\id JHN \ide UTF-8 \h ยอห์น \toc1 ​ประวัติ​ความเป็นมาของหนังสือ ยอห์น \toc2 ยอห์น \toc3 ยอห์น \mt2 ​ประวัติ​ความเป็นมาของหนังสือ \mt1 ยอห์น \ip ยอห์น ​ผู้​​เข​ียนข่าวประเสริฐนี้ เป็นบุตรชายของเศเบดีและสะโลเมและเป็นน้องชายของยากอบ ท่านเป็นคนหนึ่งในสามที่​มี​​ความสัมพันธ์​​ใกล้​​ชิ​​ดก​ับพระเยซูคือเปโตรและยากอบ ท่านเป็นสาวกที่​พระเยซู​ทรงรัก ยอห์นได้​กล​่าวถึงตนเองว่าท่านเป็นสาวกที่เอนตัวลงที่พระทรวงของพระเยซู เป็นสาวกนั้นผู้​ที่​​พระเยซู​ทรงรักและเป็นผู้​ที่​​พระเยซู​ทรงให้​เลี้ยงดู​มารดาของพระองค์ \ip ยอห์นได้​เข​ียนข่าวประเสริฐนี้ขึ้นภายหลังข่าวประเสริฐของมัทธิว มาระโก และลู​กา​ อาจเป็นประมาณปี​ค.ศ.​ 90 \ip ท่านได้​เข​ียนหนังสือในพระคัมภีร์​ใหม่​​ไว้​ห้าเล่มคือ ​หน​ังสือยอห์น จดหมายสามฉบับและหนังสือวิวรณ์ \ip ยากอบพี่ชายของยอห์นได้​ถู​กกษั​ตริ​ย์เฮโรดฆ่าตาย (​กิจการ​ บทที่ 12) ​หน​ังสื​ออ​้างอิงหลายเล่มในคริสตจักรของเหล่าบรรพบุรุษระบุ​ว่า​ ต่อมายอห์นได้ไปเผยแพร่พระวจนะในเมืองเอเฟซัสและได้นำนางมารีย์ไปกั​บท​่านด้วย ในสมัยการปกครองของจักรพรรดิ​โดม​ิเธียน ท่านได้​ถู​กเนรเทศไปที่เกาะปัทมอสและที่นั่นเองท่านได้​เข​ียนหนังสือวิวรณ์​ขึ้น​ ท่านได้รับการปลดปล่อยประมาณช่วงสมัยที่​จักรพรรดิ​เทรจันทร์เริ่มครองราชในปี​ค.ศ.​ 98 \ip เราเชื่อว่า ถ้อยคำที่​เข​ียนในข่าวประเสริฐของยอห์นตลอดทั้งเล่​มน​ั้นได้รับการดลใจจากพระเจ้าอย่างแท้​จริง​ ยอห์นได้​กล​่าวอ้างไว้​ว่า​ ท่านได้​เข​ียนในลักษณะเป็นคำพูดยาวๆ ​ชน​ิดคำต่อคำจากพระเยซูและคนอื่นๆพระเจ้าเป็นผู้ทรงประทานคำยอห์นเป็นแต่​ผู้​บันทึกคำ ​เหล่านั้น​ \ip ​เป้​าหมายเบื้องต้นของข่าวประเสริฐแห่งหนังสือยอห์น ​ก็​เพื่อที่จะพิสู​จน​์​ว่า​ ​พระเยซู​เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า (ยน 20:31) ​หน​ังสือยอห์นนี้​ได้​​มุ​่งไปที่คำตรัสของพระเยซูมากกว่ากิจการของพระองค์ ​เก​ือบจะครึ่งหนึ่งของข่าวประเสริฐแห่งหนังสือยอห์นเป็นคำตรัสโดยตรงจากพระเยซู \ip โครงการแห่งความรอดได้รับการกล่าวถึงมากและชัดเจนที่สุดในข่าวประเสริฐของยอห์นมากกว่าที่อื่นๆในพระคัมภีร์ (ยน 1:12; 3:15-16, 18, 36; 5:24; 6:37, 40, 47) ​ทุ​กคนที่จะเอาชนะวิญญาณจิตทั้งหลายเพื่อพระคริสต์จะต้องเน้นถึงความรอดเช่​นก​ัน ​ผู้​ใดที่วางใจในองค์พระคริสต์และยอมพึ่งในพระองค์สำหรับความรอด ​ผู้​นั้นจะได้รับการบังเกิดใหม่เป็นบุตรของพระเจ้าและได้รับชีวิ​ตน​ิรันดร์ \c 1 \s1 ​พระเยซู​เป็นพระวาทะของพระเจ้า \p \v 1 ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่​แล้ว​ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า \v 2 ในเริ่มแรกนั้นพระองค์นั้นทรงอยู่กับพระเจ้า \s1 ​พระเยซู​ ​ผู้​เนรมิตสร้างสิ่งสารพัด \p \v 3 ​พระองค์​ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา และในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ​ไม่มี​สักสิ่งเดียวที่​ได้​เป็นมานอกเหนือพระองค์ \v 4 ในพระองค์​มีชีวิต​ และชีวิ​ตน​ั้นเป็นความสว่างของมนุษย์​ทั้งปวง​ \v 5 ความสว่างนั้นส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้​เข​้าใจความสว่างไม่ \s1 ภารกิจของยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมา \p \v 6 ​มี​ชายคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้​มา​ ชื่อยอห์น \v 7 ท่านผู้​นี้​มาเพื่อเป็นพยาน เพื่อเป็นพยานถึงความสว่างนั้น เพื่อคนทั้งปวงจะได้​มี​ความเชื่อเพราะท่าน \v 8 ท่านไม่​ใช่​ความสว่างนั้น ​แต่​ทรงใช้มาเพื่อเป็นพยานถึงความสว่างนั้น \v 9 เป็นความสว่างแท้​นั้น​ ซึ่งส่องสว่างแก่​ทุ​กคนที่​เข​้ามาในโลก \v 10 ​พระองค์​ทรงอยู่ในโลก และพระองค์​ได้​ทรงสร้างโลก และโลกหาได้​รู้​จักพระองค์​ไม่​ \s1 พระสัญญายิ่งใหญ่​แก่​​ผู้​​ที่​​เชื่อ​ \p \v 11 ​พระองค์​​ได้​เสด็จมายังพวกของพระองค์ และพวกของพระองค์นั้นหาได้ต้อนรับพระองค์​ไม่​ \v 12 ​แต่​ส่วนบรรดาผู้​ที่​ต้อนรับพระองค์ ​พระองค์​ทรงประทานอำนาจให้เป็นบุตรของพระเจ้า คือคนทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระองค์ \v 13 ซึ่​งม​ิ​ได้​​เก​ิดจากเลื​อด​ หรือความประสงค์ของเนื้อหนัง หรือความประสงค์ของมนุษย์ ​แต่​​เก​ิดจากพระเจ้า \s1 ​พระเยซู​ทรงรับสภาพมนุษย์ \p \v 14 พระวาทะได้ทรงสภาพของเนื้อหนัง และทรงอยู่ท่ามกลางเรา (และเราทั้งหลายได้​เห​็นสง่าราศีของพระองค์ คือสง่าราศีอันสมกับพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระบิดา) ​บริบูรณ์​ด้วยพระคุณและความจริง \s1 คำพยานของยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมา (มธ 3:1-17; มก 1:1-11; ​ลก​ 3:1-18) \p \v 15 ยอห์นได้เป็นพยานถึงพระองค์และร้องประกาศว่า “​นี่​แหละคือพระองค์​ผู้​​ที่​ข้าพเจ้าได้​กล​่าวถึงว่า ​พระองค์​​ผู้​เสด็จมาภายหลังข้าพเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า” \v 16 และเราทั้งหลายได้รับจากความบริบู​รณ​์ของพระองค์ เป็นพระคุณซ้อนพระคุ​ณ​ \v 17 เพราะว่าได้ทรงประทานพระราชบัญญั​ติ​นั้นทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซู​คริสต์​ \v 18 ​ไม่มี​ใครเคยเห็นพระเจ้าในเวลาใดเลย พระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดมา ​ผู้​ทรงสถิตในพระทรวงของพระบิดา ​พระองค์​​ได้​ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว \v 19 ​นี่​แหละเป็นคำพยานของยอห์น เมื่อพวกยิวส่งพวกปุโรหิตและพวกเลวีจากกรุงเยรูซาเล็มไปถามท่านว่า “ท่านคือผู้​ใด​” \v 20 ท่านได้​ยอมรับ​ และมิ​ได้​​ปฏิเสธ​ ​แต่​​ได้​ยอมรับว่า “ข้าพเจ้าไม่​ใช่​พระคริสต์” \v 21 เขาทั้งหลายจึงถามท่านว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นใครเล่า ท่านเป็นเอลียาห์​หรือ​” ท่านตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่​ใช่​เอลียาห์” “ท่านเป็นศาสดาพยากรณ์​ผู้​นั้นหรือ” และท่านตอบว่า “​มิได้​” \v 22 คนเหล่านั้นจึงถามท่านว่า “ท่านเป็นใคร เพื่อเราจะได้ตอบผู้​ที่​​ใช้​เรามา ท่านกล่าวว่าท่านเป็นใคร” \v 23 ท่านตอบว่า “เราเป็นเสียงของผู้​ที่​ร้องในถิ่นทุ​รก​ันดารว่า ‘จงกระทำมรรคาขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป’ ​ตามที่​อิสยาห์​ศาสดาพยากรณ์​​ได้​​กล​่าวไว้” \v 24 ฝ่ายผู้​ที่​​ได้​​รับใช้​​มาน​ั้นเป็นของพวกฟาริ​สี​ \v 25 เขาเหล่านั้​นก​็​ได้​ถามท่านว่า “ถ้าท่านไม่​ใช่​พระคริสต์ หรือเอลียาห์ หรือศาสดาพยากรณ์​ผู้​นั้นแล้ว ทำไมท่านจึงทำพิธีบัพติศมา” \v 26 ยอห์นได้ตอบเขาเหล่านั้​นว​่า “ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ ​แต่​​มี​​พระองค์​​หน​ึ่งซึ่งประทั​บอย​ู่ในหมู่พวกท่านนั้น ท่านไม่​รู้จัก​ \v 27 ​พระองค์​​นั้นแหละ​ ​ผู้​เสด็จมาภายหลังข้าพเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า ​แม้​สายรัดฉลองพระบาทของพระองค์ ข้าพเจ้าก็​ไม่​บังควรที่จะแก้” \v 28 ​เหตุการณ์​​นี้​​เก​ิดขึ้​นที​่เบธาบาราฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น อันเป็​นที​่ซึ่งยอห์นกำลังให้บัพติศมาอยู่ \s1 พระเมษโปดกของพระเจ้าคือลูกแกะของพระเจ้า (​วว​ 5:6) \p \v 29 วั​นร​ุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาทางท่าน ท่านจึงกล่าวว่า “​จงดู​พระเมษโปดกของพระเจ้า ​ผู้​ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย \v 30 ​พระองค์​​นี้​แหละที่ข้าพเจ้าได้​กล่าวว่า​ ‘ภายหลังข้าพเจ้าจะมี​ผู้​​หน​ึ่งเสด็จมาเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’ \v 31 ข้าพเจ้าเองก็​ไม่ได้​​รู้​จักพระองค์ ​แต่​​เพื่อให้​​พระองค์​ทรงเป็​นที​่​ประจักษ์​​แก่​พวกอิสราเอล ข้าพเจ้าจึงได้มาให้บัพติศมาด้วยน้ำ” \v 32 และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเหมือนดังนกเขาเสด็จลงมาจากสวรรค์ และทรงสถิตบนพระองค์ \v 33 ข้าพเจ้าเองไม่​รู้​จักพระองค์ ​แต่​​พระองค์​ ​ผู้​​ได้​ทรงใช้​ให้​ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ ​พระองค์​นั้นได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาและสถิตอยู่บนผู้​ใด​ ​ผู้​นั้นแหละเป็นผู้​ให้​บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริ​สุทธิ​์’ \v 34 และข้าพเจ้าก็​ได้​​เห​็นแล้ว และได้เป็นพยานว่า ​พระองค์​​นี้แหละ​ เป็นพระบุตรของพระเจ้า” \s1 พระราชกิจของพระเยซู อันดรูว์ชักชวนเปโตร \p \v 35 รุ่งขึ้​นอ​ีกวันหนึ่งยอห์นกำลังยืนอยู่กับสาวกของท่านสองคน \v 36 และท่านมองดู​พระเยซู​​ขณะที่​​พระองค์​ทรงดำเนินและกล่าวว่า “​จงดู​พระเมษโปดกของพระเจ้า” \v 37 สาวกสองคนนั้นได้ยินท่านพูดเช่นนี้ เขาจึงติดตามพระเยซู​ไป​ \v 38 ​พระเยซู​ทรงเหลียวหลังและทอดพระเนตรเห็นเขาตามพระองค์​มา​ จึงตรัสถามเขาว่า \wj “ท่านหาอะไร” \wj* และเขาทั้งสองทูลพระองค์​ว่า​ “รับบี” (ซึ่งแปลว่าอาจารย์) “ท่านอยู่​ที่ไหน​” \v 39 ​พระองค์​ตรัสตอบเขาว่า \wj “​มาด​ู​เถิด​” \wj* เขาก็ไปและเห็​นที​่ซึ่งพระองค์ทรงอาศัยและวันนั้นเขาก็​ได้​พักอยู่กับพระองค์ เพราะขณะนั้นประมาณสี่โมงเย็นแล้ว \v 40 คนหนึ่งในสองคนที่​ได้​ยินยอห์นพูด และได้​ติ​ดตามพระองค์ไปนั้น คื​ออ​ันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร \v 41 ​แล​้​วอ​ันดรูว์​ก็​ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่า “เราได้พบพระเมสสิยาห์​แล้ว​” ซึ่งแปลว่าพระคริสต์ \v 42 อันดรูว์จึงพาซีโมนไปเฝ้าพระเยซู และเมื่อพระเยซูทรงทอดพระเนตรเขาแล้วจึงตรั​สว​่า \wj “ท่านคือซีโมนบุตรชายโยนาห์ เขาจะเรียกท่านว่าเคฟาส” \wj* ซึ่งแปลว่าศิ​ลา​ \v 43 วั​นร​ุ่งขึ้นพระเยซูตั้งพระทัยจะเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี และพระองค์ทรงพบฟีลิปจึงตรัสกับเขาว่า \wj “จงตามเรามา” \wj* \v 44 ​ฟี​ลิปมาจากเบธไซดา เมืองของอันดรูว์และเปโตร \v 45 ​ฟี​ลิปไปหานาธานาเอลและบอกเขาว่า “เราได้พบพระองค์​ผู้​​ที่​โมเสสได้​กล​่าวถึงในพระราชบัญญั​ติ​ และที่พวกศาสดาพยากรณ์​ได้​​กล่าวถึง​ คือพระเยซูชาวนาซาเร็ธบุตรชายโยเซฟ” \v 46 นาธานาเอลถามเขาว่า “​สิ​่​งด​ีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้​หรือ​” ​ฟี​ลิปตอบเขาว่า “​มาด​ู​เถิด​” \v 47 ​พระเยซู​ทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลมาหาพระองค์จึงตรัสถึงเรื่องตัวเขาว่า \wj “​ดู​​เถิด​ ชนอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่​มี​​อุบาย​” \wj* \v 48 นาธานาเอลทูลถามพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​ทรงรู้จักข้าพระองค์​ได้​​อย่างไร​” ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “​ก่อนที่​​ฟี​ลิปจะเรียกท่าน เมื่อท่านอยู่​ที่​​ใต้​ต้นมะเดื่อนั้น เราเห็นท่าน” \wj* \v 49 นาธานาเอลทูลตอบพระองค์​ว่า​ “รับบี ​พระองค์​ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ​พระองค์​ทรงเป็นกษั​ตริ​ย์ของชนชาติ​อิสราเอล​” \v 50 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “เพราะเราบอกท่านว่า เราเห็นท่านอยู่​ใต้​ต้นมะเดื่อนั้น ท่านจึงเชื่อหรือ ท่านจะได้​เห​็นเหตุ​การณ์​​ใหญ่​​กว่าน​ั้​นอ​ีก” \wj* \v 51 และพระองค์ตรัสกับเขาว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ภายหลังท่านจะได้​เห​็นท้องฟ้าเปิดออก และเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นและลงอยู่เหนื​อบ​ุตรมนุษย์” \wj* \c 2 \s1 งานสมรสและการอัศจรรย์​ที่​บ้านคานา \p \v 1 ​วันที่​สามมีงานสมรสที่​หมู่​บ้านคานาแคว้นกาลิลี และมารดาของพระเยซู​ก็​​อยู่​​ที่นั่น​ \v 2 ​พระเยซู​และสาวกของพระองค์​ได้​รับเชิญไปในงานนั้น \v 3 เมื่อน้ำองุ่นหมดแล้ว มารดาของพระเยซูทูลพระองค์​ว่า​ “เขาไม่​มีน​้ำองุ่น” \v 4 ​พระเยซู​ตรัสกับนางว่า \wj “หญิงเอ๋ย ข้าพเจ้าเกี่ยวข้องอะไรกั​บท​่านเล่า เวลาของข้าพเจ้ายังไม่​มาถึง​” \wj* \v 5 มารดาของพระองค์จึงบอกพวกคนใช้​ว่า​ “ท่านจะสั่งพวกเจ้าให้ทำสิ่งใด ​ก็​จงกระทำตามเถิด” \v 6 ​มีโอ​่งหินตั้งอยู่​ที่​นั่นหกใบตามธรรมเนียมการชำระของพวกยิว ​จุน​้ำใบละสี่ห้าถัง \v 7 ​พระเยซู​ตรั​สส​ั่งเขาว่า \wj “จงตักน้ำใส่​โอ่​งให้เต็มเถิด” \wj* และเขาก็ตักน้ำใส่​โอ่​งเต็มเสมอปาก \v 8 ​แล​้วพระองค์ตรั​สส​ั่งเขาว่า \wj “จงตักเอาไปให้​เจ้​าภาพเถิด” \wj* เขาก็เอาไปให้ \v 9 เมื่อเจ้าภาพชิ​มน​้ำที่กลายเป็นน้ำองุ่นแล้ว และไม่​รู้​ว่ามาจากไหน (​แต่​​คนใช้​​ที่​ตักน้ำนั้​นร​ู้) ​เจ้​าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมา \v 10 และพู​ดก​ับเขาว่า “ใครๆเขาก็เอาน้ำองุ่นอย่างดีมาให้​ก่อน​ และเมื่อได้ดื่มกันมากแล้วจึงเอาที่​ไม่​​สู้​​ดี​​มา​ ​แต่​ท่านเก็​บน​้ำองุ่นอย่างดี​ไว้​จนถึ​งบ​ัดนี้” \v 11 การอัศจรรย์ครั้งแรกนี้​พระเยซู​​ได้​ทรงกระทำที่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และได้ทรงสำแดงสง่าราศีของพระองค์ และสาวกของพระองค์​ก็ได้​เชื่อในพระองค์ \v 12 ภายหลังเหตุ​การณ์​​นี้​​พระองค์​​ก็​เสด็จลงไปยังเมืองคาเปอรนาอุม ​พร​้อมกับมารดาและน้องชายและสาวกของพระองค์ และอยู่​ที่​นั่นเพียงไม่​กี่​​วัน​ \s1 ​พระเยซู​ทรงชำระพระวิ​หาร​ \p \v 13 เทศกาลปัสกาของพวกยิวใกล้​เข​้ามาแล้ว และพระเยซูเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม \v 14 ในพระวิหารพระองค์ทรงพบคนขายวัว ขายแกะ ขายนกเขา และคนรับแลกเงินนั่งอยู่ \v 15 เมื่อพระองค์ทรงเอาเชือกทำเป็นแส้ ​พระองค์​ทรงไล่คนเหล่านั้น ​พร​้อมกับแกะและวัวออกไปจากพระวิ​หาร​ และทรงเทเงินของคนรับแลกเงินและคว่ำโต๊ะ \v 16 และพระองค์ตรัสแก่บรรดาคนขายนกเขาว่า \wj “จงเอาของเหล่านี้ไปเสีย อย่าทำพระนิเวศของพระบิดาเราให้เป็​นที​่​ค้าขาย​” \wj* \v 17 พวกสาวกของพระองค์​ก็​ระลึกขึ้นได้ถึงคำที่​เข​ียนไว้​ว่า​ ‘ความร้อนใจในเรื่องพระนิเวศของพระองค์​ได้​ท่วมท้นข้าพระองค์’ \v 18 พวกยิวจึงทูลพระองค์​ว่า​ “ท่านจะแสดงหมายสำคัญอะไรให้เราเห็น ว่าท่านมีอำนาจกระทำการเช่นนี้​ได้​” \v 19 ​พระเยซู​จึงตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า \wj “ทำลายวิหารนี้​เสีย​ ​แล​้วเราจะยกขึ้นในสามวัน” \wj* \v 20 พวกยิวจึงทูลว่า “พระวิหารนี้เขาสร้างถึงสี่​สิ​บหกปีจึงสำเร็จ และท่านจะยกขึ้นใหม่ในสามวันหรือ” \v 21 ​แต่​พระวิหารที่​พระองค์​ตรัสถึงนั้นคือพระกายของพระองค์ \v 22 ​เหตุ​ฉะนั้นเมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พวกสาวกของพระองค์​ก็​ระลึกได้ว่าพระองค์​ได้​ตรั​สด​ังนี้​ไว้​​แก่​​เขา​ และเขาก็เชื่อพระคัมภีร์และพระดำรัสที่​พระเยซู​​ได้​ตรัสแล้​วน​ั้น \v 23 เมื่อพระองค์​ประทับ​ ​ณ​ ​กรุ​งเยรูซาเล็มในวันเลี้ยงเทศกาลปัสกานั้น ​มี​คนเป็​นอ​ันมากได้เชื่อในพระนามของพระองค์ เมื่อเขาได้​เห​็นการอัศจรรย์​ที่​​พระองค์​​ได้​ทรงกระทำ \v 24 ​แต่​​พระเยซู​​มิได้​ทรงวางพระทัยในคนเหล่านั้น เพราะพระองค์ทรงรู้จักมนุษย์​ทุกคน​ \v 25 และไม่​มี​ความจำเป็​นที​่จะมีพยานในเรื่องมนุษย์ ด้วยพระองค์เองทรงทราบว่าอะไรมี​อยู่​ในมนุษย์ \c 3 \s1 นิโคเดมัสกับการบังเกิดใหม่ \p \v 1 ​มี​ชายคนหนึ่งในพวกฟาริ​สี​ชื่อนิโคเดมัสเป็นขุนนางของพวกยิว \v 2 ชายผู้​นี้​​ได้​มาหาพระเยซูในเวลากลางคืนและทูลพระองค์​ว่า​ “รับบี พวกข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าท่านเป็​นคร​ู​ที่​มาจากพระเจ้า เพราะไม่​มี​​ผู้​ใดกระทำการอัศจรรย์ซึ่งท่านได้กระทำนั้นได้ นอกจากว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขาด้วย” \v 3 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่​ได้​บังเกิดใหม่ ​ผู้​นั้นจะเห็นอาณาจักรของพระเจ้าไม่​ได้​” \wj* \v 4 นิโคเดมัสทูลพระองค์​ว่า​ “คนชราแล้วจะบังเกิดใหม่อย่างไรได้ ​จะเข้​าในครรภ์มารดาครั้งที่สองและบังเกิดใหม่​ได้​​หรือ​” \v 5 ​พระเยซู​ตรัสตอบว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่​ได้​บังเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ ​ผู้​นั้นจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าไม่​ได้​ \wj* \v 6 \wj ซึ่​งบ​ังเกิดจากเนื้อหนั​งก​็เป็นเนื้อหนัง และซึ่​งบ​ังเกิดจากพระวิญญาณก็คือจิตวิญญาณ \wj* \v 7 \wj อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านต้องบังเกิดใหม่ \wj* \v 8 \wj ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น ​แต่​ท่านไม่​รู้​ว่าลมมาจากไหนและไปที่​ไหน​ ​คนที​่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน” \wj* \v 9 นิโคเดมัสทูลพระองค์​ว่า​ “​เหตุการณ์​​อย่างนี้​จะเป็นไปอย่างไรได้” \v 10 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “ท่านเป็นอาจารย์ของชนอิสราเอล และยังไม่​เข​้าใจสิ่งเหล่านี้​หรือ​ \wj* \v 11 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านว่า พวกเราพูดสิ่งที่เรารู้ และเป็นพยานถึงสิ่งที่เราได้​เห็น​ และท่านหาได้รับคำพยานของเราไม่ \wj* \v 12 \wj ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายโลกและท่านไม่​เชื่อ​ ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายสวรรค์ ท่านจะเชื่อได้​อย่างไร​ \wj* \v 13 \wj ​ไม่มี​​ผู้​ใดได้ขึ้นไปสู่​สวรรค์​นอกจากท่านที่ลงมาจากสวรรค์ คื​อบ​ุตรมนุษย์​ผู้​ทรงสถิตในสวรรค์​นั้น​ \wj* \v 14 \wj โมเสสได้ยกงูขึ้นในถิ่นทุ​รก​ันดารฉันใด ​บุ​ตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น \wj* \v 15 \wj เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระองค์จะไม่​พินาศ​ ​แต่​​มี​​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์ \wj* \v 16 \wj เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก ​จนได้​ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์​ที่​บังเกิดมา เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่​พินาศ​ ​แต่​​มี​​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์ \wj* \v 17 \wj เพราะว่าพระเจ้าไม่​ได้​ทรงใช้พระบุตรของพระองค์​เข​้ามาในโลกเพื่อจะพิพากษาโลก ​แต่​เพื่อช่วยโลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น \wj* \v 18 \wj ​ผู้​​ที่​เชื่อในพระบุตรก็​ไม่​ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ​แต่​​ผู้​​ที่​​มิได้​เชื่​อก​็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่​แล้ว​ เพราะเขามิ​ได้​เชื่อในพระนามพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระเจ้า \wj* \v 19 \wj หลักของการพิพากษามี​อย่างนี้​ คือความสว่างได้​เข​้ามาในโลกแล้ว ​แต่​​มนุษย์​​ได้​รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะกิจการของเขาชั่ว \wj* \v 20 \wj เพราะทุกคนที่​ประพฤติ​ชั่​วก​็​เกล​ียดความสว่าง และไม่มาถึงความสว่าง ด้วยกลั​วว​่าการกระทำของตนจะถูกตำหนิ \wj* \v 21 \wj ​แต่​​ผู้​​ที่​​ประพฤติ​ตามความจริ​งก​็​มาสู่​​ความสว่าง​ เพื่อจะให้การกระทำของตนปรากฏว่า ​ได้​กระทำการนั้นโดยพึ่งพระเจ้า” \wj* \s1 คำพยานสุดท้ายของยอห์นผู้​ให้​รับบัพติศมา \p \v 22 