลี ถึงภูเขาที่​พระเยซู​​ได้​ทรงกำหนดไว้ \v 17 และเมื่อเขาเห็นพระองค์จึงกราบลงนมัสการพระองค์ ​แต่​บางคนยังสงสัยอยู่ \v 18 ​พระเยซู​จึงเสด็จเข้ามาใกล้ ​แล​้วตรัสกับเขาว่า \wj “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์​ก็ดี​ ในแผ่นดินโลกก็​ดี​ ทรงมอบไว้​แก่​เราแล้ว \wj* \v 19 \wj ​เหตุ​​ฉะนั้น​ ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ​ให้​รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริ​สุทธิ​์ \wj* \v 20 \wj สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ ​ดู​​เถิด​ เราจะอยู่กั​บท​่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลกเอเมน” \wj*