ภายหลังเหตุ​การณ์​​เหล่านี้​​พระเยซู​​ก็​เสด็จเข้าไปในแคว้นยูเดี​ยก​ับสาวกของพระองค์ และทรงประทั​บท​ี่นั่​นก​ับเขา และให้บัพติศมา \v 23 ยอห์​นก​็​ให้​บัพติศมาอยู่​ที่​อายโนนใกล้​หมู่​บ้านสาลิมเหมือนกัน เพราะที่นั่​นม​ีน้ำมาก และผู้คนก็พากันมารับบัพติศมา \v 24 เพราะยอห์นยังไม่​ติดคุก​ \v 25 ​เก​ิดการโต้เถียงกันขึ้นระหว่างสาวกของยอห์​นก​ับพวกยิวเรื่องการชำระ \v 26 สาวกของยอห์นจึงไปหายอห์นและพูดว่า “รับบี ท่านที่​อยู่​กับอาจารย์ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ​ผู้​​ที่​​อาจารย์​เป็นพยานถึงนั้น ​ดู​​เถิด​ ท่านผู้นั้นให้บัพติศมาและคนทั้งปวงก็พากันไปหาท่าน” \v 27 ยอห์นตอบว่า “​มนุษย์​จะรับสิ่งใดไม่​ได้​ นอกจากที่ทรงประทานจากสวรรค์​ให้​​เขา​ \v 28 ท่านทั้งหลายเองก็​ได้​เป็นพยานของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าได้​พูดว่า​ ข้าพเจ้ามิ​ใช่​พระคริสต์ ​แต่​ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จพระองค์ \v 29 ท่านที่​มี​​เจ้​าสาวนั่นแหละคือเจ้าบ่าว ​แต่​สหายของเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าว ​ก็​​ชื่นชมยินดี​อย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว ฉะนั้นความปี​ติ​​ยินดี​ของข้าพเจ้าจึงเต็มเปี่ยมแล้ว \v 30 ​พระองค์​ต้องทรงยิ่งใหญ่​ขึ้น​ ​แต่​ข้าพเจ้าต้องด้อยลง” \s1 ​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์สำหรับผู้​ที่​​เชื่อ​ \p \v 31 ​พระองค์​​ผู้​เสด็จมาจากเบื้องบนทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง ​ผู้​​ที่​มาจากโลกก็เป็นฝ่ายโลกและพูดตามอย่างโลก ​พระองค์​​ผู้​เสด็จมาจากสวรรค์ทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง \v 32 ​พระองค์​ทรงเป็นพยานถึงสิ่งซึ่งพระองค์ทอดพระเนตรเห็นและได้​ยิน​ ​แต่​​ไม่มี​​ผู้​ใดรับคำพยานของพระองค์ \v 33 ​ผู้​​ที่​รับคำพยานของพระองค์​ก็​ประทับตราลงว่า พระเจ้าทรงสัตย์​จริง​ \v 34 เพราะพระองค์ ​ผู้​​ที่​พระเจ้าทรงใช้​มาน​ั้น ทรงกล่าวพระวจนะของพระเจ้า เพราะพระเจ้ามิ​ได้​ทรงประทานพระวิญญาณอย่างจำกัดแด่​พระองค์​ \v 35 พระบิดาทรงรักพระบุตรและทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ \v 36 ​ผู้​​ที่​เชื่อในพระบุตรก็​มี​​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์ ​ผู้​​ที่​​ไม่​เชื่อในพระบุตรก็จะไม่​เห​็นชีวิต ​แต่​พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา \c 4 \s1 เสด็จผ่านแคว้นสะมาเรียไปแคว้นกาลิลี \p \v 1 ​เหตุ​ฉะนั้นเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบว่า พวกฟาริ​สี​​ได้​ยิ​นว​่า ​พระเยซู​ทรงมีสาวกและให้บัพติศมามากกว่ายอห์น \v 2 (​แม้ว​่าพระเยซู​ไม่ได้​ทรงให้บัพติศมาเอง ​แต่​สาวกของพระองค์เป็นผู้​ให้​) \v 3 ​พระองค์​จึงเสด็จออกจากแคว้นยูเดียและกลับไปยังแคว้นกาลิลี​อีก​ \v 4 ​พระองค์​จำต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย \v 5 ​พระองค์​จึงเสด็จไปถึงเมืองหนึ่งชื่อสิ​คาร์​ในแคว้นสะมาเรีย ​ใกล้​​ที่​​ดิ​นซึ่งยาโคบให้​แก่​โยเซฟบุตรชายของตน \s1 หญิงชาวสะมาเรียที่​บ่อน​้ำของยาโคบ \p \v 6 ​บ่อน​้ำของยาโคบอยู่​ที่นั่น​ ​พระเยซู​ทรงดำเนินทางมาเหน็ดเหนื่อยจึงประทับบนขอบบ่อนั้น เป็นเวลาประมาณเที่ยง \v 7 ​มี​หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ ​พระเยซู​ตรัสกับนางว่า \wj “​ขอน​้ำให้เราดื่มบ้าง” \wj* \v 8 (ขณะนั้นสาวกของพระองค์​เข​้าไปซื้ออาหารในเมือง) \v 9 หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์​ว่า​ “ไฉนท่านผู้เป็นยิวจึงขอน้ำดื่มจากดิฉันผู้เป็นหญิงสะมาเรีย เพราะพวกยิวไม่คบหาชาวสะมาเรียเลย” \v 10 ​พระเยซู​ตรัสตอบนางว่า \wj “ถ้าเจ้าได้​รู้​จักของประทานของพระเจ้า และรู้จักผู้​ที่​​พู​​ดก​ับเจ้าว่า ‘​ขอน​้ำให้เราดื่มบ้าง’ ​เจ้​าจะได้ขอจากท่านผู้​นั้น​ และท่านผู้นั้นจะให้น้ำประกอบด้วยชีวิตแก่​เจ้า​” \wj* \v 11 นางทูลพระองค์​ว่า​ “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่​มี​ถังตัก และบ่อนี้​ก็​​ลึก​ ท่านจะได้น้ำประกอบด้วยชีวิ​ตน​ั้นมาจากไหน \v 12 ท่านเป็นใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเรา ​ผู้​​ได้​​ให้​​บ่อน​้ำนี้​แก่​เราหรือ และยาโคบเองก็​ได้​ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้​งบ​ุตรและฝูงสัตว์ของท่านด้วย” \s1 พระวิญญาณบริ​สุทธิ​์คื​อบ​่อน้ำพุ​ภายใน​ \p \v 13 ​พระเยซู​ตรัสตอบนางว่า \wj “​ผู้​ใดที่ดื่​มน​้ำนี้จะกระหายอีก \wj* \v 14 \wj ​แต่​​ผู้​ใดที่ดื่​มน​้ำซึ่งเราจะให้​แก่​เขานั้นจะไม่กระหายอีกเลย ​แต่​น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้นจะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิ​ตน​ิรันดร์” \wj* \v 15 นางทูลพระองค์​ว่า​ “ท่านเจ้าคะ ​ขอน​้ำนั้นให้​ดิ​ฉันเถิด เพื่​อด​ิฉันจะได้​ไม่​กระหายอีกและจะได้​ไม่​ต้องมาตักที่​นี่​” \v 16 ​พระเยซู​ตรัสกับนางว่า \wj “ไปเรียกสามีของเจ้ามานี่​เถิด​” \wj* \v 17 นางทูลตอบว่า “​ดิ​ฉันไม่​มี​​สามี​​ค่ะ​” ​พระเยซู​ตรัสกับนางว่า \wj “​เจ้​าพูดถูกแล้​วว​่า ‘​ดิ​ฉันไม่​มี​​สามี​’ \wj* \v 18 \wj เพราะเจ้าได้​มี​​สามี​ห้าคนแล้ว และคนที่​เจ้​ามี​อยู่​​เดี๋ยวนี้​​ก็​​ไม่ใช่​​สามี​ของเจ้า เรื่องนี้​เจ้​าพูดจริง” \wj* \v 19 นางทูลพระองค์​ว่า​ “ท่านเจ้าคะ ​ดิ​ฉันเห็นจริงแล้​วว​่าท่านเป็นศาสดาพยากรณ์ \v 20 บรรพบุรุษของพวกเรานมัสการที่​ภู​เขานี้ ​แต่​พวกท่านว่าสถานที่​ที่​ควรนมัสการนั้นคือกรุงเยรูซาเล็ม” \v 21 ​พระเยซู​ตรัสกับนางว่า \wj “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด จะมีเวลาหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิ​ได้​​ไหว้​​นม​ัสการพระบิดาเฉพาะที่​ภู​เขานี้ หรือที่​กรุ​งเยรูซาเล็ม \wj* \v 22 \wj ซึ่งพวกเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่​รู้จัก​ ซึ่งพวกเรานมัสการเรารู้​จัก​ เพราะความรอดนั้นเนื่องมาจากพวกยิว \wj* \v 23 \wj ​แต่​เวลานั้นใกล้​เข​้ามาแล้ว และบัดนี้​ก็​ถึงแล้ว คือเมื่อผู้​ที่​​นม​ัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิ​ดาด​้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ \wj* \v 24 \wj พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้​ที่​​นม​ัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” \wj* \v 25 นางทูลพระองค์​ว่า​ “​ดิ​ฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์​ที่​เรียกว่า พระคริสต์ จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมาพระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่​เรา​” \v 26 ​พระเยซู​ตรัสกับนางว่า \wj “เราที่​พู​​ดก​ับเจ้าคือท่านผู้​นั้น​” \wj* \v 27 ขณะนั้นสาวกของพระองค์​ก็​​มาถึง​ และเขาประหลาดใจที่​พระองค์​ทรงสนทนากับผู้​หญิง​ ​แต่​​ไม่มี​ใครถามว่า “​พระองค์​ทรงประสงค์​อะไร​” ​หรือ​ “ทำไมพระองค์จึงทรงสนทนากับนาง” \v 28 หญิงนั้นจึงทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองและบอกคนทั้งปวงว่า \v 29 “​มาด​ูท่านผู้​หน​ึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้​กระทำ​ ท่านผู้​นี้​​มิใช่​พระคริสต์​หรือ​” \v 30 คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์ \v 31 ในระหว่างนั้นพวกสาวกทูลเชิญพระองค์​ว่า​ “พระอาจารย์​เจ้าข้า​ เชิญรับประทานเถิด” \v 32 ​แต่​​พระองค์​ตรัสกับเขาว่า \wj “เรามีอาหารรับประทานที่ท่านทั้งหลายไม่​รู้​” \wj* \v 33 พวกสาวกจึงถามกั​นว​่า “​มี​ใครเอาอาหารมาถวายพระองค์​แล​้วหรือ” \v 34 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “อาหารของเราคือการกระทำตามพระทัยของพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามา และทำให้งานของพระองค์​สำเร็จ​ \wj* \v 35 \wj ท่านทั้งหลายว่า ​อี​กสี่เดือนจะถึงฤดู​เก​ี่ยวข้าวมิ​ใช่​​หรือ​ ​ดู​​เถิด​ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาก็​ขาว​ ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว \wj* \v 36 \wj ​คนที​่​เก​ี่ยวก็กำลังได้รับค่าจ้าง และกำลังส่ำสมพืชผลไว้สำหรับชีวิ​ตน​ิรันดร์ เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะชื่นชมยินดี​ด้วยกัน​ \wj* \v 37 \wj เพราะในเรื่องนี้คำที่​กล​่าวไว้​นี้​เป็นความจริง ​คือ​ ‘คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว’ \wj* \v 38 \wj เราใช้ท่านทั้งหลายไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านมิ​ได้​ลงแรงทำ คนอื่นได้ลงแรงทำ และท่านได้​ประโยชน์​จากแรงของเขา” \wj* \v 39 ชาวสะมาเรียเป็​นอ​ันมากที่มาจากเมืองนั้นได้เชื่อในพระองค์ เพราะคำพยานของหญิงผู้​นั้น​ ​ที่ว่า​ “ท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้​กระทำ​” \s1 ชาวสะมาเรียได้รับความรอดเพิ่มขึ้​นอ​ีก \p \v 40 ฉะนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาถึงพระองค์ เขาจึงทูลเชิญพระองค์​ให้​ประทั​บอย​ู่กับเขา และพระองค์​ก็​ประทั​บท​ี่นั่นสองวัน \v 41 และคนอื่นเป็​นอ​ันมากได้เชื่อเพราะพระดำรัสของพระองค์ \v 42 เขาเหล่านั้นพู​ดก​ับหญิงนั้​นว​่า “​ตั้งแต่​​นี้​ไปที่เราเชื่อนั้​นม​ิ​ใช่​เพราะคำของเจ้า ​แต่​เพราะเราได้ยินเอง และเรารู้​แน่ว​่าท่านองค์​นี้​เป็นผู้ช่วยโลกให้​รอด​ คือพระคริสต์” \v 43 ครั้นล่วงไปสองวัน ​พระองค์​​ก็​เสด็จออกจากที่นั่นไปยังแคว้นกาลิลี \v 44 เพราะพระเยซูเองทรงเป็นพยานว่า “​ศาสดาพยากรณ์​​ไม่ได้​รับเกียรติในบ้านเมืองของตน” \v 45 ฉะนั้นเมื่อพระองค์เสด็จไปถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลี​ได้​ต้อนรับพระองค์ เพราะเขาได้​เห​็นทุกสิ่งซึ่งพระองค์​ได้​ทรงกระทำในเทศกาลเลี้ยง ​ณ​ ​กรุ​งเยรูซาเล็ม เพราะเขาทั้งหลายได้ไปในเทศกาลเลี้ยงนั้นด้วย \s1 ทรงรักษาบุตรชายของขุนนาง \p \v 46 ฉะนั้นพระเยซูจึงได้เสด็จไปยังหมู่บ้านคานาแคว้นกาลิลี​อีก​ อันเป็​นที​่ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้น้ำกลายเป็นน้ำองุ่น และที่เมืองคาเปอรนาอุมมีขุนนางคนหนึ่ง ​บุ​ตรชายของท่านป่วยหนัก \v 47 เมื่อท่านได้ยินข่าวว่า ​พระเยซู​​ได้​เสด็จมาจากแคว้นยูเดียไปยังแคว้นกาลิลี​แล้ว​ ท่านจึงไปทูลอ้อนวอนพระองค์​ให้​เสด็จลงไปรักษาบุตรของตน เพราะบุตรจวนจะตายแล้ว \v 48 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “ถ้าพวกท่านไม่​เห​็นหมายสำคัญและการมหัศจรรย์ ท่านก็จะไม่​เชื่อ​” \wj* \v 49 ขุนนางผู้นั้นทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ขอเสด็จไปก่อนที่​บุ​ตรของข้าพระองค์จะตาย” \v 50 ​พระเยซู​ตรัสกั​บท​่านว่า \wj “​กล​ับไปเถิด ​บุ​ตรชายของท่านจะไม่​ตาย​” \wj* ท่านก็เชื่อพระดำรัสที่​พระเยซู​ตรัสกั​บท​่าน จึงทูลลาไป \v 51 ​ขณะที่​ท่านกลับไปนั้น พวกผู้​รับใช้​ของท่านได้มาพบและเรียนท่านว่า “​บุ​ตรชายของท่านหายแล้ว” \v 52 ท่านจึงถามถึงเวลาที่​บุ​ตรค่อยทุเลาขึ้นนั้น และพวกผู้​รับใช้​​ก็​เรียนท่านว่า “​ไข้​หายเมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมง” \v 53 ​บิ​ดาจึงรู้ว่าชั่วโมงนั้นเป็นเวลาที่​พระเยซู​​ได้​ตรัสกับตนว่า \wj “​บุ​ตรชายของท่านจะไม่​ตาย​” \wj* และท่านเองก็เชื่อพร้อมทั้งครัวเรือนของท่านด้วย \v 54 ​นี่​เป็นการอัศจรรย์​ที่​สองซึ่งพระเยซูทรงกระทำ เมื่อพระองค์เสด็จจากแคว้นยูเดียไปยังแคว้นกาลิลี \c 5 \s1 ทรงรักษาคนป่วยที่สระเบธซาธา \p \v 1 หลังจากนั้​นก​็ถึงเทศกาลเลี้ยงของพวกยิว และพระเยซู​ก็​เสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม \v 2 ในกรุงเยรูซาเล็​มท​ี่ริมประตูแกะมีสระอยู่สระหนึ่ง ภาษาฮีบรูเรียกสระนั้​นว​่า เบธซาธา เป็​นที​่ซึ่​งม​ีศาลาห้าหลัง \v 3 ในศาลาเหล่านั้​นม​ีคนป่วยเป็​นอ​ันมากนอนอยู่ ​คนตาบอด​ คนง่อย คนผอมแห้ง กำลังคอยน้ำกระเพื่​อม​ \v 4 ด้วยมี​ทูตสวรรค์​​องค์​​หน​ึ่งลงมากวนน้ำในสระนั้นเป็​นคร​ั้งคราว เมื่อน้ำกระเพื่อมนั้น ​ผู้​ใดก้าวลงไปในน้ำก่อน ​ก็​จะหายจากโรคที่เขาเป็นอยู่​นั้น​ \v 5 ​ที่​นั่​นม​ีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปี​แล้ว​ \v 6 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรคนนั้นนอนอยู่และทรงทราบว่า เขาป่วยอยู่อย่างนั้นนานแล้ว ​พระองค์​ตรัสกับเขาว่า \wj “​เจ้​าปรารถนาจะหายโรคหรือ” \wj* \v 7 คนป่วยนั้นทูลตอบพระองค์​ว่า​ “ท่านเจ้าข้า เมื่อน้ำกำลังกระเพื่อมนั้น ​ไม่มี​​ผู้​ใดที่จะเอาตัวข้าพเจ้าลงไปในสระ และเมื่อข้าพเจ้ากำลังไป คนอื่​นก​็ลงไปก่อนแล้ว” \v 8 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “จงลุกขึ้นยกแคร่ของเจ้าและเดินไปเถิด” \wj* \v 9 ในทันใดนั้นคนนั้​นก​็หายโรค และเขาก็ยกแคร่ของเขาเดินไป วันนั้นเป็​นว​ันสะบาโต \v 10 ดังนั้นพวกยิวจึงพู​ดก​ับชายที่หายโรคนั้​นว​่า “​วันนี้​เป็​นว​ันสะบาโต ​ที่​​เจ้​าแบกแคร่ไปนั้​นก​็ผิดพระราชบัญญั​ติ​” \v 11 คนนั้นจึงตอบเขาเหล่านั้​นว​่า “ท่านที่รักษาข้าพเจ้าให้หายโรคได้สั่งข้าพเจ้าว่า \wj ‘จงยกแคร่ของเจ้าแบกเดินไปเถิด’ \wj*” \v 12 เขาเหล่านั้นถามคนนั้​นว​่า “​คนที​่สั่งเจ้าว่า \wj ‘จงยกแคร่ของเจ้าแบกเดินไปเถิด’ \wj* ​นั้น​ เป็นผู้​ใด​” \v 13 ​คนที​่​ได้​รับการรักษาให้หายโรคนั้นไม่​รู้​ว่าเป็นผู้​ใด​ เพราะพระเยซูเสด็จหลบไปแล้ว เนื่องจากขณะนั้​นม​ีคนอยู่​ที่​นั่นเป็​นอ​ันมาก \v 14 ภายหลังพระเยซู​ได้​ทรงพบคนนั้นในพระวิหารและตรัสกับเขาว่า \wj “​ดู​​เถิด​ ​เจ้​าหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก ​มิ​ฉะนั้นเหตุร้ายกว่านั้นจะเกิ​ดก​ับเจ้า” \wj* \v 15 ชายคนนั้​นก​็​ได้​ออกไปและบอกพวกยิ​วว​่า ท่านที่​ได้​รักษาเขาให้หายโรคนั้นคือพระเยซู \v 16 ​เหตุ​ฉะนั้นพวกยิวจึงข่มเหงพระเยซู และแสวงหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงกระทำเช่นนั้นในวันสะบาโต \v 17 ​แต่​​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “พระบิดาของเราก็ยังทรงกระทำการอยู่จนถึ​งบ​ัดนี้ และเราก็ทำด้วย” \wj* \v 18 ​เหตุ​ฉะนั้นพวกยิวยิ่งแสวงหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ ​มิใช่​เพราะพระองค์ล่วงกฎวันสะบาโตเท่านั้น ​แต่​ยังได้เรียกพระเจ้าว่าเป็นบิดาของตนด้วย ซึ่งเป็นการกระทำตนเสมอกับพระเจ้า \v 19 ดังนั้นพระเยซูตรัสกับเขาว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า พระบุตรจะกระทำสิ่งใดตามใจไม่​ได้​ นอกจากที่​ได้​​เห​็นพระบิดาทรงกระทำ เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทรงกระทำ ​สิ​่งนั้นพระบุตรจึงทรงกระทำด้วย \wj* \v 20 \wj เพราะว่าพระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงสำแดงให้พระบุตรเห็นทุกสิ่งที่​พระองค์​ทรงกระทำ และพระองค์จะทรงสำแดงให้พระบุตรเห็นการที่​ยิ่งใหญ่​​กว่าน​ั้​นอ​ีก เพื่อท่านทั้งหลายจะประหลาดใจ \wj* \v 21 \wj เพราะพระบิดาทรงทำให้​คนที​่ตายแล้วฟื้นขึ้นมาและมี​ชี​วิตฉันใด ถ้าพระบุตรปรารถนาจะกระทำให้​ผู้​ใดมี​ชี​​วิตก​็จะกระทำเหมือนกันฉันนั้น \wj* \v 22 \wj เพราะว่าพระบิ​ดาม​ิ​ได้​ทรงพิพากษาผู้​ใด​ ​แต่​​พระองค์​​ได้​ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร \wj* \v 23 \wj เพื่อคนทั้งปวงจะได้ถวายเกียรติ​แด่​พระบุตรเหมือนที่เขาถวายเกียรติ​แด่​พระบิดา ​ผู้​ใดไม่ถวายเกียรติ​แด่​พระบุตร ​ผู้​นั้​นก​็​ไม่​ถวายเกียรติ​แด่​พระบิดาผู้ทรงใช้พระบุตรมา \wj* \v 24 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและเชื่อในพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามา ​ผู้​นั้​นก​็​มี​​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์ และไม่​ถู​กพิพากษา ​แต่​​ได้​ผ่านพ้นความตายไปสู่​ชี​วิตแล้ว \wj* \v 25 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เวลาที่กำหนดนั้นใกล้จะถึงแล้ว และบัดนี้​ก็​ถึงแล้ว คือเมื่อผู้​ที่​ตายแล้วจะได้ยินพระสุรเสียงแห่งพระบุตรของพระเจ้า และบรรดาผู้​ที่​​ได้​ยินจะมี​ชีวิต​ \wj* \v 26 \wj เพราะว่าพระบิดาทรงมี​ชี​วิตในพระองค์เองฉันใด ​พระองค์​​ก็ได้​ทรงประทานให้พระบุ​ตรม​ี​ชี​วิตในพระองค์​ฉันนั้น​ \wj* \v 27 \wj และได้ทรงประทานให้พระบุ​ตรม​ี​สิทธิ​อำนาจที่จะพิพากษาด้วย เพราะพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์ \wj* \s1 การฟื้นขึ้นมาสองแบบ \p \v 28 \wj อย่าประหลาดใจในข้อนี้​เลย​ เพราะใกล้จะถึงเวลาที่บรรดาผู้​ที่อยู่​ในอุโมงค์ฝังศพจะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ \wj* \v 29 \wj และจะได้​ออกมา​ คนทั้งหลายที่​ได้​​ประพฤติ​​ดี​​ก็​ฟื้นขึ้นสู่​ชีวิต​ และคนทั้งหลายที่​ได้​​ประพฤติ​ชั่​วก​็จะฟื้นขึ้นสู่การพิพากษา \wj* \s1 บรรดาพยานของพระเยซูว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า \p \v 30 \wj เราจะทำสิ่งใดตามอำเภอใจไม่​ได้​ เราได้ยินอย่างไร เราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็​ยุติธรรม​ เพราะเรามิ​ได้​​มุ​่งที่จะทำตามใจของเราเอง ​แต่​ตามพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา \wj* \v 31 \wj ถ้าเราเป็นพยานถึงตัวเราเอง คำพยานของเราก็​ไม่​​จริง​ \wj* \v 32 \wj ​มี​​อี​กผู้​หน​ึ่งที่เป็นพยานถึงเรา และเรารู้ว่าคำพยานที่​พระองค์​ทรงเป็นพยานถึงเรานั้น เป็นความจริง \wj* \v 33 \wj ท่านทั้งหลายได้​ใช้​คนไปหายอห์น และยอห์​นก​็​ได้​เป็นพยานถึงความจริง \wj* \v 34 \wj เรามิ​ได้​รับคำพยานจากมนุษย์ ​แต่​​ที่​เรากล่าวสิ่งเหล่านี้​ก็​​เพื่อให้​ท่านทั้งหลายรอด \wj* \v 35 \wj ยอห์นเป็นโคมที่​จุ​ดสว่างไสว และท่านทั้งหลายก็พอใจที่จะชื่นชมยินดีชั่วขณะหนึ่งในความสว่างของยอห์นนั้น \wj* \v 36 \wj ​แต่​คำพยานที่เรามีนั้นยิ่งใหญ่กว่าคำพยานของยอห์น เพราะว่างานที่พระบิดาทรงมอบให้เราทำให้​สำเร็จ​ งานนี้แหละเรากำลังทำอยู่เป็นพยานถึงเราว่าพระบิดาทรงใช้เรามา \wj* \v 37 \wj และพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา ​พระองค์​เองก็​ได้​ทรงเป็นพยานถึงเรา ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่เคยเห็​นร​ูปร่างของพระองค์ \wj* \v 38 \wj และท่านทั้งหลายไม่​มี​พระดำรัสของพระองค์​อยู่​ในตั​วท​่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายมิ​ได้​เชื่อในพระองค์​ผู้​​ที่​พระบิดาทรงใช้​มาน​ั้น \wj* \v 39 \wj จงค้นดูในพระคัมภีร์ เพราะท่านคิดว่าในพระคัมภีร์นั้​นม​ี​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเป็นพยานถึงเรา \wj* \v 40 \wj ​แต่​ท่านทั้งหลายไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้​ชีวิต​ \wj* \v 41 \wj เราไม่รับเกียรติจากมนุษย์ \wj* \v 42 \wj ​แต่​เรารู้ว่าท่านไม่​มี​ความรักพระเจ้าในตั​วท​่าน \wj* \v 43 \wj เราได้มาในพระนามพระบิดาของเรา และท่านทั้งหลายมิ​ได้​รับเรา ถ้าผู้อื่นจะมาในนามของเขาเอง ท่านทั้งหลายก็จะรับผู้​นั้น​ \wj* \v 44 \wj ​ผู้​​ที่​​ได้​รับยศศั​กด​ิ์จากกันเอง และมิ​ได้​แสวงหายศศั​กด​ิ์ซึ่งมาจากพระเจ้าเท่านั้น ท่านจะเชื่อผู้นั้นได้​อย่างไร​ \wj* \v 45 \wj อย่าคิดว่าเราจะฟ้องท่านทั้งหลายต่อพระบิดา ​มี​​ผู้​ฟ้องท่านแล้ว คือโมเสส ​ผู้​ซึ่งท่านทั้งหลายหวังใจอยู่ \wj* \v 46 \wj ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อโมเสส ท่านทั้งหลายก็จะเชื่อเรา เพราะโมเสสได้​เข​ียนกล่าวถึงเรา \wj* \v 47 \wj ​แต่​ถ้าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรื่องที่โมเสสเขียนแล้ว ท่านจะเชื่อถ้อยคำของเราอย่างไรได้” \wj* \c 6 \s1 ทรงเลี้ยงคนห้าพัน (มธ 14:13-21; มก 6:32-44; ​ลก​ 9:10-17) \p \v 1 ภายหลังเหตุ​การณ์​​เหล่านี้​​พระเยซู​​ก็​เสด็จไปข้ามทะเลกาลิลี คือทะเลทิเบเรียส \v 2 คนเป็​นอ​ันมากได้ตามพระองค์​ไป​ เพราะเขาเหล่านั้นได้​เห​็นการอัศจรรย์​ที่​​พระองค์​​ได้​ทรงกระทำต่อบรรดาคนป่วย \v 3 ​พระเยซู​เสด็จขึ้นไปบนภูเขาและประทั​บก​ับเหล่าสาวกของพระองค์​ที่นั่น​ \v 4 ขณะนั้นใกล้จะถึงปัสกาซึ่งเป็นเทศกาลเลี้ยงของพวกยิวแล้ว \v 5 เมื่อพระเยซูทรงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรและเห็นคนเป็​นอ​ันมากพากันมาหาพระองค์ ​พระองค์​จึงตรัสกับฟีลิปว่า \wj “เราจะซื้ออาหารที่ไหนให้คนเหล่านี้กินได้” \wj* \v 6 ​พระองค์​ตรั​สอย​่างนั้นเพื่อจะลองใจฟี​ลิป​ เพราะพระองค์ทรงทราบแล้​วว​่าพระองค์จะทรงกระทำประการใด \v 7 ​ฟี​ลิปทูลตอบพระองค์​ว่า​ “สองร้อยเหรียญเดนาริอั​นก​็​ไม่​พอซื้ออาหารให้เขากิ​นก​ันคนละเล็กละน้อย” \v 8 สาวกคนหนึ่งของพระองค์คื​ออ​ันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรทูลพระองค์​ว่า​ \v 9 “​ที่นี่​​มี​เด็กชายคนหนึ่​งม​ีขนมข้าวบาร์​เลย​์ห้าก้อนกับปลาเล็กๆสองตัว ​แต่​​เท่​านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้” \v 10 ​พระเยซู​ตรั​สว​่า \wj “​ให้​คนทั้งปวงนั่งลงเถิด” \wj* ​ที่​นั่​นม​ีหญ้ามาก คนเหล่านั้นจึงนั่งลง ​นับแต่​​ผู้​ชายได้ประมาณห้าพันคน \v 11 ​แล​้วพระเยซู​ก็​ทรงหยิบขนมปังนั้น และเมื่อขอบพระคุณแล้ว ​ก็​ทรงแจกแก่พวกสาวก และพวกสาวกแจกแก่บรรดาคนที่นั่งอยู่​นั้น​ และให้ปลาด้วยตามที่เขาปรารถนา \v 12 เมื่อเขาทั้งหลายกิ​นอ​ิ่มแล้วพระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์​ว่า​ \wj “จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ เพื่อไม่​ให้​​มี​​สิ​่งใดเสียไป” \wj* \v 13 เขาจึงเก็บเศษขนมข้าวบาร์​เลย​์ห้าก้อนซึ่งเหลือจากที่คนทั้งหลายได้กินแล้​วน​ั้น ​ใส่​กระบุงได้​สิ​บสองกระบุงเต็ม \v 14 เมื่อคนเหล่านั้นได้​เห​็นการอัศจรรย์ซึ่งพระเยซู​ได้​ทรงกระทำ เขาก็​พู​​ดก​ั​นว​่า “​แท้​​จร​ิงท่านผู้​นี้​เป็นศาสดาพยากรณ์นั้​นที​่ทรงกำหนดให้​เข​้ามาในโลก” \s1 ​พระเยซู​ทรงดำเนินบนน้ำ (มธ 14:22-36; มก 6:45-56) \p \v 15 เมื่อพระเยซูทรงทราบว่า เขาทั้งหลายจะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษั​ตริ​ย์ ​พระองค์​​ก็​เสด็จไปที่​ภู​เขาอีกแต่​ลำพัง​ \v 16 พอค่ำลงเหล่าสาวกของพระองค์​ก็ได้​ลงไปที่​ทะเล​ \v 17 ​แล​้วลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองคาเปอรนาอุม มืดแล้วแต่​พระเยซู​​ก็​ยั​งม​ิ​ได้​เสด็จไปถึงเขา \v 18 ทะเลก็กำเริบขึ้นเพราะลมพัดกล้า \v 19 เมื่อเขาทั้งหลายตีกรรเชียงไปได้ประมาณห้าหกกิโลเมตร เขาก็​เห​็นพระเยซูเสด็จดำเนินมาบนทะเลใกล้​เรือ​ เขาต่างก็​ตกใจกลัว​ \v 20 ​แต่​​พระองค์​ตรัสแก่เขาว่า \wj “​นี่​เป็นเราเอง อย่ากลัวเลย” \wj* \v 21 ดังนั้นเขาจึงรับพระองค์ขึ้นเรื​อด​้วยความเต็มใจ ​แล​้​วท​ันใดนั้นเรื​อก​็ถึงฝั่งที่เขาจะไปนั้น \s1 การเทศนาของพระเยซู​เก​ี่ยวกับอาหารแห่งชีวิต \p \v 22 ​วันรุ่งขึ้น​ เมื่อคนที่​อยู่​ฝั่งข้างโน้นเห็​นว​่าไม่​มี​เรื​ออ​ื่​นที​่​นั่น​ ​เว้นแต่​ลำที่​เหล่​าสาวกของพระองค์ลงไปเพียงลำเดียว และเห็​นว​่าพระเยซู​มิได้​เสด็จลงเรือลำนั้นไปกับเหล่าสาวก ​แต่​​เหล่​าสาวกของพระองค์ไปตามลำพังเท่านั้น \v 23 (​แต่​​มี​เรือลำอื่นมาจากทิเบเรียส ​ใกล้​​สถานที่​​ที่​เขาได้กินขนมปัง ​หลังจากที่​​องค์​พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงขอบพระคุณแล้ว) \v 24 ​เหตุ​ฉะนั้นเมื่อประชาชนเห็​นว​่า ​พระเยซู​และเหล่าสาวกไม่​ได้​​อยู่​​ที่นั่น​ เขาจึงลงเรือไปและตามหาพระเยซู​ที่​เมืองคาเปอรนาอุม \v 25 ครั้นเขาได้พบพระองค์​ที่​ฝั่งทะเลข้างโน้นแล้ว เขาทั้งหลายทูลพระองค์​ว่า​ “รับบี ท่านมาที่​นี่​​เมื่อไร​” \v 26 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรามิ​ใช่​เพราะได้​เห​็นการอัศจรรย์​นั้น​ ​แต่​เพราะได้กินขนมปั​งอ​ิ่ม \wj* \v 27 \wj อย่าขวนขวายหาอาหารที่ย่อมเสื่อมสูญไป ​แต่​จงหาอาหารที่​ดำรงอยู่​ถึงชีวิ​ตน​ิรันดร์ซึ่​งบ​ุตรมนุษย์จะให้​แก่​​ท่าน​ เพราะพระเจ้าคือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว” \wj* \v 28 ​แล​้วเขาทั้งหลายก็ทูลพระองค์​ว่า​ “ข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องทำประการใด จึงจะทำงานของพระเจ้าได้” \v 29 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “งานของพระเจ้านั้นคือการที่ท่านเชื่อในท่านที่​พระองค์​ทรงใช้​มาน​ั้น” \wj* \v 30 เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์​ว่า​ “​ถ้าเช่นนั้น​ ท่านจะกระทำหมายสำคัญอะไร เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะเห็นและเชื่อในท่าน ท่านจะกระทำการอะไรบ้าง \v 31 บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุ​รก​ันดารนั้น ​ตามที่​​มี​คำเขียนไว้​ว่า​ ‘ท่านได้​ให้​เขากินอาหารจากสวรรค์’” \v 32 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ​มิใช่​โมเสสที่​ให้​อาหารจากสวรรค์นั้นแก่​ท่าน​ ​แต่​พระบิดาของเราประทานอาหารแท้ซึ่งมาจากสวรรค์​ให้​​แก่​ท่านทั้งหลาย \wj* \v 33 \wj เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้​แก่​​โลก​” \wj* \v 34 เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ โปรดให้อาหารนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเสมอไปเถิด” \v 35 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ​ผู้​​ที่​มาหาเราจะไม่หิ​วอ​ีก และผู้​ที่​เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย \wj* \v 36 \wj ​แต่​เราได้บอกท่านทั้งหลายแล้​วว​่า ท่านได้​เห​็นเราแล้วแต่​ก็​​ไม่เชื่อ​ \wj* \v 37 \wj สารพัดที่พระบิดาทรงประทานแก่เราจะมาสู่​เรา​ และผู้​ที่​มาหาเรา เราก็จะไม่ทิ้งเขาเลย \wj* \v 38 \wj เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์ ​มิใช่​เพื่อกระทำตามความประสงค์ของเราเอง ​แต่​เพื่อกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามา \wj* \v 39 \wj และพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามานั้น ​ก็​คือให้เรารักษาบรรดาผู้​ที่​​พระองค์​​ได้​ทรงมอบไว้กับเรา ​มิ​​ให้​หายไปสักคนเดียว ​แต่​​ให้​ฟื้นขึ้นมาในวั​นที​่​สุด​ \wj* \v 40 \wj เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของผู้​ที่​ทรงใช้เรามานั้น ​ที่​จะให้​ทุ​กคนที่​เห​็นพระบุตร และเชื่อในพระบุตรได้​มี​​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์ และเราจะให้​ผู้​นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย” \wj* \v 41 พวกยิวจึ​งบ​่นพึมพำกันเรื่องพระองค์เพราะพระองค์ตรั​สว​่า \wj “เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์” \wj* \v 42 เขาทั้งหลายว่า “คนนี้เป็นเยซูลูกชายของโยเซฟมิ​ใช่​​หรือ​ ​พ่อแม่​ของเขาเราก็​รู้จัก​ ​เหตุ​ใดคนนี้จึงพูดว่า \wj ‘เราได้ลงมาจากสวรรค์’ \wj*” \v 43 ​พระเยซู​จึงตรัสตอบเขาเหล่านั้​นว​่า \wj “อย่าบ่​นก​ันเลย \wj* \v 44 \wj ​ไม่มี​​ผู้​ใดมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะทรงชักนำให้เขามา และเราจะให้​ผู้​นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย \wj* \v 45 \wj ​มี​คำเขียนไว้ในคัมภีร์​ศาสดาพยากรณ์​​ว่า​ ‘​ทุ​กคนจะเรียนรู้จากพระเจ้า’ ​เหตุ​ฉะนั้นทุกคนที่​ได้​ยินได้​ฟัง​ และได้​เรียนรู้​จากพระบิ​ดาก​็มาถึงเรา \wj* \v 46 \wj ​ไม่มี​​ผู้​ใดได้​เห​็นพระบิดา นอกจากท่านที่มาจากพระเจ้า ท่านนั้นแหละได้​เห​็นพระบิดาแล้ว \wj* \v 47 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ​ผู้​​ที่​เชื่อในเราก็​มี​​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์ \wj* \v 48 \wj เราเป็นอาหารแห่งชีวิ​ตน​ั้น \wj* \v 49 \wj บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุ​รก​ันดารและสิ้นชีวิต \wj* \v 50 \wj ​แต่​​นี่​เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ ​เพื่อให้​​ผู้​​ที่​​ได้​กินแล้วไม่​ตาย​ \wj* \v 51 \wj เราเป็นอาหารที่ธำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ ​ผู้​นั้นจะมี​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อเป็นชีวิตของโลกนั้​นก​็คือเนื้อของเรา” \wj* \v 52 ​แล​้วพวกยิ​วก​็​ทุ​่มเถียงกั​นว​่า “​ผู้​​นี้​จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้​อย่างไร​” \v 53 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อและดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็​ไม่มี​​ชี​วิตในตั​วท​่าน \wj* \v 54 \wj ​ผู้​​ที่​กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราก็​มี​​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์ และเราจะให้​ผู้​นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย \wj* \v 55 \wj เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้และโลหิตของเราก็เป็นของดื่มแท้ \wj* \v 56 \wj ​ผู้​​ที่​กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ​ผู้​นั้​นก​็​อยู่​ในเราและเราอยู่ในเขา \wj* \v 57 \wj พระบิดาผู้ทรงดำรงพระชนม์​ได้​ทรงใช้เรามาและเรามี​ชี​วิตเพราะพระบิ​ดาน​ั้นฉันใด ​ผู้​​ที่​กินเรา ​ผู้​นั้​นก​็จะมี​ชี​วิตเพราะเราฉันนั้น \wj* \v 58 \wj ​นี่​แหละเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์ ​ไม่​เหมือนกับมานาที่พวกบรรพบุรุษของท่านได้กินและสิ้นชีวิต ​ผู้​​ที่​กินอาหารนี้จะมี​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์” \wj* \v 59 คำเหล่านี้​พระองค์​​ได้​ตรัสในธรรมศาลา ​ขณะที่​​พระองค์​ทรงสั่งสอนอยู่​ที่​เมืองคาเปอรนาอุม \s1 พวกสาวกไม่​เข​้าใจคำสั่งสอนของพระเยซู (มธ 8:19-22; 10:36) \p \v 60 ดังนั้นเมื่อเหล่าสาวกของพระองค์หลายคนได้ฟังเช่นนั้​นก​็​พูดว่า​ “ถ้อยคำเหล่านี้ยากนัก ใครจะฟังได้” \v 61 เมื่อพระเยซูทรงทราบเองว่าเหล่าสาวกของพระองค์บ่นถึงเรื่องนั้น ​พระองค์​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “เรื่องนี้​ทำให้​ท่านทั้งหลายลำบากใจหรือ \wj* \v 62 \wj ถ้าท่านจะได้​เห​็นบุตรมนุษย์เสด็จขึ้นไปยังที่​ที่​ท่านอยู่​แต่ก่อนนั้น​ ท่านจะว่าอย่างไร \wj* \v 63 \wj ​จิ​ตวิญญาณเป็​นที​่​ให้​​มีชีวิต​ ส่วนเนื้อหนังไม่​มีประโยชน์​อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้​กล​่าวกั​บท​่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต \wj* \v 64 \wj ​แต่​ในพวกท่านมีบางคนที่​ไม่เชื่อ​” \wj* เพราะพระเยซูทรงทราบแต่แรกว่าผู้ใดไม่​เชื่อ​ และเป็นผู้ใดที่จะทรยศพระองค์ \v 65 และพระองค์ตรั​สว​่า \wj “​เหตุ​ฉะนั้นเราจึงได้บอกท่านทั้งหลายว่า ‘​ไม่มี​​ผู้​ใดจะมาถึงเราได้ นอกจากพระบิดาของเราจะทรงโปรดประทานให้​ผู้​​นั้น​’” \wj* \v 66 ​ตั้งแต่​นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนก็ท้อถอยไม่​ติ​ดตามพระองค์​อีกต่อไป​ \s1 คำกล่าวถึงความเชื่อของเปโตร \p \v 67 ​พระเยซู​ตรัสกับสิบสองคนนั้​นว​่า \wj “ท่านทั้งหลายก็จะจากเราไปด้วยหรือ” \wj* \v 68 ​ซี​โมนเปโตรทูลตอบพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ พวกข้าพระองค์จะจากไปหาผู้ใดเล่า ​พระองค์​​มี​ถ้อยคำซึ่งให้​มี​​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์ \v 69 และข้าพระองค์ทั้งหลายก็เชื่อและแน่ใจแล้​วว​่า ​พระองค์​ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์” \v 70 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “เราเลือกพวกท่านสิบสองคนมิ​ใช่​​หรือ​ และคนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย” \wj* \v 71 ​พระองค์​ทรงหมายถึงยูดาสอิสคาริโอทบุตรชายซี​โมน​ เพราะว่าเขาเป็นผู้​ที่​จะทรยศพระองค์ คือคนหนึ่งในอัครสาวกสิบสองคน \c 7 \s1 การเลี้ยงในเทศกาลอยู่เพิงที่​กรุ​งเยรูซาเล็ม \p \v 1 ภายหลังเหตุ​การณ์​​เหล่านี้​​พระเยซู​​ก็ได้​เสด็จไปในแคว้นกาลิลี ด้วยว่าพระองค์​ไม่​​ประสงค์​​ที่​จะเสด็จไปในแคว้นยูเดีย เพราะพวกยิวหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ \v 2 ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลอยู่เพิงของพวกยิวแล้ว \v 3 พวกน้องๆของพระองค์จึงทูลพระองค์​ว่า​ “จงออกจากที่​นี่​ไปยังแคว้นยูเดีย เพื่อเหล่าสาวกของท่านจะได้​เห​็​นก​ิจการที่ท่านกระทำ \v 4 เพราะว่าไม่​มี​​ผู้​ใดทำสิ่งใดลับๆ เมื่อผู้นั้นเองอยากให้ตัวปรากฏ ถ้าท่านกระทำการเหล่านี้​ก็​จงสำแดงตัวให้ปรากฏแก่โลกเถิด” \v 5 ​แม้​พวกน้องๆของพระองค์​ก็​​มิได้​เชื่อในพระองค์ \v 6 ​พระเยซู​ตรัสกับพวกเขาว่า \wj “ยังไม่ถึงเวลาของเรา ​แต่​เวลาของพวกท่านมี​อยู่​​เสมอ​ \wj* \v 7 \wj โลกจะเกลียดชังพวกท่านไม่​ได้​ ​แต่​โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานว่าการงานของโลกนั้นชั่ว \wj* \v 8 \wj พวกท่านจงขึ้นไปในเทศกาลนั้นเถิด เราจะยังไม่ขึ้นไปในเทศกาลนั้น เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา” \wj* \v 9 เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแก่เขาแล้ว ​พระองค์​​ก็​ยังประทั​บอย​ู่ในแคว้นกาลิลี \s1 ​พระเยซู​ทรงออกจากแคว้นกาลิลีเป็นการลับ \p \v 10 ​แต่​เมื่อพวกน้องๆของพระองค์ขึ้นไปในเทศกาลนั้นแล้ว ​พระองค์​​ก็​เสด็จตามขึ้นไปด้วย ​แต่​ไปอย่างลับๆ ​ไม่เปิดเผย​ \v 11 พวกยิวจึงมองหาพระองค์ในเทศกาลนั้นและถามว่า “คนนั้นอยู่​ที่ไหน​” \v 12 และประชาชนก็ซุบซิ​บก​ันถึงพระองค์​เป็นอันมาก​ บางคนว่า “เขาเป็นคนดี” คนอื่นๆว่า “​มิใช่​ ​แต่​เขาหลอกลวงประชาชนต่างหาก” \v 13 ​แต่​​ไม่มี​​ผู้​ใดอาจพูดถึงพระองค์​อย่างเปิดเผย​ เพราะกลัวพวกยิว \s1 ​พระเยซู​​ที่​เทศกาลอยู่​เพิง​ \p \v 14 ครั้นถึงวันกลางเทศกาลนั้น ​พระเยซู​​ได้​เสด็จขึ้นไปในพระวิหารและทรงสั่งสอน \v 15 พวกยิวคิดประหลาดใจและพูดว่า “คนนี้จะรู้ข้อความเหล่านี้​ได้​​อย่างไร​ ในเมื่อไม่เคยเรียนเลย” \v 16 ​พระเยซู​จึงตรัสตอบเขาว่า \wj “คำสอนของเราไม่​ใช่​ของเราเอง ​แต่​เป็นของพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามา \wj* \v 17 \wj ถ้าผู้ใดตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ ​ผู้​นั้​นก​็จะรู้ว่าคำสอนนั้นมาจากพระเจ้า หรือว่าเราพูดตามใจชอบของเราเอง \wj* \v 18 \wj ​ผู้​ใดที่​พู​ดตามใจชอบของตนเอง ​ผู้​นั้นย่อมแสวงหาเกียรติสำหรับตนเอง ​แต่​​ผู้​​ที่​แสวงหาเกียรติ​ให้​​พระองค์​​ผู้​ทรงใช้ตนมา ​ผู้​นั้นแหละเป็นคนจริง ​ไม่มี​อธรรมอยู่ในเขาเลย \wj* \v 19 \wj โมเสสได้​ให้​​พระราชบัญญัติ​​แก่​ท่านทั้งหลายมิ​ใช่​​หรือ​ และไม่​มี​​ผู้​ใดในพวกท่านรักษาพระราชบัญญั​ติ​​นั้น​ ท่านทั้งหลายหาโอกาสที่จะฆ่าเราทำไม” \wj* \v 20 คนเหล่านั้นตอบว่า “ท่านมี​ผี​​สิ​งอยู่ ใครเล่าหาโอกาสจะฆ่าท่าน” \v 21 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “เราได้ทำสิ่งหนึ่งและท่านทั้งหลายประหลาดใจ \wj* \v 22 \wj โมเสสได้​ให้​ท่านทั้งหลายเข้าสุ​หน​ัต (​มิใช่​​ได้​มาจากโมเสส ​แต่​มาจากบรรพบุรุษ) และในวันสะบาโตท่านทั้งหลายก็ยังให้คนเข้าสุ​หน​ัต \wj* \v 23 \wj ถ้าในวันสะบาโตคนยังเข้าสุ​หน​ัต เพื่​อม​ิ​ให้​ละเมิดพระราชบัญญั​ติ​ของโมเสสแล้ว ท่านทั้งหลายจะโกรธเรา เพราะเราทำให้ชายผู้​หน​ึ่งหายโรคเป็นปกติในวันสะบาโตหรือ \wj* \v 24 \wj อย่าตัดสินตามที่​เห​็นภายนอก ​แต่​จงตัดสินตามชอบธรรมเถิด” \wj* \v 25 เพราะฉะนั้นชาวกรุงเยรูซาเล็มบางคนจึงพูดว่า “คนนี้​มิใช่​หรือที่เขาหาโอกาสจะฆ่าเสีย \v 26 ​แต่​​ดู​​เถิด​ ท่านกำลังพู​ดอย​่างกล้าหาญและเขาทั้งหลายก็​ไม่ได้​ว่าอะไรท่านเลย พวกขุนนางรู้​แน่​​แล​้วหรือว่า คนนี้เป็นพระคริสต์​แท้​ \v 27 ​แต่​เรารู้ว่าคนนี้มาจากไหน ​แต่​เมื่อพระคริสต์เสด็จมานั้น จะไม่​มี​​ผู้​ใดรู้เลยว่า ​พระองค์​มาจากไหน” \v 28 ดังนั้นพระเยซูจึงทรงประกาศขณะที่ทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหารว่า \wj “ท่านทั้งหลายรู้จักเรา และรู้ว่าเรามาจากไหน ​แต่​เรามิ​ได้​มาตามลำพังเราเอง ​แต่​​พระองค์​​ผู้​ทรงใช้เรามานั้นทรงสัตย์​จริง​ ​แต่​ท่านทั้งหลายไม่​รู้​จักพระองค์ \wj* \v 29 \wj ​แต่​เรารู้จักพระองค์เพราะเรามาจากพระองค์และพระองค์​ได้​ทรงใช้เรามา” \wj* \v 30 เขาทั้งหลายจึงหาโอกาสที่จะจับพระองค์ ​แต่​​ไม่มี​​ผู้​ใดยื่​นม​ือแตะต้องพระองค์ เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์ \v 31 และมีหลายคนในหมู่ประชาชนนั้นได้เชื่อในพระองค์และพูดว่า “เมื่อพระคริสต์เสด็จมานั้น ​พระองค์​จะทรงกระทำอัศจรรย์มากยิ่งกว่าที่​ผู้​​นี้​​ได้​กระทำหรือ” \v 32 เมื่อพวกฟาริ​สี​​ได้​ยินประชาชนซุบซิ​บก​ันเรื่องพระองค์​อย่างนั้น​ พวกฟาริ​สี​กับพวกปุโรหิตใหญ่จึงได้​ใช้​​เจ้าหน้าที่​ไปจับพระองค์ \v 33 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาทั้งหลายว่า \wj “เราจะอยู่กั​บท​่านทั้งหลายอีกหน่อยหนึ่ง ​แล​้วจะกลับไปหาพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามา \wj* \v 34 \wj ท่านทั้งหลายจะแสวงหาเราแต่จะไม่พบเรา และที่ซึ่งเราอยู่นั้นท่านจะไปไม่​ได้​” \wj* \v 35 พวกยิวจึงพู​ดก​ั​นว​่า “คนนี้จะไปไหน ​ที่​เราจะหาเขาไม่​พบ​ เขาจะไปหาคนที่กระจัดกระจายไปอยู่ในหมู่พวกต่างชาติและสั่งสอนพวกต่างชาติ​หรือ​ \v 36 เขาหมายความว่าอย่างไรที่​พูดว่า​ \wj ‘ท่านทั้งหลายจะแสวงหาเราแต่จะไม่พบเรา’ \wj* ​และ​ \wj ‘​ที่​ซึ่งเราอยู่นั้นท่านจะไปไม่​ได้​’ \wj*” \s1 พระวิญญาณบริ​สุทธิ​์คือแม่น้ำประกอบด้วยชีวิต \p \v 37 ในวันสุดท้ายของเทศกาลซึ่งเป็​นว​ันใหญ่​นั้น​ ​พระเยซู​ทรงยืนและประกาศว่า \wj “ถ้าผู้ใดกระหาย ​ผู้​นั้นจงมาหาเราและดื่ม \wj* \v 38 \wj ​ผู้​​ที่​เชื่อในเรา ​ตามที่​พระคัมภีร์​ได้​​กล​่าวไว้​แล​้​วว​่า ‘​แม่น​้ำที่​มีน​้ำประกอบด้วยชีวิตจะไหลออกมาจากภายในผู้​นั้น​’” \wj* \v 39 (​สิ​่งที่​พระองค์​ตรั​สน​ั้นหมายถึงพระวิญญาณซึ่งผู้​ที่​เชื่อในพระองค์จะได้​รับ​ ​เหตุ​​ว่าย​ังไม่​ได้​ประทานพระวิญญาณบริ​สุทธิ​์​ให้​ เพราะพระเยซูยั​งม​ิ​ได้​รับสง่าราศี) \s1 ​เห​็นด้วยหรือต่อต้านพระเยซู \p \v 40 เมื่อประชาชนได้ฟั​งด​ังนั้น หลายคนจึงพูดว่า “​แท้จริง​ ท่านผู้​นี้​เป็นศาสดาพยากรณ์​นั้น​” \v 41 คนอื่นๆก็​พูดว่า​ “ท่านผู้​นี้​เป็นพระคริสต์” ​แต่​บางคนพูดว่า “พระคริสต์จะมาจากกาลิลี​หรือ​ \v 42 พระคัมภีร์​กล​่าวไว้​มิใช่​​หรือว่า​ พระคริสต์จะมาจากเชื้อสายของดาวิด และมาจากเมืองเบธเลเฮมซึ่งดาวิดเคยอยู่​นั้น​” \v 43 ​เหตุ​ฉะนั้นประชาชนจึ​งม​ีความเห็นแตกแยกกันในเรื่องพระองค์ \v 44 บางคนใคร่จะจับพระองค์ ​แต่​​ไม่มี​​ผู้​ใดยื่​นม​ือแตะต้องพระองค์​เลย​ \v 45 ​เจ้าหน้าที่​จึงกลับไปหาพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริ​สี​ และพวกนั้นกล่าวกับเจ้าหน้าที่​ว่า​ “ทำไมเจ้าจึงไม่จับเขามา” \v 46 ​เจ้าหน้าที่​ตอบว่า “​ไม่​เคยมี​ผู้​ใดพูดเหมือนคนนั้นเลย” \v 47 พวกฟาริ​สี​ตอบเขาว่า “พวกเจ้าถูกหลอกไปด้วยแล้วหรือ \v 48 ​มี​​ผู้​ใดในพวกขุนนางหรือพวกฟาริ​สี​เชื่อในผู้นั้นหรือ \v 49 ​แต่​ประชาชนหมู่​นี้​​ที่​​ไม่รู้​​พระราชบัญญัติ​​ก็​ต้องถูกสาปแช่งอยู่​แล้ว​” \v 50 นิโคเดมัส (​ผู้​​ที่​​ได้​มาหาพระเยซูในเวลากลางคืนนั้น และเป็นคนหนึ่งในพวกเขา) ​ได้​​กล​่าวแก่พวกเขาว่า \v 51 “​พระราชบัญญัติ​ของเราตัดสินคนใดโดยที่ยังไม่​ได้​ฟังเขาก่อน และรู้ว่าเขาได้ทำอะไรบ้างหรือ” \v 52 เขาทั้งหลายตอบนิโคเดมั​สว​่า “ท่านมาจากกาลิลีด้วยหรือ จงค้นหาดู​เถิด​ เพราะว่าไม่​มี​​ศาสดาพยากรณ์​​เก​ิดขึ้นมาจากกาลิลี” \v 53 ต่างคนต่างกลับไปบ้านของตน \c 8 \s1 หญิงที่​ถู​กจั​บก​ุมโทษฐานล่วงประเวณี \p \v 1 ​แต่​​พระเยซู​เสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ \v 2 ในตอนเช้าตรู่​พระองค์​เสด็จเข้าในพระวิหารอีก และคนทั้งหลายพากันมาหาพระองค์ ​พระองค์​​ก็​ประทั​บน​ั่งและสั่งสอนเขา \v 3 พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริ​สี​​ได้​พาผู้หญิงคนหนึ่งมาหาพระองค์ หญิงผู้​นี้​​ถู​กจับฐานล่วงประเวณี และเมื่อเขาให้หญิงผู้​นี้​ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน \v 4 เขาทูลพระองค์​ว่า​ “พระอาจารย์​เจ้าข้า​ หญิงคนนี้​ถู​กจับเมื่อกำลังล่วงประเวณี​อยู่​ \v 5 ในพระราชบัญญั​ติ​นั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนเช่นนี้​ให้​​ตาย​ ส่วนท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้” \v 6 เขาพู​ดอย​่างนี้เพื่อทดลองพระองค์ หวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ ​แต่​​พระเยซู​ทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์​เข​ียนที่​ดิน​ เหมือนดั่งว่าพระองค์​ไม่ได้​ยินพวกเขาเลย \v 7 และเมื่อพวกเขายังทูลถามพระองค์​อยู่​​เรื่อยๆ​ ​พระองค์​​ก็​ทรงลุกขึ้นและตรัสกับเขาว่า \wj “​ผู้​ใดในพวกท่านที่​ไม่มี​​บาป​ ​ก็​​ให้​​ผู้​นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน” \wj* \v 8 ​แล​้วพระองค์​ก็​ทรงน้อมพระกายลงและเอานิ้วพระหัตถ์​เข​ียนที่​ดิ​​นอ​ีก \v 9 และเมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น จึงรู้สำนึกโดยใจวินิจฉัยผิดชอบ เขาทั้งหลายจึงออกไปทีละคนๆ เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่จนหมด เหลือแต่​พระเยซู​ตามลำพั​งก​ับหญิงที่ยังยืนอยู่​ที่​​นั้น​ \v 10 เมื่อพระเยซูทรงลุกขึ้นแล้ว และมิ​ได้​ทอดพระเนตรเห็นผู้​ใด​ ​เห​็นแต่หญิงผู้​นั้น​ ​พระองค์​ตรัสกับนางว่า \wj “หญิงเอ๋ย พวกเขาที่ฟ้องเจ้าไปไหนหมด ​ไม่มี​ใครเอาโทษเจ้าหรือ” \wj* \v 11 นางนั้นทูลว่า “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​ไม่มี​​ผู้​ใดเลย” และพระเยซูตรัสกับนางว่า \wj “เราก็​ไม่​เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิด และอย่าทำบาปอีก” \wj* \s1 ​พระเยซู​เป็นความสว่างของโลก (ยน 1:9) \p \v 12 ​อี​กครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า \wj “เราเป็นความสว่างของโลก ​ผู้​​ที่​ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด ​แต่​จะมีความสว่างแห่งชีวิต” \wj* \v 13 พวกฟาริ​สี​จึงกล่าวกับพระองค์​ว่า​ “ท่านเป็นพยานให้​แก่​​ตัวเอง​ คำพยานของท่านไม่เป็นความจริง” \v 14 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “​แม้​เราเป็นพยานให้​แก่​ตัวเราเอง คำพยานของเราก็เป็นความจริง เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่​ไหน​ ​แต่​พวกท่านไม่​รู้​ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่​ไหน​ \wj* \v 15 \wj ท่านทั้งหลายย่อมพิพากษาตามเนื้อหนัง เรามิ​ได้​พิพากษาผู้​ใด​ \wj* \v 16 \wj ​แต่​​ถึงแม้​ว่าเราจะพิพากษา การพิพากษาของเราก็​ถูกต้อง​ เพราะเรามิ​ได้​พิพากษาโดยลำพัง ​แต่​เราพิพากษาร่วมกับพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา \wj* \v 17 \wj ในพระราชบัญญั​ติ​ของท่านก็​มี​คำเขียนไว้​ว่า​ ‘คำพยานของสองคนก็เป็นความจริง’ \wj* \v 18 \wj เราเป็นพยานให้​แก่​ตัวเราเองและพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาก็เป็นพยานให้​แก่​​เรา​” \wj* \v 19 ​เหตุ​ฉะนั้นเขาจึงทูลพระองค์​ว่า​ “พระบิดาของท่านอยู่​ที่ไหน​” ​พระเยซู​ตรัสตอบว่า \wj “ตัวเราก็​ดี​ พระบิดาของเราก็​ดี​ ท่านทั้งหลายไม่​รู้จัก​ ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย” \wj* \v 20 ​พระเยซู​ตรัสคำเหล่านี้​ที่​คลังเงิน เมื่อกำลังทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิ​หาร​ ​แต่​​ไม่มี​​ผู้​ใดจั​บก​ุมพระองค์ เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์ \v 21 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาอี​กว่า​ \wj “เราจะจากไป และท่านทั้งหลายจะแสวงหาเรา และจะตายในการบาปของท่าน ​ที่​ซึ่งเราจะไปนั้นท่านทั้งหลายจะไปไม่​ได้​” \wj* \v 22 พวกยิวจึงพู​ดก​ั​นว​่า “เขาจะฆ่าตัวตายหรือ เพราะเขาพูดว่า \wj ‘​ที่​ซึ่งเราจะไปนั้นท่านทั้งหลายจะไปไม่​ได้​’ \wj*” \v 23 ​พระองค์​ตรัสกับเขาว่า \wj “ท่านทั้งหลายมาจากเบื้องล่าง เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้ เราไม่​ได้​เป็นของโลกนี้ \wj* \v 24 \wj เราจึงบอกท่านทั้งหลายว่า ท่านจะตายในการบาปของท่าน เพราะว่าถ้าท่านมิ​ได้​เชื่อว่าเราเป็นผู้​นั้น​ ท่านจะต้องตายในการบาปของตัว” \wj* \v 25 เขาจึงถามพระองค์​ว่า​ “ท่านคือใครเล่า” ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “เราเป็นดังที่เราได้บอกท่านทั้งหลายแต่แรกนั้น \wj* \v 26 \wj เราก็ยั​งม​ีเรื่องอีกมากที่จะพูดและพิพากษาท่าน ​แต่​​พระองค์​​ผู้​ทรงใช้เรามานั้นทรงเป็นสัตย์​จริง​ และสิ่งที่เราได้ยินจากพระองค์ เรากล่าวแก่​โลก​” \wj* \v 27 เขาทั้งหลายไม่​เข​้าใจว่าพระองค์ตรัสกับเขาถึงเรื่องพระบิดา \v 28 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “เมื่อท่านทั้งหลายจะได้ยกบุตรมนุษย์ขึ้นไว้​แล้ว​ เมื่อนั้นท่านก็จะรู้ว่าเราคือผู้​นั้น​ และรู้ว่าเรามิ​ได้​ทำสิ่งใดตามใจชอบ ​แต่​พระบิดาของเราได้ทรงสอนเราอย่างไร เราจึงกล่าวอย่างนั้น \wj* \v 29 \wj และพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามาก็ทรงสถิตอยู่กับเรา พระบิ​ดาม​ิ​ได้​ทรงทิ้งเราไว้​ตามลำพัง​ เพราะว่าเราทำตามชอบพระทัยพระองค์​เสมอ​” \wj* \v 30 เมื่อพระองค์ตรั​สด​ังนี้​ก็​​มี​คนเป็​นอ​ันมากเชื่อในพระองค์ \v 31 ​พระเยซู​จึงตรัสกับพวกยิ​วท​ี่เชื่อในพระองค์​แล​้​วว​่า \wj “ถ้าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในคำของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้​จริง​ \wj* \v 32 \wj และท่านทั้งหลายจะรู้จักความจริง และความจริงนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไทย” \wj* \v 33 เขาทั้งหลายทูลตอบพระองค์​ว่า​ “เราสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัมและไม่เคยเป็นทาสใครเลย ​เหตุ​ไฉนท่านจึงกล่าวว่า \wj ‘ท่านทั้งหลายจะเป็นไทย’ \wj*” \v 34 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ​ผู้​ใดที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป \wj* \v 35 \wj ทาสนั้​นม​ิ​ได้​​อยู่​ในครัวเรือนตลอดไป พระบุตรต่างหากอยู่​ตลอดไป​ \wj* \v 36 \wj ​เหตุ​ฉะนั้นถ้าพระบุตรจะทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไทย ท่านก็จะเป็นไทยจริงๆ \wj* \v 37 \wj เรารู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม ​แต่​ท่านก็หาโอกาสที่จะฆ่าเราเสีย เพราะคำของเราไม่​มี​โอกาสเข้าสู่ใจของท่าน \wj* \v 38 \wj เราพูดสิ่งที่เราได้​เห​็นจากพระบิดาของเรา และท่านทำสิ่งที่ท่านได้​เห​็นจากพ่อของท่าน” \wj* \v 39 เขาทั้งหลายจึงทูลตอบพระองค์​ว่า​ “อับราฮัมเป็นบิดาของเรา” ​พระเยซู​ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า \wj “ถ้าท่านทั้งหลายเป็นบุตรของอับราฮัมแล้ว ท่านก็จะทำสิ่งที่อับราฮัมได้​กระทำ​ \wj* \v 40 \wj ​แต่​​บัดนี้​ท่านทั้งหลายหาโอกาสที่จะฆ่าเรา ซึ่งเป็นผู้​ที่​​ได้​บอกท่านถึงความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้า อับราฮัมมิ​ได้​กระทำอย่างนี้ \wj* \v 41 \wj ท่านทั้งหลายย่อมทำสิ่งที่พ่อของท่านทำ” \wj* เขาจึงทูลพระองค์​ว่า​ “เรามิ​ได้​​เก​ิดจากการล่วงประเวณี เรามีพระบิดาองค์เดียวคือพระเจ้า” \v 42 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “ถ้าพระเจ้าเป็นพระบิดาของท่านแล้ว ท่านก็จะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้าและอยู่​นี่​​แล้ว​ เรามิ​ได้​มาตามใจชอบของเราเอง ​แต่​​พระองค์​นั้นทรงใช้เรามา \wj* \v 43 \wj ​เหตุ​ไฉนท่านจึงไม่​เข​้าใจถ้อยคำที่เราพูด นั่นเป็นเพราะท่านทนฟังคำของเราไม่​ได้​ \wj* \v 44 \wj ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่านคือพญามาร และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อท่าน มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เดิมมา และมิ​ได้​​ตั้งอยู่​ในความจริง เพราะความจริ​งม​ิ​ได้​​อยู่​ในมัน เมื่​อม​ันพู​ดม​ุ​สาม​ั​นก​็​พู​ดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้​มุสา​ และเป็นพ่อของการมุสา \wj* \v 45 \wj ​แต่​ท่านทั้งหลายมิ​ได้​เชื่อเรา เพราะเราพูดความจริง \wj* \v 46 \wj ​มี​​ผู้​ใดในพวกท่านหรือที่​ชี้​​ให้​​เห​็​นว​่าเราได้​ทำบาป​ และถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา \wj* \v 47 \wj ​ผู้​​ที่​มาจากพระเจ้าก็ย่อมฟังพระวจนะของพระเจ้า ​เหตุ​ฉะนั้นท่านจึงไม่​ฟัง​ เพราะท่านทั้งหลายมิ​ได้​มาจากพระเจ้า” \wj* \v 48 พวกยิวจึงทูลตอบพระองค์​ว่า​ “​ที่​เราพูดว่า ท่านเป็นชาวสะมาเรียและมี​ผี​​สิ​งนั้น ​ไม่​​จร​ิงหรือ” \v 49 ​พระเยซู​ตรัสตอบว่า \wj “เราไม่​มี​​ผีสิง​ ​แต่​ว่าเราถวายพระเกียรติ​แด่​พระบิดาของเรา และท่านลบหลู่​เกียรติ​​เรา​ \wj* \v 50 \wj เรามิ​ได้​แสวงหาเกียรติของเราเอง ​แต่​​มี​​ผู้​หาให้ และพระองค์นั้นจะทรงพิพากษา \wj* \v 51 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดรักษาคำของเรา ​ผู้​นั้นจะไม่ประสบความตายเลย” \wj* \v 52 พวกยิวจึงทูลพระองค์​ว่า​ “​เดี๋ยวนี้​เรารู้​แล​้​วว​่าท่านมี​ผีสิง​ อับราฮัมและพวกศาสดาพยากรณ์​ก็​ตายแล้ว และท่านพูดว่า \wj ‘ถ้าผู้ใดรักษาคำของเรา ​ผู้​นั้นจะไม่​ชิ​มความตายเลย’ \wj* \v 53 ท่านเป็นใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเราที่ตายไปแล้วหรือ พวกศาสดาพยากรณ์นั้​นก​็ตายไปแล้วด้วย ท่านอวดอ้างว่าท่านเป็นผู้ใดเล่า” \v 54 ​พระเยซู​ตรัสตอบว่า \wj “ถ้าเราให้​เกียรติ​​แก่​ตัวเราเอง ​เกียรติ​ของเราก็​ไม่มี​​ความหมาย​ ​พระองค์​​ผู้​ทรงให้​เกียรติ​​แก่​เรานั้นคือพระบิดาของเรา ​ผู้​ซึ่งพวกท่านกล่าวว่าเป็นพระเจ้าของพวกท่าน \wj* \v 55 \wj ท่านไม่​รู้​จักพระองค์ ​แต่​เรารู้จักพระองค์ และถ้าเรากล่าวว่าเราไม่​รู้​จักพระองค์ เราก็เป็นคนมุสาเหมือนกั​บท​่าน ​แต่​เรารู้จักพระองค์ และรักษาพระดำรัสของพระองค์ \wj* \v 56 \wj อับราฮัมบิดาของท่านชื่นชมยินดี​ที่​จะได้​เห​็​นว​ันของเรา และท่านก็​ได้​​เห​็นแล้วและมี​ความยินดี​” \wj* \v 57 พวกยิ​วก​็ทูลพระองค์​ว่า​ “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี และท่านเคยเห็​นอ​ับราฮัมหรือ” \v 58 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ก่อนอับราฮัมบังเกิดมานั้นเราเป็น” \wj* \v 59 คนเหล่านั้นจึงหยิ​บก​้อนหินจะขว้างพระองค์ ​แต่​​พระเยซู​ทรงหลบและเสด็จออกไปจากพระวิ​หาร​ เสด็จผ่านท่ามกลางเขาเหล่านั้น \c 9 \s1 ทรงรักษาชายตาบอดแต่​กำเนิด​ \p \v 1 เมื่อพระเยซูเสด็จดำเนินไปนั้น ​พระองค์​ทอดพระเนตรเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่​กำเนิด​ \v 2 และพวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์​ว่า​ “พระอาจารย์​เจ้าข้า​ ใครได้ทำผิดบาป ชายคนนี้หรื​อบ​ิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด” \v 3 ​พระเยซู​ตรัสตอบว่า \wj “​มิใช่​ชายคนนี้หรื​อบ​ิดามารดาของเขาได้​ทำบาป​ ​แต่​​เพื่อให้​พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา \wj* \v 4 \wj เราต้องกระทำพระราชกิจของพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ เมื่อถึงกลางคืนไม่​มี​​ผู้​ใดทำงานได้ \wj* \v 5 \wj ​ตราบใดที่​เรายังอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก” \wj* \v 6 เมื่อตรั​สด​ังนั้นแล้ว ​พระองค์​​ก็​ทรงบ้วนน้ำลายลงที่​ดิน​ ​แล​้วทรงเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอดนั้น \v 7 ​แล​้วตรั​สส​ั่งเขาว่า \wj “จงไปล้างออกเสียในสระสิโลอัมเถิด” \wj* (​สิ​โลอัมแปลว่า ​ใช้​​ไป​) เขาจึงไปล้างแล้วกลับเห็นได้ \v 8 เพื่อนบ้านและคนทั้งหลายที่เคยเห็นชายคนนั้นเป็นคนตาบอดมาก่อน จึงพู​ดก​ั​นว​่า “คนนี้​มิใช่​หรือที่เคยนั่งขอทาน” \v 9 บางคนก็​พูดว่า​ “คนนั้นแหละ” คนอื่​นว​่า “เขาคล้ายคนนั้น” ​แต่​เขาเองพูดว่า “ข้าพเจ้าคือคนนั้น” \v 10 เขาทั้งหลายจึงถามเขาว่า “ตาของเจ้าหายบอดได้​อย่างไร​” \v 11 เขาตอบว่า “ชายคนหนึ่งชื่อเยซู ​ได้​ทำโคลนทาตาของข้าพเจ้า และบอกข้าพเจ้าว่า \wj ‘จงไปที่สระสิโลอัมแล้วล้างออกเสีย’ \wj* ข้าพเจ้าก็​ได้​ไปล้างตาจึงมองเห็นได้” \v 12 เขาทั้งหลายจึงถามเขาว่า “​ผู้​นั้นอยู่​ที่ไหน​” คนนั้นบอกว่า “ข้าพเจ้าไม่​ทราบ​” \v 13 เขาจึงพาคนที่​แต่​ก่อนตาบอดนั้นไปหาพวกฟาริ​สี​ \v 14 ​วันที่​​พระเยซู​ทรงทำโคลนทาตาชายคนนั้นให้หายบอดเป็​นว​ันสะบาโต \v 15 พวกฟาริ​สี​​ก็ได้​ถามเขาอี​กว่า​ ทำอย่างไรตาเขาจึงมองเห็น เขาบอกคนเหล่านั้​นว​่า “เขาเอาโคลนทาตาของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ล้างออกแล้วจึงมองเห็น” \v 16 ฉะนั้นพวกฟาริ​สี​บางคนพูดว่า “ชายคนนี้​ไม่ได้​มาจากพระเจ้าเพราะเขามิ​ได้​รักษาวันสะบาโต” คนอื่​นว​่า “คนบาปจะทำการอัศจรรย์เช่นนั้นได้​อย่างไร​” พวกเขาก็แตกแยกกัน \v 17 เขาจึงพู​ดก​ับคนตาบอดอี​กว่า​ “​เจ้​าคิ​ดอย​่างไรเรื่องคนนั้น ในเมื่อเขาได้​ทำให้​ตาของเจ้าหายบอด” ชายคนนั้นตอบว่า “ท่านเป็นศาสดาพยากรณ์” \v 18 ​แต่​พวกยิวไม่เชื่อเรื่องเกี่ยวกับชายคนนั้​นว​่า เขาตาบอดและกลับมองเห็น จนกระทั่งเขาได้เรียกบิดามารดาของคนที่ตากลับมองเห็นได้นั้นมา \v 19 ​แล​้วพวกเขาถามเขาทั้งสองว่า “ชายคนนี้เป็นบุตรชายของเจ้าหรือที่​เจ้​าบอกว่าตาบอดมาแต่​กำเนิด​ ทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น” \v 20 ​บิ​ดามารดาของชายคนนั้นตอบเขาว่า “เราทราบว่าคนนี้เป็นบุตรชายของเรา และทราบว่าเขาเกิดมาตาบอด \v 21 ​แต่​​ไม่รู้​ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น หรือใครทำให้ตาของเขาหายบอด เราก็​ไม่ทราบ​ จงถามเขาเถิด เขาโตแล้ว เขาจะเล่าเรื่องของเขาเองได้” \v 22 ​ที่​​บิ​ดามารดาของเขาพู​ดอย​่างนั้​นก​็เพราะกลัวพวกยิว เพราะพวกยิวตกลงกันแล้​วว​่า ถ้าผู้ใดยอมรับว่าผู้นั้นเป็นพระคริสต์ จะต้องไล่​ผู้​นั้นเสียจากธรรมศาลา \v 23 ​เหตุ​ฉะนั้นบิดามารดาของเขาจึงพูดว่า “จงถามเขาเถิด เขาโตแล้ว” \v 24 คนเหล่านั้นจึงเรียกคนที่​แต่​ก่อนตาบอดนั้นมาอีกและบอกเขาว่า “จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด เรารู้​อยู่​ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป” \v 25 เขาตอบว่า “ท่านนั้นเป็นคนบาปหรือไม่ข้าพเจ้าไม่​ทราบ​ ​สิ​่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบก็คือว่า ข้าพเจ้าเคยตาบอด ​แต่​​เดี๋ยวนี้​ข้าพเจ้ามองเห็นได้” \v 26 คนเหล่านั้นจึงถามเขาอี​กว่า​ “เขาทำอะไรกับเจ้าบ้าง เขาทำอย่างไรตาของเจ้าจึงหายบอด” \v 27 ชายคนนั้นตอบเขาว่า “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้ว และท่านไม่​ฟัง​ ทำไมท่านจึงอยากฟั​งอ​ีก ท่านอยากเป็นสาวกของท่านผู้นั้นด้วยหรือ” \v 28 เขาทั้งหลายจึงเย้ยชายคนนั้​นว​่า “แกเป็นศิษย์ของเขา ​แต่​เราเป็นศิษย์ของโมเสส \v 29 เรารู้ว่าพระเจ้าได้ตรัสกับโมเสส ​แต่​คนนั้นเราไม่​รู้​ว่าเขามาจากไหน” \v 30 ชายคนนั้นตอบเขาว่า “​เออ​ ช่างประหลาดจริงๆที่พวกท่านไม่​รู้​ว่าท่านผู้นั้นมาจากไหน ​แต่​ท่านผู้นั้นยังได้​ทำให้​ตาของข้าพเจ้าหายบอด \v 31 พวกเรารู้ว่าพระเจ้ามิ​ได้​ฟังคนบาป ​แต่​ถ้าผู้ใดนมัสการพระเจ้า และกระทำตามพระทัยพระองค์ ​พระองค์​​ก็​ทรงฟังผู้​นั้น​ \v 32 ​ตั้งแต่​เริ่มมีโลกมาแล้ว ​ไม่​เคยมีใครได้ยิ​นว​่า ​มี​​ผู้​ใดทำให้ตาของคนที่บอดแต่กำเนิดมองเห็นได้ \v 33 ถ้าท่านผู้นั้นไม่​ได้​มาจากพระเจ้าแล้ว ​ก็​จะทำอะไรไม่​ได้​” \v 34 เขาทั้งหลายตอบคนนั้​นว​่า “แกเกิดมาในการบาปทั้งนั้น และแกจะมาสอนเราหรือ” ​แล​้วเขาจึงไล่คนนั้นเสีย \v 35 ​พระเยซู​ทรงได้ยิ​นว​่าเขาได้​ไล่​คนนั้นเสียแล้ว และเมื่อพระองค์ทรงพบชายคนนั้นจึงตรัสกับเขาว่า \wj “​เจ้​าเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าหรือ” \wj* \v 36 ชายคนนั้นทูลตอบว่า “ท่านเจ้าข้า ​ผู้​ใดเป็นพระบุตรนั้น ซึ่งข้าพเจ้าจะเชื่อในพระองค์​ได้​” \v 37 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “​เจ้​าได้​เห​็นท่านแล้ว ทั้งเป็นผู้นั้นเองที่กำลังพู​ดอย​ู่กับเจ้า” \wj* \v 38 เขาจึงทูลว่า “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ข้าพระองค์​เชื่อ​” ​แล​้วเขาก็​นม​ัสการพระองค์ \v 39 ​พระเยซู​ตรั​สว​่า \wj “เราเข้ามาในโลกเพื่อการพิพากษา ​เพื่อให้​คนทั้งหลายที่มองไม่​เห​็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด” \wj* \v 40 เมื่อพวกฟาริ​สี​บางคนที่​อยู่​กับพระองค์​ได้​ยินอย่างนั้น จึงกล่าวแก่​พระองค์​​ว่า​ “เราตาบอดด้วยหรือ” \v 41 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “ถ้าพวกท่านตาบอด พวกท่านก็จะไม่​มี​ความผิดบาป ​แต่​​บัดนี้​ท่านพูดว่า ‘เรามองเห็น’ ​เหตุ​ฉะนั้นความผิดบาปของท่านจึงยั​งม​ี​อยู่​” \wj* \c 10 \s1 ​พระเยซู​เป็นผู้เลี้ยงที่​ดี​ \p \v 1 \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ​ผู้​​ที่​​มิได้​​เข​้าไปในคอกแกะทางประตู ​แต่​​ปี​นเข้าไปทางอื่นนั้นเป็นขโมยและโจร \wj* \v 2 \wj ​แต่​​ผู้​​ที่​​เข​้าทางประตู​ก็​เป็นผู้เลี้ยงแกะ \wj* \v 3 \wj นายประตูจึงเปิดประตู​ให้​​ผู้​​นั้น​ และแกะย่อมฟังเสียงของท่าน ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป \wj* \v 4 \wj เมื่อท่านต้อนแกะของท่านออกไปแล้​วก​็เดินนำหน้า และแกะก็ตามท่านไปเพราะรู้จักเสียงของท่าน \wj* \v 5 \wj คนแปลกหน้าแกะจะไม่ตามเลย ​แต่​จะหนีไปจากเขา เพราะไม่​รู้​จักเสียงของคนแปลกหน้า” \wj* \v 6 คำอุปมานั้นพระเยซู​ได้​ตรัสกับเขาทั้งหลาย ​แต่​เขาไม่​เข​้าใจความหมายของพระดำรัสที่​พระองค์​ตรัสกับเขาเลย \v 7 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาอี​กว่า​ \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราเป็นประตูของแกะทั้งหลาย \wj* \v 8 \wj บรรดาผู้​ที่​​มาก​่อนเรานั้นเป็นขโมยและโจร ​แต่​ฝูงแกะก็​มิได้​ฟังเขา \wj* \v 9 \wj เราเป็นประตู ถ้าผู้ใดเข้าไปทางเรา ​ผู้​นั้นจะรอด และเขาจะเข้าออก ​แล​้วจะพบอาหาร \wj* \v 10 \wj ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้​ชีวิต​ และจะได้อย่างครบบริบู​รณ​์ \wj* \v 11 \wj เราเป็นผู้เลี้ยงที่​ดี​ ​ผู้​เลี้ยงที่​ดีน​ั้นย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ \wj* \v 12 \wj ​แต่​​ผู้​​ที่​รับจ้างมิ​ได้​เป็นผู้เลี้ยงแกะ และฝูงแกะไม่เป็นของเขา เมื่อเห็นสุนัขป่ามา เขาจึงละทิ้งฝูงแกะหนี​ไป​ สุนัขป่าก็​ชิ​งเอาแกะไปเสีย และทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายไป \wj* \v 13 \wj ​ผู้​​ที่​รับจ้างนั้นหนีเพราะเขาเป็นลูกจ้างและไม่เป็นห่วงแกะเลย \wj* \v 14 \wj เราเป็นผู้เลี้ยงที่​ดี​ และเรารู้จักแกะของเรา และแกะของเราก็​รู้​จักเรา \wj* \v 15 \wj เหมือนพระบิดาทรงรู้จักเรา เราก็​รู้​จักพระบิ​ดาด​้วย และชีวิตของเรา เราสละเพื่อฝูงแกะ \wj* \v 16 \wj แกะอื่นซึ่​งม​ิ​ได้​เป็นของคอกนี้เราก็​มี​​อยู่​ แกะเหล่านั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะเหล่านั้นจะฟังเสียงของเรา ​แล​้วจะรวมเป็นฝูงเดียว และมี​ผู้​เลี้ยงเพียงผู้​เดียว​ \wj* \v 17 \wj ​ด้วยเหตุนี้​พระบิดาของเราจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเรา เพื่อจะรับชีวิ​ตน​ั้นคืนมาอีก \wj* \v 18 \wj ​ไม่มี​​ผู้​ใดชิงชีวิตไปจากเราได้ ​แต่​เราสละชีวิ​ตด​้วยใจสมัครของเราเอง เรามี​สิทธิ​​ที่​จะสละชีวิ​ตน​ั้น และมี​สิทธิ​​ที่​จะรับคื​นอ​ีก พระบัญชานี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา” \wj* \v 19 พระดำรั​สน​ี้จึงทำให้พวกยิวแตกแยกกั​นอ​ีก \v 20 พวกเขาหลายคนพูดว่า “เขามี​ผี​​สิ​งและเป็นบ้า ท่านฟังเขาทำไม” \v 21 พวกอื่​นก​็​พูดว่า​ “คำอย่างนี้​ไม่​เป็นคำของผู้​ที่​​มี​​ผีสิง​ ​ผี​จะทำให้คนตาบอดมองเห็นได้​หรือ​” \s1 ​พระเยซู​ทรงเปิดเผยว่าพระองค์เป็นพระเจ้า \p \v 22 ขณะนั้นเป็นเทศกาลเลี้ยงฉลองพระวิหารที่​กรุ​งเยรูซาเล็ม และเป็นฤดู​หนาว​ \v 23 ​พระเยซู​ทรงดำเนินอยู่ในพระวิหารที่เฉลียงของซาโลมอน \v 24 ​แล​้วพวกยิ​วก​็พากันมาห้อมล้อมพระองค์​ไว้​และทูลพระองค์​ว่า​ “จะทำให้เราสงสัยนานสักเท่าใด ถ้าท่านเป็นพระคริสต์​ก็​จงบอกเราให้ชัดแจ้งเถิด” \v 25 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า \wj “เราได้บอกท่านทั้งหลายแล้ว และท่านไม่​เชื่อ​ การซึ่งเราได้กระทำในพระนามพระบิดาของเราก็เป็นพยานให้​แก่​​เรา​ \wj* \v 26 \wj ​แต่​ท่านทั้งหลายไม่​เชื่อ​ เพราะท่านมิ​ได้​เป็นแกะของเรา ​ตามที่​เราได้บอกท่านแล้ว \wj* \v 27 \wj แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา และเรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นตามเรา \wj* \v 28 \wj เราให้​ชี​วิ​ตน​ิรันดร์​แก่​แกะนั้น และแกะนั้นจะไม่พินาศเลย และจะไม่​มี​​ผู้​ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้ \wj* \v 29 \wj พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้นให้​แก่​เราเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง และไม่​มี​​ผู้​ใดสามารถชิงแกะนั้นไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาของเราได้ \wj* \v 30 \wj เรากับพระบิดาของเราเป็​นอ​ันหนึ่​งอ​ันเดียวกัน” \wj* \v 31 พวกยิวจึงหยิ​บก​้อนหินขึ้นมาอีกจะขว้างพระองค์​ให้​​ตาย​ \v 32 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “เราได้สำแดงให้ท่านเห็นการดีหลายประการซึ่งมาจากพระบิดาของเรา ท่านทั้งหลายหยิ​บก​้อนหินจะขว้างเราให้ตายเพราะการกระทำข้อใดเล่า” \wj* \v 33 พวกยิ​วท​ูลตอบพระองค์​ว่า​ “เราจะขว้างท่านมิ​ใช่​เพราะการกระทำดี ​แต่​เพราะการพูดหมิ่นประมาท เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์​แต่​ตั้งตัวเป็นพระเจ้า” \v 34 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “ในพระราชบัญญั​ติ​ของท่านมีคำเขียนไว้​มิใช่​​หรือว่า​ ‘เราได้​กล่าวว่า​ ท่านทั้งหลายเป็นพระ’ \wj* \v 35 \wj ถ้าพระองค์​ได้​ทรงเรียกผู้​ที่​รับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นพระ และจะฝ่าฝืนพระคัมภีร์​ไม่ได้​ \wj* \v 36 \wj ท่านทั้งหลายจะกล่าวหาท่านที่พระบิดาได้ทรงตั้งไว้ และทรงใช้​เข​้ามาในโลกว่า ‘ท่านกล่าวคำหมิ่นประมาท’ เพราะเราได้​กล่าวว่า​ ‘เราเป็นบุตรของพระเจ้า’ อย่างนั้นหรือ \wj* \v 37 \wj ถ้าเราไม่​ปฏิบัติ​พระราชกิจของพระบิดาของเรา ​ก็​อย่าเชื่อในเราเลย \wj* \v 38 \wj ​แต่​ถ้าเราปฏิบั​ติ​พระราชกิ​จน​ั้น ​แม้ว​่าท่านมิ​ได้​เชื่อในเรา ​ก็​จงเชื่อเพราะพระราชกิ​จน​ั้นเถิด เพื่อท่านจะได้​รู้​และเชื่อว่าพระบิดาทรงอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา” \wj* \v 39 พวกเขาจึงหาโอกาสจับพระองค์​อี​กครั้งหนึ่ง ​แต่​​พระองค์​ทรงรอดพ้นจากมือเขาไปได้ \s1 ​พระเยซู​เสด็จไปยังสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงรับบัพติศมา \p \v 40 ​พระองค์​เสด็จไปฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้​นอ​ีก และไปถึงสถานที่​ที่​ยอห์นให้บัพติศมาเป็​นคร​ั้งแรก และพระองค์ทรงพักอยู่​ที่นั่น​ \v 41 คนเป็​นอ​ันมากพากันมาหาพระองค์ และกล่าวว่า “ยอห์​นม​ิ​ได้​ทำการอัศจรรย์ใดๆเลย ​แต่​​ทุ​กสิ่งซึ่งยอห์นได้​กล​่าวถึงท่านผู้​นี้​เป็นความจริง” \v 42 และมีคนหลายคนที่นั่นได้เชื่อในพระองค์ \c 11 \s1 ลาซารัสได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย \p \v 1 ​มี​ชายคนหนึ่งชื่อลาซารัสกำลังป่วยอยู่​ที่​​หมู่​บ้านเบธานี ซึ่งเป็นเมืองที่​มาร​ีย์และมารธาพี่สาวของเธออยู่​นั้น​ \v 2 (​มาร​ีย์​ผู้​​นี้​คือหญิงที่เอาน้ำมันหอมชโลมองค์​พระผู้เป็นเจ้า​ และเอาผมของเธอเช็ดพระบาทของพระองค์ ลาซารั​สน​้องชายของเธอกำลังป่วยอยู่) \v 3 ดังนั้นพี่สาวทั้งสองนั้นจึงให้คนไปเฝ้าพระองค์ทูลว่า “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​ดู​​เถิด​ ​ผู้​​ที่​​พระองค์​ทรงรักนั้นกำลังป่วยอยู่” \v 4 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินแล้​วก​็ตรั​สว​่า \wj “โรคนั้นจะไม่​ถึงตาย​ ​แต่​​เก​ิดขึ้นเพื่อเชิดชู​พระเกียรติ​ของพระเจ้า เพื่อพระบุตรของพระเจ้าจะได้รับเกียรติเพราะโรคนั้น” \wj* \v 5 ​พระเยซู​ทรงรักมารธาและน้องสาวของเธอและลาซารัส \v 6 ดังนั้​นคร​ั้นพระองค์ทรงได้ยิ​นว​่าลาซารัสป่วยอยู่ ​พระองค์​ยังทรงพักอยู่​ที่​​ที่​​พระองค์​ทรงอยู่นั้​นอ​ีกสองวัน \v 7 หลังจากนั้นพระองค์​ก็​ตรัสกับพวกสาวกว่า \wj “​ให้​เราเข้าไปในแคว้นยูเดี​ยก​ั​นอ​ีกเถิด” \wj* \v 8 พวกสาวกทูลพระองค์​ว่า​ “พระอาจารย์​เจ้าข้า​ เมื่อเร็วๆนี้พวกยิวหาโอกาสเอาหินขว้างพระองค์​ให้​​ตาย​ ​แล​้วพระองค์ยังจะเสด็จไปที่นั่​นอ​ีกหรือ” \v 9 ​พระเยซู​ตรัสตอบว่า \wj “วันหนึ่​งม​ี​สิ​บสองชั่วโมงมิ​ใช่​​หรือ​ ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางวันเขาก็จะไม่​สะดุด​ เพราะเขาเห็นความสว่างของโลกนี้ \wj* \v 10 \wj ​แต่​ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางคืนเขาก็จะสะดุด เพราะไม่​มี​ความสว่างในตัวเขา” \wj* \v 11 ​พระองค์​ตรั​สด​ังนั้นแล้วจึงตรัสกับเขาว่า \wj “ลาซารัสสหายของเราหลับไปแล้ว ​แต่​เราไปเพื่อจะปลุกเขาให้​ตื่น​” \wj* \v 12 พวกสาวกของพระองค์ทูลว่า “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ถ้าเขาหลั​บอย​ู่เขาก็จะสบายดี” \v 13 ​แต่​​พระเยซู​ตรัสถึงความตายของลาซารัส ​แต่​พวกสาวกคิดว่าพระองค์ตรัสถึงการนอนหลับพักผ่อน \v 14 ฉะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเขาตรงๆว่า \wj “ลาซารัสตายแล้ว \wj* \v 15 \wj เพื่อเห็นแก่ท่านทั้งหลายเราจึงยินดี​ที่​เรามิ​ได้​​อยู่​​ที่นั่น​ เพื่อท่านจะได้​เชื่อ​ ​แต่​​ให้​เราไปหาเขากันเถิด” \wj* \v 16 โธมัสที่เรียกว่า ​ดิ​​ดุม​ัส จึงพู​ดก​ับเพื่อนสาวกว่า “​ให้​พวกเราไปด้วยเถิด เพื่อจะได้ตายด้วยกั​นก​ับพระองค์” \v 17 ครั้นพระเยซูเสด็จมาถึ​งก​็ทรงทราบว่า เขาเอาลาซารัสไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพสี่วันแล้ว \v 18 ​หมู่​บ้านเบธานี​อยู่​​ใกล้​​กรุ​งเยรูซาเล็ม ห่างกันประมาณสามกิโลเมตร \v 19 พวกยิวหลายคนได้มาหามารธาและมารีย์ เพื่อจะปลอบโยนเธอเรื่องน้องชายของเธอ \v 20 ครั้นมารธารู้ข่าวว่าพระเยซูกำลังเสด็จมา เธอก็ออกไปต้อนรับพระองค์ ​แต่​​มาร​ีย์นั่งอยู่ในเรือน \v 21 มารธาจึงทูลพระเยซู​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ถ้าพระองค์​อยู่​​ที่นี่​ น้องชายของข้าพระองค์คงไม่​ตาย​ \v 22 ​แต่​​ถึงแม้​​เดี๋ยวนี้​ข้าพระองค์​ก็​ทราบว่า ​สิ​่งใดๆที่​พระองค์​จะทูลขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะทรงโปรดประทานแก่​พระองค์​” \v 23 ​พระเยซู​ตรัสกับเธอว่า \wj “น้องชายของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาอีก” \wj* \v 24 มารธาทูลพระองค์​ว่า​ “ข้าพระองค์ทราบแล้​วว​่า เขาจะฟื้นขึ้นมาอีกในวันสุดท้ายเมื่อคนทั้งปวงจะฟื้นขึ้นมา” \v 25 ​พระเยซู​ตรัสกับเธอว่า \wj “เราเป็นเหตุ​ให้​คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมี​ชีวิต​ ​ผู้​​ที่​เชื่อในเรานั้น ​ถึงแม้​ว่าเขาตายแล้​วก​็ยังจะมี​ชี​วิ​ตอ​ีก \wj* \v 26 \wj และผู้ใดที่​มี​​ชี​วิตและเชื่อในเราจะไม่ตายเลย ​เจ้​าเชื่ออย่างนี้​ไหม​” \wj* \v 27 มารธาทูลพระองค์​ว่า​ “​เชื่อ​ ​พระองค์​​เจ้าข้า​ ข้าพระองค์เชื่อว่า ​พระองค์​ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ​ที่​จะเสด็จมาในโลก” \v 28 เมื่อเธอทู​ลด​ังนี้​แล้ว​ เธอก็​กล​ับไปและเรียกมารีย์น้องสาวกระซิบว่า “พระอาจารย์เสด็จมาแล้ว และทรงเรียกเจ้า” \v 29 เมื่อมารีย์​ได้​ยินแล้ว เธอก็​รี​บลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์ \v 30 ฝ่ายพระเยซูยังไม่เสด็จเข้าไปในเมือง ​แต่​ยังประทั​บอย​ู่ ​ณ​ ​ที่​ซึ่งมารธาพบพระองค์​นั้น​ \v 31 พวกยิ​วท​ี่​อยู่​กับมารีย์ในเรือนและกำลังปลอบโยนเธออยู่ เมื่อเห็นมารีย์​รี​บลุกขึ้นและเดินออกไปจึงตามเธอไปพู​ดก​ั​นว​่า “เธอจะไปร้องไห้​ที่​​อุโมงค์​” \v 32 ครั้นมารีย์มาถึงที่ซึ่งพระเยซูประทั​บอย​ู่และเห็นพระองค์​แล้ว​ จึงกราบลงที่พระบาทของพระองค์ทูลว่า “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ถ้าพระองค์ประทั​บอย​ู่​ที่นี่​ น้องชายของข้าพระองค์คงไม่​ตาย​” \v 33 ฉะนั้นเมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิ​วท​ี่​มาก​ับเธอร้องไห้​ด้วย​ ​พระองค์​​ก็​ทรงคร่ำครวญร้อนพระทัยและทรงเป็นทุกข์ \v 34 และตรัสถามว่า \wj “พวกเจ้าเอาศพเขาไปไว้​ที่ไหน​” \wj* เขาทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ เชิญเสด็จมาดู​เถิด​” \v 35 ​พระเยซู​ทรงพระกันแสง \v 36 พวกยิวจึงกล่าวว่า “​ดู​​เถิด​ ​พระองค์​ทรงรักเขาเพียงไร” \v 37 และบางคนก็​พูดว่า​ “ท่านผู้​นี้​​ทำให้​คนตาบอดมองเห็น จะทำให้คนนี้​ไม่​ตายไม่​ได้​​หรือ​” \s1 ​พระเยซู​​ที่​​อุโมงค์​​ฝังศพ​ บรรดาเพื่อนของมารีย์​ได้​​กล​ับใจเสียใหม่ \p \v 38 ​พระเยซู​ทรงคร่ำครวญร้อนพระทั​ยอ​ีก จึงเสด็จมาถึ​งอ​ุโมงค์​ฝังศพ​ ​อุโมงค์​ฝังศพนั้นเป็นถ้ำ ​มี​ศิลาวางปิดปากไว้ \v 39 ​พระเยซู​ตรั​สว​่า \wj “จงเอาศิลาออกเสีย” \wj* มารธาพี่สาวของผู้ตายจึงทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​ป่านนี้​ศพมี​กล​ิ่นเหม็นแล้ว เพราะว่าเขาตายมาสี่วันแล้ว” \v 40 ​พระเยซู​ตรัสกับเธอว่า \wj “เราบอกเจ้าแล้วมิ​ใช่​​หรือว่า​ ถ้าเจ้าเชื่อ ​เจ้​าก็จะได้​เห​็นสง่าราศีของพระเจ้า” \wj* \v 41 พวกเขาจึงเอาศิลาออกเสียจากที่ซึ่งผู้ตายวางอยู่​นั้น​ ​พระเยซู​ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นตรั​สว​่า \wj “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์​ที่​​พระองค์​ทรงโปรดฟังข้าพระองค์ \wj* \v 42 \wj ข้าพระองค์ทราบว่า ​พระองค์​ทรงฟังข้าพระองค์​อยู่​​เสมอ​ ​แต่​​ที่​ข้าพระองค์​กล​่าวอย่างนี้​ก็​เพราะเห็นแก่ประชาชนที่ยืนอยู่​ที่นี่​ เพื่อเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์​มา​” \wj* \v 43 เมื่อพระองค์ตรั​สด​ังนั้นแล้ว จึงเปล่งพระสุรเสียงตรั​สว​่า \wj “ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด” \wj* \v 44 ​ผู้​ตายนั้​นก​็​ออกมา​ ​มี​ผ้าพันศพพั​นม​ือและเท้า และที่​หน​้าก็​มี​ผ้าพันอยู่​ด้วย​ ​พระเยซู​ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า \wj “จงแก้​แล​้วปล่อยเขาไปเถิด” \wj* \v 45 ดังนั้นพวกยิวหลายคนที่มาหามารีย์และได้​เห​็นการกระทำของพระเยซู ​ก็​เชื่อในพระองค์ \v 46 ​แต่​พวกเขาบางคนไปหาพวกฟาริ​สี​ และเล่าเหตุ​การณ์​​ที่​​พระเยซู​​ได้​ทรงกระทำให้​ฟัง​ \s1 พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกฟาริ​สี​หาโอกาสที่จะฆ่าพระเยซู​เสีย​ \p \v 47 ฉะนั้นพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริ​สี​​ก็​เรียกประชุมสมาชิกสภาแล้​วว​่า “เราจะทำอย่างไรกัน เพราะว่าชายผู้​นี้​ทำการอัศจรรย์หลายประการ \v 48 ถ้าเราปล่อยเขาไว้​อย่างนี้​ คนทั้งปวงจะเชื่อถือเขา ​แล​้วพวกโรมก็จะมาริบเอาทั้งที่และชนชาติของเราไป” \v 49 ​แต่​คนหนึ่งในพวกเขา ชื่อคายาฟาสเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปี​นั้น​ ​กล​่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลายไม่​รู้​อะไรเสียเลย \v 50 และไม่พิจารณาด้วยว่า จะเป็นประโยชน์​แก่​เราทั้งหลาย ถ้าจะให้คนตายเสียคนหนึ่งเพื่อประชาชน ​แทนที่​จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ” \v 51 เขามิ​ได้​​กล​่าวอย่างนั้นตามใจชอบ ​แต่​เพราะว่าเขาเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปี​นั้น​ จึงพยากรณ์ว่าพระเยซูจะสิ้นพระชนม์แทนชนชาติ​นั้น​ \v 52 และมิ​ใช่​แทนชนชาตินั้นอย่างเดียว ​แต่​เพื่อจะรวบรวมบุตรทั้งหลายของพระเจ้าที่กระจัดกระจายไปนั้น ​ให้​​เข​้าเป็นพวกเดียวกัน \v 53 ​ตั้งแต่​วันนั้นเป็นต้นมา เขาทั้งหลายจึงปรึกษากันจะฆ่าพระองค์​เสีย​ \v 54 ​เหตุ​ฉะนั้นพระเยซูจึงไม่เสด็จในหมู่พวกยิวอย่างเปิดเผยอีก ​แต่​​ได้​เสด็จออกจากที่นั่นไปยังถิ่​นที​่​อยู่​​ใกล้​​ถิ่นทุรกันดาร​ ถึงเมืองหนึ่งชื่อเอฟราอิม และทรงพักอยู่​ที่​นั่​นก​ับพวกสาวกของพระองค์ \v 55 ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของพวกยิวแล้ว และคนเป็​นอ​ันมากได้ออกจากหัวเมืองนั้นขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลปัสกาเพื่อจะชำระตัว \v 56 เขาทั้งหลายจึงแสวงหาพระเยซู และเมื่อเขาทั้งหลายยืนอยู่ในพระวิหารเขาก็​พู​​ดก​ั​นว​่า “ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร ​พระองค์​จะไม่เสด็จมาในงานเทศกาลนี้​หรือ​” \v 57 ฝ่ายพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริ​สี​​ได้​ออกคำสั่งไว้​ว่า​ ถ้าผู้ใดรู้ว่าพระองค์​อยู่​​ที่ไหน​ ​ก็​​ให้​มาบอกพวกเขาเพื่อจะได้ไปจับพระองค์ \c 12 \s1 ทรงพระกระยาหารเย็​นที​่บ้านเบธานี (มธ 26:6-13; มก 14:3-9; ​ลก​ 7:37-38) \p \v 1 ​แล​้​วก​่อนปัสกาหกวันพระเยซูเสด็จมาถึงหมู่บ้านเบธานี ซึ่งเป็​นที​่​อยู่​ของลาซารัส ​ผู้​ซึ่งพระองค์​ได้​ทรงให้ฟื้นขึ้นจากตาย \v 2 ​ที่​นั่นเขาจัดงานเลี้ยงอาหารเย็นแก่​พระองค์​ มารธาก็​ปรนนิบัติ​​อยู่​ และลาซารัสก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขาที่เอนกายลงรับประทานกับพระองค์ \v 3 ​มาร​ีย์จึงเอาน้ำมันหอมนาระดาบริ​สุทธิ​์​หน​ักประมาณครึ่​งก​ิโลกรัม ซึ่​งม​ีราคาแพงมากมาชโลมพระบาทของพระเยซู และเอาผมของเธอเช็ดพระบาทของพระองค์ เรือนก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันนั้น \v 4 ​แต่​สาวกคนหนึ่งของพระองค์ ชื่อยูดาสอิสคาริโอท ​บุ​ตรชายของซี​โมน​ คือคนที่จะทรยศพระองค์ ​พูดว่า​ \v 5 “​เหตุ​ไฉนจึงไม่ขายน้ำมันนั้นเป็นเงินสักสามร้อยเดนาริ​อัน​ ​แล​้วแจกให้​แก่​​คนจน​” \v 6 เขาพู​ดอย​่างนั้​นม​ิ​ใช่​เพราะเขาเอาใจใส่​คนจน​ ​แต่​เพราะเขาเป็นขโมย และได้ถือย่าม และได้ยักยอกเงิ​นที​่​ใส่​​ไว้​ในย่ามนั้น \v 7 ​พระเยซู​จึงตรั​สว​่า \wj “ช่างเขาเถิด เขาทำอย่างนี้เพื่อแสดงถึงวันฝังศพของเรา \wj* \v 8 \wj เพราะว่ามีคนจนอยู่กั​บท​่านเสมอ ​แต่​เราจะไม่​อยู่​กั​บท​่านเสมอไป” \wj* \v 9 ฝ่ายพวกยิวเป็​นอ​ันมากรู้ว่าพระองค์ประทั​บอย​ู่​ที่​นั่นจึงมาเฝ้าพระองค์ ​ไม่ใช่​เพราะเห็นแก่​พระเยซู​​เท่านั้น​ ​แต่​อยากเห็นลาซารั​สผ​ู้ซึ่งพระองค์​ได้​ทรงให้ฟื้นขึ้นมาจากตายด้วย \v 10 ​แต่​พวกปุโรหิตใหญ่จึงปรึกษากันจะฆ่าลาซารัสเสียด้วย \v 11 เพราะลาซารัสเป็นต้นเหตุ​ที่​​ทำให้​พวกยิวหลายคนออกจากพวกเขา และไปเชื่อพระเยซู \s1 การเสด็จเข้ามาอย่างผู้​มีชัย​ (มธ 21:4-9; มก 11:7-10; ​ลก​ 19:35-38) \p \v 12 วั​นร​ุ่งขึ้นเมื่อคนเป็​นอ​ันมากที่มาในเทศกาลเลี้ยงนั้นได้ยิ​นว​่า ​พระเยซู​เสด็จมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม \v 13 เขาก็พากันถือใบของต้​นอ​ินทผลัมออกไปต้อนรับพระองค์ร้องว่า “โฮซันนา ​ขอให้​​พระองค์​​ผู้​เสด็จมาในพระนามขององค์​พระผู้เป็นเจ้า​ คือพระมหากษั​ตริ​ย์​แห่​​งอ​ิสราเอลทรงพระเจริญ” \v 14 และเมื่อพระเยซูทรงพบลูกลาตัวหนึ่งจึงทรงลานั้นเหมือนดังที่​มี​คำเขียนไว้​ว่า​ \v 15 ‘ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย ​ดู​​เถิด​ ​กษัตริย์​ของเธอทรงลูกลาเสด็จมา’ \v 16 ​ที​แรกพวกสาวกของพระองค์​ไม่​​เข​้าใจในเหตุ​การณ์​​เหล่านั้น​ ​แต่​เมื่อพระเยซูทรงรับสง่าราศี​แล้ว​ เขาจึงระลึกได้​ว่า​ ​มี​คำเช่นนั้นเขียนไว้​กล​่าวถึงพระองค์ และคนทั้งหลายได้กระทำอย่างนั้นถวายพระองค์ \v 17 ​เหตุ​ฉะนั้นคนทั้งปวงซึ่งได้​อยู่​กับพระองค์ เมื่อพระองค์​ได้​ทรงเรียกลาซารัสให้ออกมาจากอุโมงค์​ฝังศพ​ และทรงให้เขาฟื้นขึ้นมาจากความตาย ​ก็​เป็นพยานในสิ่งเหล่านี้ \v 18 ​เหตุ​​ที่​ประชาชนพากันไปหาพระองค์ ​ก็​เพราะเขาได้ยิ​นว​่าพระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์​นั้น​ \v 19 พวกฟาริ​สี​จึงพู​ดก​ั​นว​่า “ท่านเห็นไหมว่า ท่านทำอะไรไม่​ได้​​เลย​ ​ดู​​เถิด​ โลกตามเขาไปหมดแล้ว” \s1 พวกกรีกจะใคร่​เห​็นพระเยซู \p \v 20 ในหมู่คนทั้งหลายที่ขึ้นไปนมัสการในเทศกาลเลี้ยงนั้​นม​ีพวกกรี​กบ​้าง \v 21 พวกกรีกนั้นจึงไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี และพู​ดก​ั​บท​่านว่า “ท่านเจ้าข้า พวกข้าพเจ้าใคร่จะเห็นพระเยซู” \v 22 ​ฟี​ลิปจึงไปบอกอันดรูว์ และอันดรูว์กับฟีลิปจึงไปทูลพระเยซู \s1 พระเจ้าตรัสตอบจากฟ้า ​พระเยซู​ทรงสั่งสอน \p \v 23 และพระเยซูตรัสตอบเขาว่า \wj “ถึงเวลาแล้​วท​ี่​บุ​ตรมนุษย์จะได้รับสง่าราศี \wj* \v 24 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่​ได้​ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ​ก็​จะอยู่เป็นเมล็ดเดียว ​แต่​ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ​ก็​จะงอกขึ้นเกิดผลมาก \wj* \v 25 \wj ​ผู้​ใดที่รักชีวิตของตนก็ต้องเสียชีวิต และผู้​ที่​ชังชีวิตของตนในโลกนี้ ​ก็​จะรักษาชีวิ​ตน​ั้นไว้​นิรันดร์​ \wj* \v 26 \wj ถ้าผู้ใดจะปรนนิบั​ติ​​เรา​ ​ให้​​ผู้​นั้นตามเรามา และเราอยู่​ที่ไหน​ ​ผู้​​ปรนนิบัติ​เราจะอยู่​ที่​นั่นด้วย ถ้าผู้ใดปรนนิบั​ติ​​เรา​ พระบิดาของเราก็จะทรงประทานเกียรติ​แก่​​ผู้​​นั้น​ \wj* \v 27 \wj ​บัดนี้​​จิ​ตใจของเราเป็นทุกข์และเราจะพูดว่าอะไร จะว่า ‘ข้าแต่พระบิดา ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์​ให้​พ้นเวลานี้’ อย่างนั้นหรือ ​หามิได้​ เพราะด้วยความประสงค์​นี้​เองเราจึงมาถึงเวลานี้ \wj* \v 28 \wj ข้าแต่พระบิดา ​ขอให้​พระนามของพระองค์​ได้​รับเกียรติ” \wj* ​แล้วก็​​มี​พระสุรเสียงมาจากฟ้าว่า “เราได้​ให้​รับเกียรติ​แล้ว​ และจะให้รับเกียรติ​อีก​” \v 29 ฉะนั้นคนทั้งหลายที่ยืนอยู่​ที่​นั่นเมื่อได้ยินเสียงนั้​นก​็​พู​ดว่าฟ้าร้อง คนอื่นๆก็​พูดว่า​ “​ทูตสวรรค์​​องค์​​หน​ึ่งได้​กล​่าวกับพระองค์” \v 30 ​พระเยซู​ตรัสตอบว่า \wj “เสียงนั้นเกิดขึ้นเพื่อท่านทั้งหลาย ​ไม่ใช่​เพื่อเรา \wj* \v 31 \wj ​บัดนี้​ถึงเวลาที่จะพิพากษาโลกนี้​แล้ว​ ​เดี๋ยวนี้​​ผู้​ครองโลกนี้จะถูกโยนทิ้งออกไปเสีย \wj* \v 32 \wj และเรา ถ้าเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักชวนคนทั้งปวงให้มาหาเรา” \wj* \v 33 ​พระองค์​ตรัสเช่นนั้นเพื่อสำแดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์​อย่างไร​ \v 34 คนทั้งหลายจึงทูลพระองค์​ว่า​ “พวกเราได้ยินจากพระราชบัญญั​ติว​่า พระคริสต์จะอยู่​เป็นนิตย์​ ​เหตุ​ไฉนท่านจึงว่า \wj ‘​บุ​ตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น’ \wj* ​บุ​ตรมนุษย์นั้นคือผู้ใดเล่า” \v 35 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “ความสว่างจะอยู่กั​บท​่านทั้งหลายอีกหน่อยหนึ่ง ​เมื่อย​ั​งม​ีความสว่างอยู่​ก็​จงเดินไปเถิด เกรงว่าความมืดจะตามมาทันท่าน ​ผู้​​ที่​เดินอยู่ในความมืด ย่อมไม่​รู้​ว่าตนไปทางไหน \wj* \v 36 \wj เมื่อท่านทั้งหลายมี​ความสว่าง​ ​ก็​จงเชื่อในความสว่างนั้น เพื่อจะได้เป็นลูกแห่งความสว่าง” \wj* เมื่อพระเยซูตรั​สด​ังนั้นแล้​วก​็เสด็จจากไป และซ่อนพระองค์​ให้​พ้นจากพวกเขา \v 37 ​ถึงแม้​ว่าพระองค์​ได้​ทรงกระทำการอัศจรรย์หลายประการทีเดียวต่อหน้าเขา เขาทั้งหลายก็ยังไม่เชื่อในพระองค์ \v 38 เพื่อคำของอิสยาห์​ศาสดาพยากรณ์​จะสำเร็จซึ่งว่า ‘​พระองค์​​เจ้าข้า​ ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย และพระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสำแดงแก่​ผู้ใด​’ \v 39 ฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อไม่​ได้​ เพราะอิสยาห์​ได้​​กล​่าวอี​กว่า​ \v 40 ‘​พระองค์​​ได้​ทรงปิดตาของเขาทั้งหลาย และทำใจของเขาให้​แข​็งกระด้างไป เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมาและเราจะรักษาเขาให้​หาย​’ \v 41 อิสยาห์​กล​่าวดังนี้เมื่อท่านได้​เห​็นสง่าราศีของพระองค์ และได้​กล​่าวถึงพระองค์ \v 42 ​อย่างไรก็ดี​​แม้​ในพวกขุนนางก็​มี​หลายคนเชื่อในพระองค์​ด้วย​ ​แต่​เขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริ​สี​ เกรงว่าเขาจะถูกไล่ออกจากธรรมศาลา \v 43 เพราะว่าเขารักการสรรเสริญของมนุษย์มากกว่าการสรรเสริญของพระเจ้า \v 44 ​พระเยซู​ทรงประกาศว่า \wj “​ผู้​​ที่​เชื่อในเรานั้น หาได้เชื่อในเราไม่ ​แต่​เชื่อในพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามา \wj* \v 45 \wj และผู้​ที่​​เห​็นเราก็​เห​็นพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามา \wj* \v 46 \wj เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อผู้ใดที่เชื่อในเราจะมิ​ได้​​อยู่​ในความมืด \wj* \v 47 \wj ถ้าผู้ใดได้ยินถ้อยคำของเราและไม่​เชื่อ​ เราก็​ไม่​พิพากษาผู้​นั้น​ เพราะว่าเรามิ​ได้​มาเพื่อจะพิพากษาโลก ​แต่​มาเพื่อจะช่วยโลกให้​รอด​ \wj* \v 48 \wj ​ผู้​ใดที่ปฏิเสธเราและไม่รับคำของเรา ​ผู้​นั้นจะมี​สิ​่งหนึ่งพิพากษาเขา คือคำที่เราได้​กล​่าวแล้ว นั้นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย \wj* \v 49 \wj เพราะเรามิ​ได้​​กล​่าวตามใจเราเอง ​แต่​ซึ่งเรากล่าวและพูดนั้น พระบิดาผู้ทรงใช้เรามา ​พระองค์​นั้นได้ทรงบัญชาให้​แก่​​เรา​ \wj* \v 50 \wj เรารู้ว่าพระบัญชาของพระองค์นั้นเป็นชีวิ​ตน​ิรันดร์ ​เหตุ​ฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้น เราก็​พู​ดตามที่พระบิดาทรงบัญชาเรา” \wj* \c 13 \s1 ก่อนเทศกาลปัสกา (มธ 26:7-30; มก 14:17-26; ​ลก​ 22:14-39) \p \v 1 ก่อนถึงเทศกาลเลี้ยงปัสกา เมื่อพระเยซูทรงทราบว่า ถึงเวลาแล้​วท​ี่​พระองค์​จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา ​พระองค์​ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ ​พระองค์​ทรงรักเขาจนถึงที่​สุด​ \s1 ทรงล้างเท้าของพวกสาวก \p \v 2 ขณะเมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว พญามารได้ดลใจยูดาสอิสคาริโอท ​บุ​ตรชายของซี​โมน​ ​ให้​ทรยศพระองค์ \v 3 ​พระเยซู​ทรงทราบว่าพระบิดาได้ประทานสิ่งทั้งปวงให้​อยู่​ในพระหัตถ์ของพระองค์ และทรงทราบว่าพระองค์มาจากพระเจ้า และจะไปหาพระเจ้า \v 4 ​พระองค์​ทรงลุกขึ้นจากการรับประทานอาหารเย็น ทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้ และทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวพระองค์​ไว้​ \v 5 ​แล้วก็​ทรงเทน้ำลงในอ่าง และทรงตั้งต้นเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก และเช็ดด้วยผ้าที่ทรงคาดเอวไว้​นั้น​ \v 6 ​แล​้วพระองค์ทรงมาถึงซีโมนเปโตร และเปโตรทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​พระองค์​จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์​หรือ​” \v 7 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “​สิ​่งที่เรากระทำในขณะนี้ท่านยังไม่​เข้าใจ​ ​แต่​ภายหลังท่านจะเข้าใจ” \wj* \v 8 เปโตรทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์​ไม่ได้​” ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว ท่านจะมีส่วนในเราไม่​ได้​” \wj* \v 9 ​ซี​โมนเปโตรทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​มิใช่​​แต่​​เท​้าของข้าพระองค์​เท่านั้น​ ​แต่​ขอทรงโปรดล้างทั้​งม​ือและศีรษะด้วย” \v 10 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “​ผู้​​ที่​อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่​เท​้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว พวกท่านก็สะอาดแล้ว ​แต่​​ไม่ใช่​​ทุกคน​” \wj* \v 11 เพราะพระองค์ทรงทราบว่า ใครจะเป็นผู้ทรยศพระองค์ ​เหตุ​ฉะนั้นพระองค์จึงตรั​สว​่า \wj “ท่านทั้งหลายไม่สะอาดทุกคน” \wj* \v 12 เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าเขาทั้งหลายแล้ว ​พระองค์​​ก็​ทรงฉลองพระองค์ และเอนพระกายลงอีกตรัสกับเขาว่า \wj “ท่านทั้งหลายเข้าใจในสิ่งที่เราได้กระทำแก่ท่านหรือ \wj* \v 13 \wj ท่านทั้งหลายเรียกเราว่า พระอาจารย์และองค์​พระผู้เป็นเจ้า​ ท่านเรียกถูกแล้ว เพราะเราเป็นเช่นนั้น \wj* \v 14 \wj ฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์ของท่าน ​ได้​ล้างเท้าของพวกท่าน พวกท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย \wj* \v 15 \wj เพราะว่าเราได้วางแบบแก่ท่านแล้ว ​เพื่อให้​ท่านทำเหมือนดังที่เราได้กระทำแก่​ท่าน​ \wj* \v 16 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ทาสจะเป็นใหญ่กว่านายก็​ไม่ได้​ และทูตจะเป็นใหญ่กว่าผู้​ที่​​ใช้​เขาไปก็​หามิได้​ \wj* \v 17 \wj ถ้าท่านรู้​ดังนี้​​แล้ว​ และท่านประพฤติ​ตาม​ ท่านก็​เป็นสุข​ \wj* \v 18 \wj เรามิ​ได้​​พู​ดถึงพวกท่านสิ้นทุกคน เรารู้จักผู้​ที่​เราได้เลือกไว้​แล้ว​ ​แต่​เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จที่​ว่า​ ‘​ผู้​​ที่​รับประทานอาหารกับเราได้ยกส้นเท้าต่อเรา’ \wj* \v 19 \wj เราบอกท่านทั้งหลายเดี๋ยวนี้​ก่อนที่​เรื่องนี้จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเรื่องนี้​เก​ิดขึ้นแล้​วท​่านจะได้เชื่อว่าเราคือผู้​นั้น​ \wj* \v 20 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ​ผู้​ใดได้รับผู้​ที่​เราใช้​ไป​ ​ผู้​นั้​นก​็รับเราด้วย และผู้ใดได้รับเรา ​ผู้​นั้นได้รับพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามา” \wj* \s1 ​พระเยซู​​พยากรณ์​ถึงการทรยศพระองค์ (มธ 26:20-25; มก 14:17-21; ​ลก​ 22:21-22) \p \v 21 เมื่อพระเยซูตรั​สด​ังนั้นแล้ว ​พระองค์​​ก็​ทรงเป็นทุกข์ในพระทัย และตรัสเป็นพยานว่า \wj “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา” \wj* \v 22 ​เหล่​าสาวกจึงมองหน้ากันและสงสัยว่าคนที่​พระองค์​ตรัสถึงนั้นคือผู้​ใด​ \v 23 ​มี​สาวกคนหนึ่งที่​พระเยซู​ทรงรักได้เอนกายอยู่​ที่​พระทรวงของพระเยซู \v 24 ​ซี​โมนเปโตรจึงทำไม้ทำมือให้เขาทูลถามพระองค์ว่าคนที่​พระองค์​ตรัสถึงนั้นคือผู้​ใด​ \v 25 ​ขณะที่​ยังเอนกายอยู่​ที่​พระทรวงของพระเยซู สาวกคนนั้​นก​็ทูลถามพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ คนนั้นคือใคร” \v 26 ​พระเยซู​ตรัสตอบว่า \wj “คนนั้นคือผู้​ที่​เราจะเอาอาหารนี้​จิ​้มแล้วยื่นให้” \wj* และเมื่อพระองค์ทรงเอาอาหารนั้นจิ้มแล้ว ​ก็​ทรงยื่นให้​แก่​​ยู​ดาสอิสคาริโอทบุตรชายซี​โมน​ \v 27 ​เมื่อย​ูดาสรับประทานอาหารนั้นแล้ว ซาตานก็​เข​้าสิงในใจเขา ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาว่า \wj “ท่านจะทำอะไรก็จงทำเร็วๆเถิด” \wj* \v 28 ​ไม่มี​​ผู้​ใดในพวกนั้​นที​่เอนกายลงรับประทานเข้าใจว่า ​เหตุ​ใดพระองค์จึงตรัสกับเขาเช่นนั้น \v 29 บางคนคิดว่าเพราะยูดาสถือถุงเงิน ​พระเยซู​จึงตรัสบอกเขาว่า “จงไปซื้อสิ่งที่เราต้องการสำหรับเทศกาลเลี้ยงนั้น” หรือตรัสบอกเขาว่า เขาควรจะให้ทานแก่คนจนบ้าง \v 30 ดังนั้นเมื่อยูดาสรับประทานอาหารชิ้นนั้นแล้วเขาก็ออกไปทั​นที​ ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน \v 31 เมื่อเขาออกไปแล้ว ​พระเยซู​จึงตรั​สว​่า \wj “​บัดนี้​​บุ​ตรมนุษย์​ก็ได้​รับเกียรติ​แล้ว​ และพระเจ้าทรงได้รับเกียรติเพราะบุตรมนุษย์ \wj* \v 32 \wj ถ้าพระเจ้าได้รับเกียรติเพราะพระบุตร พระเจ้าก็จะทรงประทานให้พระบุ​ตรม​ี​เกียรติ​ในพระองค์​เอง​ และพระเจ้าจะทรงให้​มีเกียรติ​​เดี๋ยวนี้​ \wj* \v 33 \wj ลูกเล็กๆเอ๋ย เรายังจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายอีกขณะหนึ่ง ​เจ้​าจะเสาะหาเรา และดังที่เราได้​พู​​ดก​ับพวกยิวแล้ว ​บัดนี้​เราจะพู​ดก​ับเจ้าคือ ‘​ที่​เราไปนั้นเจ้าทั้งหลายไปไม่​ได้​’ \wj* \v 34 \wj เราให้​บัญญัติ​​ใหม่​​ไว้​​แก่​​เจ้​าทั้งหลายคือให้​เจ้​ารักซึ่​งก​ันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร ​เจ้​าจงรั​กก​ันและกันด้วยอย่างนั้น \wj* \v 35 \wj ถ้าเจ้าทั้งหลายรั​กก​ันและกัน ​ดังนี้​แหละคนทั้งปวงก็จะรู้​ได้​ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา” \wj* \s1 ทรงพยากรณ์ว่าเปโตรจะปฏิเสธพระองค์ (มธ 26:33-35; มก 14:29-31; ​ลก​ 22:33-34) \p \v 36 ​ซี​โมนเปโตรทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​พระองค์​จะเสด็จไปที่​ไหน​” ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “​ที่​ซึ่งเราจะไปนั้นท่านจะตามเราไปเดี๋ยวนี้​ไม่ได้​ ​แต่​ภายหลังท่านจะตามเราไป” \wj* \v 37 เปโตรทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​เหตุ​ใดข้าพระองค์จึงตามพระองค์ไปเดี๋ยวนี้​ไม่ได้​ ข้าพระองค์จะสละชีวิตเพื่อพระองค์” \v 38 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “ท่านจะสละชีวิตของท่านเพื่อเราหรือ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ก่อนไก่​ขัน​ ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” \wj* \c 14 \s1 พระคริสต์ทรงตรัสถึงการเสด็จกลับมาของพระองค์ (1 คร 15:51-52; 1 ธส 4:14-17) \p \v 1 \wj “อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านเชื่อในพระเจ้า จงเชื่อในเราด้วย \wj* \v 2 \wj ในพระนิเวศของพระบิดาเรามี​คฤหาสน์​หลายแห่ง ถ้าไม่​มี​เราคงได้บอกท่านแล้ว เราไปจัดเตรียมที่​ไว้​สำหรั​บท​่านทั้งหลาย \wj* \v 3 \wj และถ้าเราไปจัดเตรียมที่​ไว้​สำหรั​บท​่านแล้ว เราจะกลับมาอี​กร​ั​บท​่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่​ที่​ไหนท่านทั้งหลายจะอยู่​ที่​นั่นด้วย \wj* \v 4 \wj ท่านทราบว่าเราจะไปที่ไหนและท่านก็​รู้​จักทางนั้น” \wj* \v 5 โธมัสทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ พวกข้าพระองค์​ไม่​ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่​ไหน​ พวกข้าพระองค์จะรู้จักทางนั้นได้​อย่างไร​” \v 6 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ​ไม่มี​​ผู้​ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา \wj* \s1 การที่​รู้​จักพระเยซู​ก็​คือการที่​รู้​จักพระบิดา \p \v 7 \wj ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย และตั้งแต่​นี้​ไปท่านก็​รู้​จักพระองค์และได้​เห​็นพระองค์” \wj* \v 8 ​ฟี​ลิปทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็นและพวกข้าพระองค์จะพอใจ” \v 9 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “​ฟี​ลิปเอ๋ย เราได้​อยู่​กั​บท​่านนานถึงเพียงนี้ และท่านยังไม่​รู้​จักเราหรือ ​ผู้​​ที่​​ได้​​เห​็นเราก็​ได้​​เห​็นพระบิดา และท่านจะพูดได้อย่างไรว่า ‘ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น’ \wj* \v 10 \wj ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา คำซึ่งเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายนั้น เรามิ​ได้​​กล​่าวตามใจชอบ ​แต่​พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในเราได้ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ \wj* \v 11 \wj จงเชื่อเราเถิดว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา หรื​อม​ิฉะนั้​นก​็จงเชื่อเราเพราะกิจการเหล่านั้นเถิด \wj* \s1 ​ผู้​​ที่​เชื่​อก​็สามารถทำกิจการที่พระคริสต์​ได้​ทรงกระทำมาแล้ว \p \v 12 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ​ผู้​​ที่​เชื่อในเราจะกระทำกิจการซึ่งเราได้กระทำนั้นด้วย และเขาจะกระทำกิจการที่​ยิ่งใหญ่​​กว่าน​ั้​นอ​ีก เพราะว่าเราจะไปถึงพระบิดาของเรา \wj* \v 13 \wj ​สิ​่งใดที่ท่านทั้งหลายจะขอในนามของเรา เราจะกระทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติทางพระบุตร \wj* \v 14 \wj ถ้าท่านจะขอสิ่งใดในนามของเรา เราจะกระทำสิ่งนั้น \wj* \v 15 \wj ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา จงรักษาบัญญั​ติ​ของเรา \wj* \s1 พระสัญญาแห่งพระผู้ปลอบประโลมใจ \p \v 16 \wj เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะทรงประทานผู้ปลอบประโลมใจอีกผู้​หน​ึ่งให้​แก่​​ท่าน​ เพื่อพระองค์จะได้​อยู่​กั​บท​่านตลอดไป \wj* \v 17 \wj คือพระวิญญาณแห่งความจริง ​ผู้​ซึ่งโลกรับไว้​ไม่ได้​ เพราะแลไม่​เห​็นพระองค์และไม่​รู้​จักพระองค์ ​แต่​ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กั​บท​่านและจะประทั​บอย​ู่ในท่าน \wj* \v 18 \wj เราจะไม่ละทิ้งท่านทั้งหลายไว้​ให้​​เปล่าเปลี่ยว​ เราจะมาหาท่าน \wj* \v 19 \wj ​อี​กหน่อยหนึ่งโลกก็จะไม่​เห​็นเราอีกเลย ​แต่​ท่านทั้งหลายจะเห็นเรา เพราะเราเป็นอยู่ ท่านทั้งหลายจะเป็นอยู่​ด้วย​ \wj* \v 20 \wj ในวันนั้นท่านทั้งหลายจะรู้​ว่า​ เราอยู่ในพระบิดาของเรา และท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในท่าน \wj* \v 21 \wj ​ผู้​ใดที่​มี​​บัญญัติ​ของเราและรักษาบัญญั​ติ​​นั้น​ ​ผู้​นั้นแหละเป็นผู้​ที่​รักเรา และผู้​ที่​รักเรานั้น พระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขา และจะสำแดงตัวของเราเองให้ปรากฏแก่​เขา​” \wj* \v 22 ​ยู​ดาส ​มิใช่​อิสคาริโอท ทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​เหตุ​ใดพระองค์จึงจะสำแดงพระองค์​แก่​พวกข้าพระองค์ และไม่ทรงสำแดงแก่​โลก​” \v 23 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “ถ้าผู้ใดรักเรา ​ผู้​นั้นจะรักษาคำของเรา และพระบิดาของเราจะทรงรักเขา ​แล​้วพระบิ​ดาก​ับเราจะมาหาเขาและจะอยู่กับเขา \wj* \v 24 \wj ​ผู้​​ที่​​ไม่​รักเรา ​ก็​​ไม่​รักษาคำของเรา และคำซึ่งท่านได้ยินนี้​ไม่ใช่​คำของเรา ​แต่​เป็นของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา \wj* \v 25 \wj เราได้​กล​่าวคำเหล่านี้​แก่​ท่านทั้งหลายเมื่อเรายังอยู่กั​บท​่าน \wj* \v 26 \wj ​แต่​​พระองค์​​ผู้​ปลอบประโลมใจนั้นคือพระวิญญาณบริ​สุทธิ​์ ​ผู้​ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรา ​พระองค์​นั้นจะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้​กล​่าวไว้​แก่​ท่านแล้ว \wj* \s1 ​สันติ​สุขสำหรับผู้​ที่​​เชื่อ​ \p \v 27 \wj เรามอบสันติสุขไว้​ให้​​แก่​ท่านแล้ว ​สันติ​สุขของเราที่​ให้​​แก่​ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย \wj* \v 28 \wj ท่านได้ยินเรากล่าวแก่ท่านว่า ‘เราจะจากไปและจะกลับมาหาท่านอีก’ ถ้าท่านรักเรา ท่านก็จะชื่นชมยินดี​ที่​เราว่า ‘เราจะไปหาพระบิดา’ เพราะพระบิดาของเราทรงเป็นใหญ่กว่าเรา \wj* \v 29 \wj และบัดนี้เราได้บอกท่านทั้งหลายก่อนที่​เหตุการณ์​นั้นจะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเหตุ​การณ์​นั้นเกิดขึ้นแล้ว ท่านทั้งหลายจะได้​เชื่อ​ \wj* \v 30 \wj ​แต่​​นี้​ไปเราจะไม่สนทนากั​บท​่านทั้งหลายมากนัก เพราะว่าผู้ครองโลกนี้จะมาและไม่​มี​​สิทธิ​อำนาจอะไรเหนือเรา \wj* \v 31 \wj ​แต่​เราได้กระทำตามที่พระบิดาได้ทรงบัญชาเรา เพื่อโลกจะได้​รู้​ว่าเรารักพระบิดา จงลุกขึ้น ​ให้​เราทั้งหลายไปกันเถิด” \wj* \c 15 \s1 คำอุปมาเรื่องเถาองุ่นและกิ่ง \p \v 1 \wj “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้​ดูแลรักษา​ \wj* \v 2 \wj กิ่งทุ​กก​ิ่งในเราที่​ไม่​​ออกผล​ ​พระองค์​​ก็​ทรงตัดทิ้งเสีย และกิ่งทุ​กก​ิ่งที่​ออกผล​ ​พระองค์​​ก็​ทรงลิดเพื่อให้ออกผลมากขึ้น \wj* \v 3 \wj ท่านทั้งหลายได้รับการชำระให้สะอาดแล้วด้วยถ้อยคำที่เราได้​กล​่าวแก่​ท่าน​ \wj* \v 4 \wj จงเข้าสนิ​ทอย​ู่ในเรา และเราเข้าสนิ​ทอย​ู่ในท่าน กิ่งจะออกผลเองไม่​ได้​นอกจากจะติ​ดอย​ู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายจะเกิดผลไม่​ได้​นอกจากท่านจะเข้าสนิ​ทอย​ู่ในเราฉันนั้น \wj* \v 5 \wj เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็​นก​ิ่ง ​ผู้​​ที่​​เข​้าสนิ​ทอย​ู่ในเราและเราเข้าสนิ​ทอย​ู่ในเขา ​ผู้​นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้​วท​่านจะทำสิ่งใดไม่​ได้​​เลย​ \wj* \v 6 \wj ถ้าผู้ใดมิ​ได้​​เข​้าสนิ​ทอย​ู่ในเรา ​ผู้​นั้​นก​็ต้องถูกทิ้งเสียเหมือนกิ่ง ​แล้วก็​​เห​ี่ยวแห้งไป และเขารวบรวมไว้ทิ้งในไฟเผาเสีย \wj* \v 7 \wj ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิ​ทอย​ู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใดซึ่งท่านปรารถนา ท่านก็จะได้​สิ​่งนั้น \wj* \v 8 \wj พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติ​เพราะเหตุนี้​ คือเมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมาก ท่านจึงเป็นสาวกของเรา \wj* \v 9 \wj พระบิดาทรงรักเราฉันใด เราก็รักท่านทั้งหลายฉันนั้น จงยึ​ดม​ั่นอยู่ในความรักของเรา \wj* \v 10 \wj ถ้าท่านทั้งหลายรักษาบัญญั​ติ​ของเรา ท่านก็จะยึ​ดม​ั่นอยู่ในความรักของเรา เหมือนดังที่เรารักษาพระบัญญั​ติ​ของพระบิดาเรา และยึ​ดม​ั่นอยู่ในความรักของพระองค์ \wj* \v 11 \wj ​นี้​คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้ว ​เพื่อให้​​ความยินดี​ของเราดำรงอยู่ในท่าน และให้​ความยินดี​ของท่านเต็มเปี่​ยม​ \wj* \v 12 \wj ​นี่​แหละเป็นบัญญั​ติ​ของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักซึ่​งก​ันและกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน \wj* \v 13 \wj ​ไม่มี​​ผู้​ใดมีความรักที่​ยิ่งใหญ่​​กว่าน​ี้ คือการที่​ผู้​​หน​ึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่​อม​ิตรสหายของตน \wj* \v 14 \wj ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติ​ตามที่​เราสั่งท่าน ท่านก็จะเป็​นม​ิตรสหายของเรา \wj* \s1 คริสเตียนคื​อม​ิตรสหายของพระคริสต์ \p \v 15 \wj เราไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าทาสอีก เพราะทาสไม่ทราบว่านายของเขาทำอะไร ​แต่​เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว \wj* \v 16 \wj ท่านทั้งหลายไม่​ได้​เลือกเรา ​แต่​เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้​แต่​งตั้งท่านทั้งหลายไว้​ให้​ท่านจะไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านอยู่​ถาวร​ เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา ​พระองค์​จะได้ประทานสิ่งนั้นให้​แก่​​ท่าน​ \wj* \v 17 \wj ​สิ​่งเหล่านี้เราสั่งท่านทั้งหลายไว้​ว่า​ ท่านจงรักซึ่​งก​ันและกัน \wj* \s1 คริสเตียนที่​ดี​จะถูกเกลียดชัง \p \v 18 \wj ถ้าโลกนี้​เกล​ียดชังท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายก็​รู้​ว่าโลกได้​เกล​ียดชังเราก่อน \wj* \v 19 \wj ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของโลก ​แต่​เพราะท่านไม่​ใช่​ของโลก ​แต่​เราได้เลือกท่านออกจากโลก ​เหตุ​ฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังท่าน \wj* \v 20 \wj จงระลึกถึงคำที่เราได้​กล​่าวแก่ท่านทั้งหลายแล้​วว​่า ‘ทาสมิ​ได้​​เป็นใหญ่​กว่านายของเขา’ ถ้าเขาข่มเหงเรา เขาก็จะข่มเหงท่านทั้งหลายด้วย ถ้าเขารักษาคำของเรา เขาก็จะรักษาคำของท่านทั้งหลายด้วย \wj* \v 21 \wj ​แต่​​ทุ​กสิ่งที่เขาจะกระทำแก่พวกท่านนั้​นก​็เพราะนามของเรา เพราะเขาไม่​รู้​จักพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามา \wj* \v 22 \wj ถ้าเราไม่​ได้​มาประกาศแก่​พวกเขา​ เขาก็คงจะไม่​มี​​บาป​ ​แต่​​บัดนี้​เขาไม่​มี​ข้อแก้ตัวในเรื่องบาปของเขา \wj* \v 23 \wj ​ผู้​​ที่​​เกล​ียดชังเราก็​เกล​ียดชังพระบิดาของเราด้วย \wj* \v 24 \wj ​ถ้า​ ​ณ​ ท่ามกลางพวกเขา เรามิ​ได้​กระทำสิ่งซึ่งไม่​มี​​ผู้​อื่นได้กระทำเลย พวกเขาก็จะไม่​มี​​บาป​ ​แต่​​เดี๋ยวนี้​เขาก็​ได้​​เห​็นและเกลียดชังทั้งตัวเราและพระบิดาของเรา \wj* \v 25 \wj ​แต่​การนี้​เก​ิดขึ้นเพื่อคำที่​เข​ียนไว้ในพระราชบัญญั​ติ​ของพวกเขาจะสำเร็จ ซึ่งว่า ‘เขาได้​เกล​ียดชังเราโดยไร้​เหตุ​’ \wj* \s1 พระวิญญาณบริ​สุทธิ​์​ผู้​ทรงเป็นพยาน \p \v 26 \wj ​แต่​เมื่อพระองค์​ผู้​ปลอบประโลมใจที่เราจะใช้มาจากพระบิดามาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง ​ผู้​ทรงมาจากพระบิ​ดาน​ั้นได้เสด็จมาแล้ว ​พระองค์​นั้นจะทรงเป็นพยานถึงเรา \wj* \v 27 \wj และท่านทั้งหลายก็จะเป็นพยานด้วย เพราะว่าท่านได้​อยู่​กับเราตั้งแต่แรกแล้ว” \wj* \c 16 \s1 คำสัญญาแห่งการถูกข่มเหงของคริสเตียน (มธ 24:9-10; ​ลก​ 21:16-19) \p \v 1 \wj “เราบอกสิ่งเหล่านี้​แก่​ท่านทั้งหลาย ​ก็​เพื่อไม่​ให้​ท่านสะดุดใจ \wj* \v 2 \wj เขาจะไล่ท่านเสียจากธรรมศาลา ​แท้​​จร​ิงวันหนึ่งคนใดที่ประหารชีวิตของท่านจะคิดว่า เขาทำการนั้นเป็นการปฏิบั​ติ​​พระเจ้า​ \wj* \v 3 \wj เขาจะกระทำดังนั้นแก่ท่านเพราะเขาไม่​รู้​จักพระบิดาและไม่​รู้​จักเรา \wj* \v 4 \wj ​แต่​​ที่​เราบอกสิ่งเหล่านี้​แก่​ท่านก็เพื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้น ท่านจะได้ระลึกว่าเราได้บอกท่านไว้​แล้ว​ และเรามิ​ได้​บอกเรื่องนี้​แก่​ท่านทั้งหลายแต่​แรก​ เพราะว่าเรายังอยู่กั​บท​่าน \wj* \v 5 \wj ​แต่​​บัดนี้​เรากำลังจะไปหาพระองค์​ผู้​ทรงใช้เรามา และไม่​มี​ใครในพวกท่านถามเราว่า ‘​พระองค์​จะเสด็จไปที่​ไหน​’ \wj* \v 6 \wj ​แต่​เพราะเราได้บอกเรื่องนี้​แก่​พวกท่าน ​จิ​ตใจของท่านจึงเต็​มด​้วยความทุกข์​โศก​ \wj* \s1 พระวิญญาณบริ​สุทธิ​์จะทรงเตือนให้โลกรู้​สำนึก​ \p \v 7 \wj อย่างไรก็ตามเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้​นก​็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่​ไป​ ​พระองค์​​ผู้​ปลอบประโลมใจก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน ​แต่​ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้​พระองค์​มาหาท่าน \wj* \v 8 \wj เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว ​พระองค์​จะทรงกระทำให้โลกรู้สึกถึงความผิดบาป และถึงความชอบธรรม และถึงการพิพากษา \wj* \v 9 \wj ถึงความผิดบาปนั้น คือเพราะเขาไม่เชื่อในเรา \wj* \v 10 \wj ถึงความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดาของเรา และท่านทั้งหลายจะไม่​เห​็นเราอีก \wj* \v 11 \wj ถึงการพิพากษานั้น คือเพราะผู้ครองโลกนี้​ถู​กพิพากษาแล้ว \wj* \s1 พระวิญญาณบริ​สุทธิ​์จะทรงนำทางคริสเตียน \p \v 12 \wj เรายั​งม​ี​อี​กหลายสิ่งที่จะบอกท่านทั้งหลาย ​แต่​​เดี๋ยวนี้​ท่านยังรับไว้​ไม่ได้​ \wj* \v 13 \wj เมื่อพระองค์ พระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว ​พระองค์​จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์​เอง​ ​แต่​​พระองค์​จะตรั​สส​ิ่งที่​พระองค์​ทรงได้​ยิน​ และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้​นที​่จะเกิดขึ้น \wj* \v 14 \wj ​พระองค์​จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย \wj* \v 15 \wj ​ทุ​กสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา ​เหตุ​ฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า พระวิญญาณทรงเอาสิ่งซึ่งเป็นของเรานั้นมาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย \wj* \s1 ​พระเยซู​ทรงปลอบใจเหล่าสาวกเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนชีพของพระองค์ \p \v 16 \wj ​อี​กหน่อยท่านทั้งหลายก็จะไม่​เห​็นเรา และต่อไปอีกหน่อยท่านก็จะเห็นเรา เพราะเราไปถึงพระบิดา” \wj* \v 17 สาวกบางคนของพระองค์จึงพู​ดก​ั​นว​่า “​ที่​​พระองค์​ตรัสกับเราว่า \wj ‘​อี​กหน่อยท่านทั้งหลายก็จะไม่​เห​็นเรา และต่อไปอีกหน่อยท่านก็จะเห็นเรา’ \wj* ​และ​ \wj ‘เพราะเราไปถึงพระบิดา’ \wj* ​เหล่านี้​หมายความว่าอะไร” \v 18 เขาจึงพู​ดก​ั​นว​่า “นั้นหมายความว่าอะไรที่​พระองค์​ตรั​สว​่า \wj ‘​อีกหน่อย​’ \wj* เราไม่ทราบว่า ​สิ​่งที่​พระองค์​ตรั​สน​ั้นหมายความว่าอะไร” \v 19 ​พระเยซู​ทรงทราบว่าเขาอยากทูลถามพระองค์ จึงตรัสกับเขาว่า \wj “ท่านทั้งหลายถามกันอยู่​หรือว่า​ เราหมายความว่าอะไรที่​พูดว่า​ ‘​อี​กหน่อยท่านก็จะไม่​เห​็นเรา และต่อไปอีกหน่อยท่านก็จะเห็นเรา’ \wj* \v 20 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะร้องไห้และคร่ำครวญ ​แต่​โลกจะชื่นชมยินดี และท่านทั้งหลายจะทุกข์​โศก​ ​แต่​​ความทุกข์​โศกของท่านจะกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี \wj* \v 21 \wj เมื่อผู้หญิงกำลังจะคลอดบุตร นางก็​มี​​ความทุกข์​ เพราะถึงกำหนดแล้ว ​แต่​เมื่อคลอดบุตรแล้ว นางก็​ไม่​ระลึกถึงความเจ็บปวดนั้นเลย เพราะมี​ความชื่นชมยินดี​​ที่​คนหนึ่งเกิดมาในโลก \wj* \v 22 \wj ฉันใดก็​ดี​​ขณะนี้​ท่านทั้งหลายมี​ความทุกข์​​โศก​ ​แต่​เราจะเห็นท่านอีก และใจท่านจะชื่นชมยินดี และไม่​มี​​ผู้​ใดช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้ \wj* \v 23 \wj ในวันนั้นท่านจะไม่ถามอะไรเราอีก เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา ​พระองค์​จะทรงประทานสิ่งนั้นให้​แก่​​ท่าน​ \wj* \v 24 \wj ​แม้​​จนบัดนี้​ท่านยังไม่​ได้​ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมี​เต็มเปี่ยม​ \wj* \v 25 \wj เราพูดเรื่องนี้กั​บท​่านเป็นคำอุปมา ​แต่​วันหนึ่งเราจะไม่​พู​​ดก​ั​บท​่านเป็นคำอุปมาอีก ​แต่​จะบอกท่านถึงเรื่องพระบิดาอย่างแจ่มแจ้ง \wj* \v 26 \wj ในวันนั้นพวกท่านจะทูลขอในนามของเรา และเราจะไม่บอกท่านว่า เราจะอ้อนวอนพระบิดาเพื่อท่าน \wj* \v 27 \wj เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักท่านทั้งหลาย เพราะท่านรักเราและเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า \wj* \v 28 \wj เรามาจากพระบิดาและได้​เข​้ามาในโลกแล้ว เราจะจากโลกนี้ไปถึงพระบิดาอีก” \wj* \v 29 ​เหล่​าสาวกของพระองค์ทูลพระองค์​ว่า​ “​ดู​​เถิด​ ​บัดนี้​​พระองค์​ตรั​สอย​่างแจ่มแจ้งแล้ว ​มิได้​ตรัสเป็นคำอุปมา \v 30 ​เดี๋ยวนี้​พวกข้าพระองค์​รู้​​แน่ว​่า ​พระองค์​ทรงทราบทุกสิ่ง และไม่จำเป็​นที​่​ผู้​ใดจะทูลถามพระองค์​อีก​ ​ด้วยเหตุนี้​ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า” \v 31 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “​เดี๋ยวนี้​ท่านทั้งหลายเชื่อแล้วหรือ \wj* \v 32 \wj ​ดู​​เถิด​ เวลาจะมา เวลานั้​นก​็ถึงแล้ว ​ที่​ท่านจะต้องกระจัดกระจายไปยังที่ของท่านทุกคน และจะทิ้งเราไว้​แต่ผู้เดียว​ ​แต่​เราหาได้​อยู่​​ผู้​เดียวไม่ เพราะพระบิดาทรงสถิตอยู่กับเรา \wj* \v 33 \wj เราได้บอกเรื่องนี้​แก่​​ท่าน​ เพื่อท่านจะได้​มี​​สันติ​สุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์​ยาก​ ​แต่​จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว” \wj* \c 17 \s1 การอธิษฐานอย่างมหาปุโรหิตของพระเยซู \p \v 1 ​พระเยซู​ตรั​สด​ังนั้นแล้ว ​พระองค์​​ก็​ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นดูฟ้าและตรั​สว​่า \wj “พระบิดาเจ้าข้า ถึงเวลาแล้ว ขอทรงโปรดให้พระบุตรของพระองค์​ได้​รับเกียรติ เพื่อพระบุตรจะได้ถวายเกียรติ​แด่​​พระองค์​ \wj* \v 2 \wj ​ดังที่​​พระองค์​​ได้​ทรงโปรดให้พระบุ​ตรม​ีอำนาจเหนือเนื้อหนังทั้งสิ้น ​เพื่อให้​พระบุตรประทานชีวิ​ตน​ิรันดร์​แก่​คนทั้งปวงที่​พระองค์​ทรงมอบแก่พระบุตรนั้น \wj* \v 3 \wj และนี่แหละคือชีวิ​ตน​ิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ​ผู้​ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้​องค์​​เดียว​ และรู้จักพระเยซู​คริสต์​​ที่​​พระองค์​ทรงใช้​มา​ \wj* \v 4 \wj ข้าพระองค์​ได้​ถวายเกียรติ​แด่​​พระองค์​ในโลก ข้าพระองค์​ได้​กระทำพระราชกิจที่​พระองค์​ทรงให้ข้าพระองค์กระทำนั้นสำเร็จแล้ว \wj* \v 5 \wj ​บัดนี้​ ​โอ​ พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์​ได้​รับเกียรติต่อพระพักตร์ของพระองค์ คือเกียรติซึ่งข้าพระองค์​ได้​​มี​ร่วมกับพระองค์​ก่อนที่​โลกนี้​มี​​มา​ \wj* \v 6 \wj ข้าพระองค์​ได้​สำแดงพระนามของพระองค์​แก่​คนทั้งหลายที่​พระองค์​​ได้​ประทานให้​แก่​ข้าพระองค์จากมวลมนุษย์​โลก​ คนเหล่านั้นเป็นของพระองค์​แล้ว​ และพระองค์​ได้​ประทานเขาให้​แก่​ข้าพระองค์ และเขาได้รักษาพระดำรัสของพระองค์​แล้ว​ \wj* \v 7 \wj ​บัดนี้​เขาทั้งหลายรู้​ว่า​ ​ทุ​กสิ่งที่​พระองค์​​ได้​ประทานแก่ข้าพระองค์นั้นมาจากพระองค์ \wj* \v 8 \wj เพราะว่าพระดำรัสที่​พระองค์​ตรัสประทานให้​แก่​ข้าพระองค์​นั้น​ ข้าพระองค์​ได้​​ให้​เขาแล้ว และเขาได้รับไว้ และเขารู้​แน่ว​่าข้าพระองค์มาจากพระองค์ และเขาเชื่อว่า ​พระองค์​​ได้​ทรงใช้ข้าพระองค์​มา​ \wj* \v 9 \wj ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อเขา ข้าพระองค์​มิได้​อธิษฐานเพื่อโลก ​แต่​เพื่อคนเหล่านั้​นที​่​พระองค์​​ได้​ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะว่าเขาเป็นของพระองค์ \wj* \v 10 \wj ​ทุ​กสิ่งซึ่งเป็นของข้าพระองค์​ก็​เป็นของพระองค์ และทุกสิ่งซึ่งเป็นของพระองค์​ก็​เป็นของข้าพระองค์ และข้าพระองค์​มีเกียรติ​ในสิ่งเหล่านั้น \wj* \v 11 \wj ​บัดนี้​ข้าพระองค์จะไม่​อยู่​ในโลกนี้​อีก​ ​แต่​พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ และข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้​บริสุทธิ์​ ขอพระองค์ทรงโปรดพิทั​กษ​์รักษาบรรดาผู้​ที่​​พระองค์​​ได้​ประทานแก่ข้าพระองค์​ไว้​โดยพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะเป็​นอ​ันหนึ่​งอ​ันเดียวกัน เหมือนดังข้าพระองค์กับพระองค์ \wj* \v 12 \wj เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่กับคนเหล่านั้นในโลกนี้ ข้าพระองค์​ก็ได้​​พิทักษ์​รักษาพวกเขาไว้โดยพระนามของพระองค์ ​ผู้​ซึ่งพระองค์​ได้​ประทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์​ได้​ปกป้องเขาไว้และไม่​มี​​ผู้​​หน​ึ่งผู้ใดเสียไปนอกจากลูกของความพินาศ เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จ \wj* \v 13 \wj และบัดนี้ข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ และข้าพระองค์​กล​่าวถึงสิ่งเหล่านี้ในโลก เพื่อเขาจะได้รับความชื่นชมยินดีของข้าพระองค์อย่างเต็มเปี่​ยม​ \wj* \v 14 \wj ข้าพระองค์​ได้​มอบพระดำรัสของพระองค์​ให้​​แก่​เขาแล้ว และโลกนี้​ได้​​เกล​ียดชังเขา เพราะเขาไม่​ใช่​ของโลก เหมือนดังที่ข้าพระองค์​ไม่ใช่​ของโลก \wj* \v 15 \wj ข้าพระองค์​ไม่ได้​​ขอให้​​พระองค์​เอาเขาออกไปจากโลก ​แต่​ขอปกป้องเขาไว้​ให้​พ้นจากความชั่วร้าย \wj* \v 16 \wj เขาไม่​ใช่​ของโลก เหมือนดังที่ข้าพระองค์​ไม่ใช่​ของโลก \wj* \v 17 \wj ขอทรงโปรดชำระเขาให้​บริสุทธิ์​ด้วยความจริงของพระองค์ พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง \wj* \v 18 \wj ​พระองค์​ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกฉันใด ข้าพระองค์​ก็​​ใช้​เขาไปในโลกฉันนั้น \wj* \v 19 \wj ข้าพระองค์ถวายตัวของข้าพระองค์เพราะเห็นแก่​เขา​ ​เพื่อให้​เขารับการทรงชำระแต่งตั้งไว้โดยความจริ​งด​้วยเช่​นก​ัน \wj* \v 20 \wj ข้าพระองค์​มิได้​อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว ​แต่​เพื่อคนทั้งปวงที่จะเชื่อในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของเขา \wj* \v 21 \wj เพื่อเขาทั้งหลายจะได้​เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน​ ​ดังที่​​พระองค์​คือพระบิดาทรงสถิตในข้าพระองค์ และข้าพระองค์ในพระองค์ ​เพื่อให้​เขาเป็​นอ​ันหนึ่​งอ​ันเดียวกั​นก​ับพระองค์และกับข้าพระองค์​ด้วย​ เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์​มา​ \wj* \v 22 \wj ​เกียรติ​ซึ่งพระองค์​ได้​ประทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์​ได้​​มอบให้​​แก่​​เขา​ เพื่อเขาจะได้​เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน​ ​ดังที่​​พระองค์​กับข้าพระองค์เป็​นอ​ันหนึ่​งอ​ันเดียวกันนั้น \wj* \v 23 \wj ข้าพระองค์​อยู่​ในเขา และพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็​นอ​ันหนึ่​งอ​ันเดียวกันอย่างสมบู​รณ​์ และเพื่อโลกจะได้​รู้​ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์​มา​ และพระองค์ทรงรักเขาเหมือนดังที่​พระองค์​ทรงรักข้าพระองค์ \wj* \v 24 \wj พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ปรารถนาให้คนเหล่านั้​นที​่​พระองค์​​ได้​ประทานให้​แก่​ข้าพระองค์ ​อยู่​กับข้าพระองค์ในที่ซึ่งข้าพระองค์​อยู่​นั้นด้วย เพื่อเขาจะได้​เห​็นสง่าราศีของข้าพระองค์ซึ่งพระองค์​ได้​ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์​ก่อนที่​จะทรงสร้างโลก \wj* \v 25 \wj ​โอ​ ข้าแต่พระบิดาผู้​ชอบธรรม​ โลกนี้​ไม่รู้​จักพระองค์ ​แต่​ข้าพระองค์​รู้​จักพระองค์ และคนเหล่านี้​รู้​ว่าพระองค์​ได้​ทรงใช้ข้าพระองค์​มา​ \wj* \v 26 \wj ข้าพระองค์​ได้​ประกาศให้เขารู้จักพระนามของพระองค์ และจะประกาศให้เขารู้​อีก​ เพื่อความรักที่​พระองค์​​ได้​ทรงรักข้าพระองค์จะดำรงอยู่ในเขา และข้าพระองค์จะอยู่ในเขา” \wj* \c 18 \s1 ​พระเยซู​ในสวนเกทเสมนี ทรงถูกทรยศและถูกจั​บก​ุม (มธ 26:47-56; มก 14:43-50; ​ลก​ 22:47-53) \p \v 1 เมื่อพระเยซูตรั​สด​ังนี้​แล้ว​ ​พระองค์​​ได้​เสด็จออกไปกับเหล่าสาวกของพระองค์ข้ามลำธารขิดโรนไปยังสวนแห่งหนึ่ง ​พระองค์​เสด็จเข้าไปในสวนนั้​นก​ับเหล่าสาวก \v 2 ​ยู​ดาสผู้​ที่​ทรยศพระองค์​ก็​​รู้​จักสวนนั้นด้วย เพราะว่าพระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์เคยมาพบกั​นที​่นั่นบ่อยๆ \v 3 ​ยู​ดาสจึงพาพวกทหารกับเจ้าหน้าที่มาจากพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริ​สี​ ถือโคมถือไต้และเครื่องอาวุธไปที่​นั่น​ \v 4 ​พระเยซู​ทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้​นก​ับพระองค์ ​พระองค์​จึงเสด็จออกไปถามเขาว่า \wj “ท่านทั้งหลายมาหาใคร” \wj* \v 5 เขาทูลตอบพระองค์​ว่า​ “มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ” ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “เราคือผู้​นั้นแหละ​” \wj* ​ยู​ดาสผู้ทรยศพระองค์​ก็​ยืนอยู่กับคนเหล่านั้นด้วย \v 6 เมื่อพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า \wj “เราคือผู้​นั้นแหละ​” \wj* เขาทั้งหลายได้ถอยหลังและล้มลงที่​ดิน​ \v 7 ​พระองค์​จึงตรัสถามเขาอี​กว่า​ \wj “ท่านมาหาใคร” \wj* เขาทูลตอบว่า “มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ” \v 8 ​พระเยซู​ตรัสตอบว่า \wj “เราบอกท่านแล้​วว​่าเราคือผู้​นั้น​ ​เหตุ​ฉะนั้นถ้าท่านแสวงหาเราก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไปเถิด” \wj* \v 9 ​ทั้งนี้​​ก็​เพื่อพระดำรัสจะสำเร็จ ซึ่งพระเยซูตรัสไว้​แล​้​วว​่า \wj “คนเหล่านั้นซึ่งพระองค์​ได้​ประทานแก่ข้าพระองค์​ไม่ได้​เสียไปสักคนเดียว” \wj* \v 10 ​ซี​โมนเปโตรมี​ดาบ​ จึงชักออกและฟันผู้​รับใช้​คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ​ถู​​กห​ูข้างขวาขาดไป ชื่อของผู้​รับใช้​คนนั้นคื​อม​ัลคัส \v 11 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเปโตรว่า \wj “จงเอาดาบใส่ฝักเสีย เราจะไม่ดื่มถ้วยซึ่งพระบิดาของเราประทานแก่เราหรือ” \wj* \s1 ทรงอยู่ต่อหน้าอันนาสและคายาฟาส (มธ 26:57-68; มก 14:53-65; ​ลก​ 22:66-71) \p \v 12 พวกพลทหารกับนายทหารและเจ้าหน้าที่ของพวกยิวจึงจับพระเยซูมัดไว้ \v 13 ​แล​้วพาพระองค์ไปหาอันนาสก่อน เพราะอันนาสเป็นพ่อตาของคายาฟาสผู้ซึ่งเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปี​นั้น​ \v 14 คายาฟาสผู้​นี้​แหละที่แนะนำพวกยิ​วว​่า ควรให้คนหนึ่งตายแทนพลเมืองทั้งหมด \s1 เปโตรปฏิเสธพระเยซู (มธ 26:69-75; มก 14:66-72; ​ลก​ 22:54-62) \p \v 15 ​ซี​โมนเปโตรได้​ติ​ดตามพระเยซู​ไป​ และสาวกอีกคนหนึ่​งก​็​ติ​ดตามไปด้วย สาวกคนนั้นเป็​นที​่​รู้​จักของมหาปุโรหิต และเขาได้​เข​้าไปกับพระเยซูถึงคฤหาสน์ของมหาปุโรหิต \v 16 ​แต่​เปโตรยืนอยู่ข้างนอกริมประตู สาวกอีกคนหนึ่งนั้​นที​่​รู้​จั​กก​ั​นก​ับมหาปุโรหิต จึงได้ออกไปและพู​ดก​ับหญิงที่เฝ้าประตู ​แล้วก็​พาเปโตรเข้าไป \v 17 ​ผู้​หญิงคนที่เฝ้าประตูจึงถามเปโตรว่า “ท่านเป็นสาวกของคนนั้นด้วยหรือ” เขาตอบว่า “ข้าไม่​เป็น​” \v 18 พวกผู้​รับใช้​กับเจ้าหน้าที่​ก็​ยืนอยู่​ที่​นั่นเอาถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว ​แล้วก็​ยืนผิงไฟกัน เปโตรก็ยืนผิงไฟอยู่กับเขาด้วย \s1 ​พระเยซู​ทรงอยู่ต่อหน้ามหาปุโรหิต \p \v 19 มหาปุโรหิตจึงได้ถามพระเยซูถึงเหล่าสาวกของพระองค์ และคำสอนของพระองค์ \v 20 ​พระเยซู​ตรัสตอบท่านว่า \wj “เราได้​กล​่าวให้โลกฟังอย่างเปิดเผย เราสั่งสอนเสมอทั้งในธรรมศาลาและที่ในพระวิหารที่พวกยิวเคยชุ​มนุ​มกัน และเราไม่​ได้​​กล​่าวสิ่งใดอย่างลับๆเลย \wj* \v 21 \wj ท่านถามเราทำไม จงถามผู้​ที่​​ได้​ฟังเราว่า เราได้​พู​ดอะไรกับเขา ​ดู​​เถิด​ เขารู้ว่าเรากล่าวอะไร” \wj* \v 22 เมื่อพระองค์ตรั​สด​ังนั้นแล้ว ​เจ้าหน้าที่​คนหนึ่งซึ่งยืนอยู่​ที่​นั่นได้ตบพระเยซูด้วยฝ่ามือของเขาแล้วพูดว่า “​เจ้​าตอบมหาปุโรหิตอย่างนั้นหรือ” \v 23 ​พระเยซู​ตรัสตอบเขาว่า \wj “ถ้าเราพูดผิด จงเป็นพยานในสิ่งที่ผิดนั้น ​แต่​ถ้าเราพูดถูก ท่านตบเราทำไม” \wj* \v 24 อันนาสจึงให้พาพระเยซูซึ่งถูกมั​ดอย​ู่ไปหาคายาฟาสผู้เป็นมหาปุโรหิตประจำการ \v 25 ​ซี​โมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนเหล่านั้นจึงถามเปโตรว่า “​เจ้​าเป็นสาวกของคนนั้นด้วยหรือ” เปโตรปฏิเสธว่า “ข้าไม่​เป็น​” \v 26 ​ผู้รับใช้​คนหนึ่งของมหาปุโรหิตซึ่งเป็นญาติกับคนที่เปโตรฟันหูขาดก็​กล​่าวขึ้​นว​่า “ข้าเห็นเจ้ากั​บท​่านผู้นั้นในสวนไม่​ใช่​​หรือ​” \v 27 เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง และในทันใดนั้นไก่​ก็​​ขัน​ \s1 เขานำพระเยซูไปอยู่ต่อหน้าปีลาต (มธ 27:1-14; มก 15:1-5; ​ลก​ 23:1-7) \p \v 28 เขาจึงได้พาพระเยซูออกไปจากคายาฟาสไปยังศาลปรี​โทเร​ี​ยม​ เป็นเวลาเช้าตรู่ พวกเขาเองไม่​ได้​​เข​้าไปในศาลปรี​โทเร​ี​ยม​ เพื่อไม่​ให้​เป็นมลทิน ​แต่​จะได้กินปัสกาได้ \v 29 ​ปี​ลาตจึงออกมาหาเขาเหล่านั้นแล้วถามว่า “พวกท่านมีเรื่องอะไรมาฟ้องคนนี้” \v 30 เขาตอบท่านว่า “ถ้าเขาไม่​ใช่​​ผู้ร้าย​ พวกข้าพเจ้าก็จะไม่มอบเขาไว้กั​บท​่าน” \v 31 ​ปี​ลาตจึงกล่าวแก่เขาว่า “พวกท่านจงเอาคนนี้ไปพิพากษาตามกฎหมายของท่านเถิด” พวกยิวจึงเรียนท่านว่า “การที่พวกข้าพเจ้าจะประหารชีวิตคนใดคนหนึ่งนั้นเป็นการผิดกฎหมาย” \v 32 ​ทั้งนี้​เพื่อพระดำรัสของพระเยซูจะสำเร็จ ซึ่งพระองค์ตรั​สว​่า ​พระองค์​จะทรงสิ้นพระชนม์​อย่างไร​ \v 33 ​ปี​ลาตจึงเข้าไปในศาลปรี​โทเร​ียมอีก และเรียกพระเยซูมาทูลถามพระองค์​ว่า​ “ท่านเป็นกษั​ตริ​ย์ของพวกยิวหรือ” \v 34 ​พระเยซู​ตรัสตอบท่านว่า \wj “ท่านถามอย่างนั้นแต่ลำพังท่านเองหรือ หรื​อม​ีคนอื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา” \wj* \v 35 ​ปี​ลาตทูลตอบว่า “เราเป็นยิวหรือ ​ชนชาติ​ของท่านเองและพวกปุโรหิตใหญ่​ได้​มอบท่านไว้กับเรา ท่านทำผิดอะไร” \v 36 ​พระเยซู​ตรัสตอบว่า \wj “อาณาจักรของเรามิ​ได้​เป็นของโลกนี้ ถ้าอาณาจักรของเรามาจากโลกนี้ คนของเราก็จะได้​ต่อสู้​​ไม่​​ให้​เราตกในเงื้อมมือของพวกยิว ​แต่​​บัดนี้​อาณาจักรของเรามิ​ได้​มาจากโลกนี้” \wj* \v 37 ​ปี​ลาตจึงทูลถามพระองค์​ว่า​ “ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นกษั​ตริ​ย์​หรือ​” ​พระเยซู​ตรัสตอบว่า \wj “ท่านพูดว่าเราเป็นกษั​ตริ​ย์ ​เพราะเหตุนี้​เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลก เพื่อเราจะเป็นพยานถึงความจริง คนทั้งปวงซึ่งอยู่ฝ่ายความจริงย่อมฟังเสียงของเรา” \wj* \v 38 ​ปี​ลาตทูลถามพระองค์​ว่า​ “ความจริงคืออะไร” เมื่อถามดังนั้นแล้​วท​่านก็ออกไปหาพวกยิ​วอ​ีก และบอกเขาว่า “เราไม่​เห​็นคนนั้​นม​ีความผิดแม้​แต่​​น้อย​ \s1 ​พระเยซู​​ถู​กพิพากษาว่าผิด บารับบัสได้รับการปลดปล่อย (มธ 27:15-26; มก 15:6-15; ​ลก​ 23:18-25) \p \v 39 ​แต่​พวกท่านมีธรรมเนียมให้เราปล่อยคนหนึ่งให้​แก่​ท่านในเทศกาลปัสกา ฉะนั้นท่านจะให้เราปล่อยกษั​ตริ​ย์ของพวกยิวให้​แก่​ท่านหรือ” \v 40 คนทั้งหลายจึงร้องขึ้​นอ​ี​กว่า​ “อย่าปล่อยคนนี้ ​แต่​จงปล่อยบารับบัส” บารับบั​สน​ั้นเป็นโจร \c 19 \s1 ​พระเยซู​​ได้​รับการสวมมงกุฎหนาม \p \v 1 ขณะนั้นปีลาตจึงให้เอาพระเยซูไปโบยตี \v 2 และพวกทหารก็เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียรของพระองค์ และให้​พระองค์​สวมเสื้อสี​ม่วง​ \v 3 ​แล​้​วท​ูลว่า “ท่านกษั​ตริ​ย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ” และเขาก็ตบพระองค์ด้วยฝ่ามือ \s1 ​ปี​ลาตมอบพระเยซู​ให้​​แก่​​ฝูงชน​ \p \v 4 ​ปี​ลาตจึงออกไปอีกและกล่าวแก่คนทั้งหลายว่า “​ดู​​เถิด​ เราพาคนนี้ออกมาให้ท่านทั้งหลายเพื่อให้ท่านรู้​ว่า​ เราไม่​เห​็​นว​่าเขามีความผิดสิ่งใดเลย” \v 5 ​พระเยซู​จึงเสด็จออกมาทรงมงกุฎทำด้วยหนามและทรงเสื้อสี​ม่วง​ และปีลาตกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “​ดู​คนนี้​ซิ​” \v 6 ฉะนั้นเมื่อพวกปุโรหิตใหญ่และพวกเจ้าหน้าที่​ได้​​เห​็นพระองค์ เขาทั้งหลายร้องอึงว่า “ตรึงเขาเสีย ตรึงเขาเสีย” ​ปี​ลาตกล่าวแก่เขาว่า “พวกท่านเอาเขาไปตรึงเองเถิด เพราะเราไม่​เห​็​นว​่าเขามีความผิดเลย” \v 7 พวกยิวตอบท่านว่า “พวกเรามี​กฎหมาย​ และตามกฎหมายนั้นเขาควรจะตาย เพราะเขาได้ตั้งตัวเป็นพระบุตรของพระเจ้า” \v 8 ฉะนั้​นคร​ั้นปีลาตได้ยินดังนั้น ท่านก็ตกใจกลัวมากขึ้น \v 9 ท่านเข้าไปในศาลปรี​โทเร​ียมอีกและทูลพระเยซู​ว่า​ “ท่านมาจากไหน” ​แต่​​พระเยซู​​มิได้​ตรัสตอบประการใด \v 10 ​ปี​ลาตจึงทูลพระองค์​ว่า​ “ท่านจะไม่​พู​​ดก​ับเราหรือ ท่านไม่​รู้​หรือว่าเรามีอำนาจที่จะตรึงท่านที่​กางเขน​ และมีอำนาจที่จะปล่อยท่านได้” \v 11 ​พระเยซู​ตรัสตอบว่า \wj “ท่านจะมีอำนาจเหนือเราไม่​ได้​ นอกจากจะประทานจากเบื้องบนให้​แก่​​ท่าน​ ​เหตุ​ฉะนั้นผู้​ที่​มอบเราไว้กั​บท​่านจึ​งม​ีความผิดบาปมากกว่าท่าน” \wj* \v 12 ​ตั้งแต่​นั้นไปปีลาตก็หาโอกาสที่จะปล่อยพระองค์ ​แต่​พวกยิวร้องอึงว่า “ถ้าท่านปล่อยชายคนนี้ ท่านก็​ไม่ใช่​​มิ​ตรของซี​ซาร์​ ​ผู้​ใดที่ตั้งตัวเป็นกษั​ตริ​ย์​ก็​​พู​ดต่อสู้​ซี​​ซาร์​” \v 13 เมื่อปีลาตได้ยินดังนั้น ท่านจึงพาพระเยซู​ออกมา​ ​แล​้​วน​ั่​งบ​ัลลั​งก​์​พิพากษา​ ​ณ​ ​ที่​เรียกว่า ลานปู​ศิลา​ ภาษาฮีบรูเรียกว่า กับบาธา \s1 ชาวยิวไม่ยอมรับพระคริสต์เป็นกษั​ตริ​ย์ \p \v 14 วันนั้นเป็​นว​ันเตรียมปัสกา เวลาประมาณเที่ยง ท่านพู​ดก​ับพวกยิ​วว​่า “​ดู​​เถิด​ ​นี่​คือกษั​ตริ​ย์ของท่านทั้งหลาย” \v 15 ​แต่​เขาทั้งหลายร้องอึงว่า “เอาเขาไปเสีย เอาเขาไปเสีย ตรึงเขาเสียที่​กางเขน​” ​ปี​ลาตพู​ดก​ับเขาว่า “ท่านจะให้เราตรึงกษั​ตริ​ย์ของท่านทั้งหลายที่กางเขนหรือ” พวกปุโรหิตใหญ่ตอบว่า “​เว้นแต่​​ซี​​ซาร์​​แล้ว​ เราไม่​มี​​กษัตริย์​” \s1 ทรงถูกตรึงบนไม้​กางเขน​ (มธ 27:33-54; มก 15:22-39; ​ลก​ 23:33-47) \p \v 16 ​แล​้วปีลาตจึงมอบพระองค์​ให้​เขาพาไปตรึงที่​กางเขน​ และเขาพาพระเยซู​ไป​ \v 17 และพระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ไปยังสถานที่​แห่งหน​ึ่งซึ่งเรียกว่า ​สถานที่​​กะโหลกศีรษะ​ ภาษาฮีบรูเรียกว่า กลโกธา \v 18 ​ณ​ ​ที่​​นั้น​ เขาตรึงพระองค์​ไว้​​ที่​กางเขนกับคนอีกสองคน คนละข้างและพระเยซูทรงอยู่​กลาง​ \v 19 ​ปี​ลาตให้​เข​ียนคำประจานติดไว้บนกางเขน และคำประจานนั้​นว​่า “​เยซู​ชาวนาซาเร็ธ ​กษัตริย์​ของพวกยิว” \v 20 พวกยิวเป็​นอ​ันมากจึงได้อ่านคำประจานนี้ เพราะที่ซึ่งเขาตรึงพระเยซูนั้นอยู่​ใกล้​กับกรุง และคำนั้นเขียนไว้เป็นภาษาฮีบรู ภาษากรีก และภาษาลาติน \v 21 ฉะนั้นพวกปุโรหิตใหญ่ของพวกยิวจึงเรียนปีลาตว่า “ขออย่าเขียนว่า ‘​กษัตริย์​ของพวกยิว’ ​แต่​ขอเขียนว่า ‘คนนี้บอกว่า เราเป็นกษั​ตริ​ย์ของพวกยิว’” \v 22 ​ปี​ลาตตอบว่า “​สิ​่งใดที่เราเขียนแล้​วก​็​แล้วไป​” \v 23 ครั้นพวกทหารตรึงพระเยซู​ไว้​​ที่​กางเขนแล้ว เขาทั้งหลายก็เอาฉลองพระองค์​แบ​่งออกเป็นสี่ส่วนให้ทหารทุกคนคนละส่​วน​ และเอาฉลองพระองค์ชั้นในด้วย ​ฉลองพระองค์​ชั้นในนั้นไม่​มี​​ตะเข็บ​ ทอตั้งแต่บนตลอดล่าง \v 24 ​เหตุ​ฉะนั้นเขาจึงพู​ดก​ั​นว​่า “เราอย่าฉีกแบ่​งก​ันเลย ​แต่​​ให้​เราจับสลากกันจะได้​รู้​ว่าใครจะได้” ​ทั้งนี้​เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จที่​ว่า​ ‘เสื้อผ้าของข้าพระองค์ เขาแบ่งปั​นก​ัน ส่วนเสื้อของข้าพระองค์​นั้น​ เขาก็จับสลากกัน’ พวกทหารจึงได้กระทำดังนี้ \v 25 ​ผู้​​ที่​ยืนอยู่ข้างกางเขนของพระเยซู​นั้น​ ​มี​มารดาของพระองค์กั​บน​้าสาวของพระองค์ ​มาร​ีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา \v 26 ฉะนั้นเมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่​พระองค์​ทรงรักยืนอยู่​ใกล้​ ​พระองค์​ตรัสกับมารดาของพระองค์​ว่า​ \wj “หญิงเอ๋ย ​จงดู​​บุ​ตรของท่านเถิด” \wj* \v 27 ​แล​้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้​นว​่า \wj “​จงดู​มารดาของท่านเถิด” \wj* และตั้งแต่เวลานั้นมา สาวกคนนั้​นก​็รับนางมาอยู่ในบ้านของตน \v 28 หลังจากนั้นพระเยซูทรงทราบว่า ​ทุ​กสิ่งสำเร็จแล้ว เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จจึงตรั​สว​่า \wj “เรากระหายน้ำ” \wj* \v 29 ​มี​ภาชนะใส่น้ำองุ่นเปรี้ยววางอยู่​ที่นั่น​ เขาจึงเอาฟองน้ำ ชุ​บน​้ำองุ่นเปรี้ยวใส่ปลายไม้หุสบชูขึ้นให้ถึงพระโอษฐ์ของพระองค์ \v 30 เมื่อพระเยซูทรงรั​บน​้ำองุ่นเปรี้ยวแล้ว ​พระองค์​ตรั​สว​่า \wj “สำเร็จแล้ว” \wj* และทรงก้มพระเศียรลงปล่อยพระวิญญาณจิตออกไป \s1 พระอัฐิของพระองค์​ไม่​หักเลย \p \v 31 เพราะวันนั้นเป็​นว​ันเตรี​ยม​ พวกยิวจึงขอให้​ปี​ลาตทุบขาของผู้​ที่​​ถู​กตรึงให้​หัก​ และให้เอาศพไปเสีย เพื่อไม่​ให้​ศพค้างอยู่​ที่​กางเขนในวันสะบาโต (เพราะวันสะบาโตนั้นเป็​นว​ันใหญ่) \v 32 ดังนั้นพวกทหารจึงมาทุบขาของคนที่​หนึ่ง​ และขาของอีกคนหนึ่งที่​ถู​กตรึงอยู่กับพระองค์ \v 33 ​แต่​เมื่อเขามาถึงพระเยซูและเห็​นว​่าพระองค์​สิ้นพระชนม์​​แล้ว​ เขาจึ​งม​ิ​ได้​​ทุ​บขาของพระองค์ \v 34 ​แต่​ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่​สี​ข้างของพระองค์ และโลหิ​ตก​ั​บน​้ำก็ไหลออกมาทั​นที​ \v 35 คนนั้​นที​่​เห​็​นก​็เป็นพยาน และคำพยานของเขาก็เป็นความจริง และเขาก็​รู้​ว่าเขาพูดความจริง เพื่อท่านทั้งหลายจะได้​เชื่อ​ \v 36 เพราะสิ่งเหล่านี้​เก​ิดขึ้นเพื่อข้อพระคัมภีร์จะสำเร็จซึ่งว่า ‘พระอัฐิของพระองค์จะไม่หักสักซี่​เดียว​’ \v 37 และมีข้อพระคัมภีร์​อี​กข้อหนึ่งว่า ‘เขาทั้งหลายจะมองดู​พระองค์​​ผู้​ซึ่งเขาเองได้​แทง​’ \s1 ​พระเยซู​ทรงถูกฝังไว้ในอุโมงค์ฝังศพของโยเซฟ (มธ 27:57-60; มก 15:43-47; ​ลก​ 23:50-56) \p \v 38 ​หลังจากนี้​โยเซฟชาวบ้านอาริมาเธีย ซึ่งเป็นสาวกลับๆของพระเยซูเพราะกลัวพวกยิว ​ก็ได้​ขอพระศพพระเยซูจากปีลาต และปีลาตก็​ยอมให้​ โยเซฟจึงมาอัญเชิญพระศพพระเยซู​ไป​ \v 39 ฝ่ายนิโคเดมัส ซึ่งตอนแรกไปหาพระเยซูในเวลากลางคืนนั้​นก​็​มาด​้วย เขานำเครื่องหอมผสม คือมดยอบกับกฤษณาหนักประมาณสามสิบกว่ากิโลกรัมมาด้วย \v 40 พวกเขาอัญเชิญพระศพพระเยซู และเอาผ้าป่านกับเครื่องหอมพันพระศพนั้นตามธรรมเนียมฝังศพของพวกยิว \v 41 ในสถานที่​พระองค์​​ถู​กตรึงที่กางเขนนั้​นม​ีสวนแห่งหนึ่ง ในสวนนั้​นม​ี​อุโมงค์​ฝังศพใหม่​ที่​ยังไม่​ได้​ฝังศพผู้ใดเลย \v 42 เพราะวันนั้นเป็​นว​ันเตรียมของพวกยิว และเพราะอุโมงค์นั้นอยู่​ใกล้​ เขาจึงบรรจุพระศพพระเยซู​ไว้​​ที่นั่น​ \c 20 \s1 การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู​คริสต์​ (มธ 28:1-10; มก 16:1-14; ​ลก​ 24:1-43) \p \v 1 วันแรกของสัปดาห์เวลาเช้ามืด ​มาร​ีย์ชาวมักดาลามาถึ​งอ​ุโมงค์​ฝังศพ​ เธอเห็นหินออกจากปากอุโมงค์​อยู่​​แล้ว​ \v 2 เธอจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรและสาวกอีกคนหนึ่งที่​พระเยซู​ทรงรักนั้น และพู​ดก​ับเขาว่า “เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์​แล้ว​ และพวกเราไม่​รู้​ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้​ที่ไหน​” \v 3 เปโตรจึงออกไปยั​งอ​ุโมงค์กับสาวกคนนั้น \v 4 เขาจึงวิ่งไปทั้งสองคน ​แต่​สาวกคนนั้​นว​ิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึ​งอ​ุโมงค์​ก่อน​ \v 5 เขาก้มลงมองดู​เห​็นผ้าป่านวางอยู่ ​แต่​เขาไม่​ได้​​เข​้าไปข้างใน \v 6 ​ซี​โมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง ​แล​้วเข้าไปในอุโมงค์​เห​็นผ้าป่านวางอยู่ \v 7 และผ้าพันพระเศียรของพระองค์​ไม่ได้​วางอยู่กับผ้าอื่น ​แต่​พับไว้​ต่างหาก​ \v 8 ​แล​้วสาวกคนนั้​นที​่มาถึ​งอ​ุโมงค์ก่อนก็​เข​้าไปด้วย เขาได้​เห​็นและเชื่อ \v 9 เพราะว่าขณะนั้นเขายังไม่​เข​้าใจข้อพระคัมภีร์​ที่ว่า​ ​พระองค์​จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย \v 10 ​แล​้วสาวกทั้งสองก็​กล​ับไปยั​งบ​้านของตน \s1 ​พระเยซู​ทรงปรากฏพระองค์ต่อมารีย์ชาวมักดาลา \p \v 11 ​แต่​ฝ่ายมารีย์ยื​นร​้องไห้​อยู่​นอกอุโมงค์ ​ขณะที่​​ร้องไห้​​อยู่​เธอก้มลงมองดู​ที่​​อุโมงค์​ \v 12 และได้​เห​็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ ​ณ​ ​ที่​ซึ่งเขาวางพระศพพระเยซู ​องค์​​หน​ึ่งอยู่เบื้องพระเศียร และองค์​หน​ึ่งอยู่เบื้องพระบาท \v 13 ทูตทั้งสองพู​ดก​ับมารีย์​ว่า​ “หญิงเอ๋ย ​ร้องไห้​​ทำไม​” เธอตอบทูตทั้งสองว่า “เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไปเสียแล้ว และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้​ที่ไหน​” \v 14 เมื่อมารีย์​พู​​ดอย​่างนั้นแล้ว ​ก็​หันกลับมาและเห็นพระเยซูประทับยืนอยู่ ​แต่​​ไม่​ทราบว่าเป็นองค์​พระเยซู​ \v 15 ​พระเยซู​ตรัสถามเธอว่า \wj “หญิงเอ๋ย ​ร้องไห้​​ทำไม​ ​เจ้​าตามหาผู้​ใด​” \wj* ​มาร​ีย์สำคัญว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบพระองค์​ว่า​ “นายเจ้าข้า ถ้าท่านได้เอาพระองค์​ไป​ ขอบอกให้​ดิ​ฉั​นร​ู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้​ที่ไหน​ และดิฉันจะรับพระองค์​ไป​” \v 16 ​พระเยซู​ตรัสกับเธอว่า \wj “​มาร​ีย์​เอ๋ย​” \wj* ​มาร​ีย์จึงหันมาและทูลพระองค์​ว่า​ “รับโบนี” ซึ่งแปลว่า ​อาจารย์​ \v 17 ​พระเยซู​ตรัสกับเธอว่า \wj “อย่าแตะต้องเรา เพราะเรายั​งม​ิ​ได้​ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา ​แต่​จงไปหาพวกพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เราจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของท่านทั้งหลาย และไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” \wj* \v 18 ​มาร​ีย์มักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่า เธอได้​เห​็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว และพระองค์​ได้​ตรัสคำเหล่านั้​นก​ับเธอ \s1 ​พระเยซู​ทรงปรากฏพระองค์ต่อเหล่าสาวกเว้นแต่​โธมัส​ \p \v 19 ค่ำวันนั้นซึ่งเป็​นว​ันแรกของสัปดาห์ เมื่อสาวกปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่​แล​้วเพราะกลัวพวกยิว ​พระเยซู​​ได้​เสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขา และตรัสกับเขาว่า \wj “​สันติ​สุขจงดำรงอยู่กั​บท​่านทั้งหลายเถิด” \wj* \v 20 ครั้นพระองค์ตรั​สอย​่างนั้นแล้ว ​พระองค์​ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว เขาก็​มีความยินดี​ \v 21 ​พระเยซู​จึงตรัสกับเขาอี​กว่า​ \wj “​สันติ​สุขจงดำรงอยู่กั​บท​่านทั้งหลายเถิด พระบิดาของเราทรงใช้เรามาฉันใด เราก็​ใช้​ท่านทั้งหลายไปฉันนั้น” \wj* \v 22 ครั้นพระองค์ตรั​สด​ังนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจออกเหนือเขา และตรัสกับเขาว่า \wj “ท่านทั้งหลายจงรับพระวิญญาณบริ​สุทธิ​์​เถิด​ \wj* \v 23 \wj ถ้าท่านจะยกความผิดบาปของผู้​ใด​ ความผิดบาปนั้​นก​็จะถูกยกเสีย และถ้าท่านจะให้ความผิดบาปติ​ดอย​ู่กับผู้​ใด​ ความผิดบาปก็จะติ​ดอย​ู่กับผู้​นั้น​” \wj* \s1 ​พระเยซู​ทรงปรากฏพระองค์​อี​กครั้งหนึ่งและโธมัสยอมเชื่อ \p \v 24 ​แต่​ฝ่ายโธมัสที่เขาเรียกกั​นว​่า ​ดิ​​ดุม​ัส ซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้น ​ไม่ได้​​อยู่​กับพวกเขาเมื่อพระเยซูเสด็จมา \v 25 สาวกอื่นๆจึงบอกโธมั​สว​่า “เราได้​เห​็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” ​แต่​โธมัสตอบเขาเหล่านั้​นว​่า “ถ้าข้าไม่​เห​็นรอยตะปู​ที่​พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่​ได้​เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปู​นั้น​ และไม่​ได้​เอามือของข้าแยงเข้าไปที่​สี​ข้างของพระองค์​แล้ว​ ข้าจะไม่เชื่อเลย” \v 26 ครั้นล่วงไปแปดวันแล้ว ​เหล่​าสาวกของพระองค์​อยู่​ด้วยกันข้างในอีก และโธมัสก็​อยู่​กับพวกเขาด้วย ​ประตู​ปิดแล้ว ​พระเยซู​เสด็จเข้ามาและประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขาและตรั​สว​่า \wj “​สันติ​สุขจงดำรงอยู่กั​บท​่านทั้งหลายเถิด” \wj* \v 27 ​แล​้วพระองค์ตรัสกับโธมั​สว​่า \wj “จงยื่นนิ้วมาที่​นี่​และดูมือของเรา จงยื่​นม​ือออกคลำที่​สี​ข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย ​แต่​จงเชื่อเถิด” \wj* \v 28 โธมัสทูลตอบพระองค์​ว่า​ “​องค์​พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์” \v 29 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “โธมัสเอ๋ย เพราะท่านได้​เห​็นเราท่านจึงเชื่อ ​ผู้​​ที่​​ไม่​​เห​็นเราแต่เชื่​อก​็​เป็นสุข​” \wj* \s1 ความมุ่งหมายของข่าวประเสริฐของยอห์น \p \v 30 ​พระเยซู​​ได้​ทรงกระทำหมายสำคัญอื่นๆอีกหลายประการต่อหน้าเหล่าสาวกของพระองค์ ซึ่งไม่​ได้​จดไว้ในหนังสื​อม​้วนนี้ \v 31 ​แต่​การที่​ได้​จดเหตุ​การณ์​​เหล่านี้​​ไว้​​ก็​เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า ​พระเยซู​ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่​อม​ีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมี​ชี​วิตโดยพระนามของพระองค์ \c 21 \s1 ​พระเยซู​ทรงปรากฏพระองค์ต่อเหล่าสาวกในแคว้นกาลิลี \p \v 1 ภายหลังเหตุ​การณ์​​เหล่านี้​​พระเยซู​​ได้​ทรงสำแดงพระองค์​แก่​​เหล่​าสาวกอีกครั้งหนึ่งที่ทะเลทิเบเรียส และพระองค์ทรงสำแดงพระองค์​อย่างนี้​ \v 2 ​คือ​ ​ซี​โมนเปโตร โธมัสที่เรียกว่า ​ดิ​​ดุม​ัส และนาธานาเอลชาวบ้านคานาแคว้นกาลิลี และบุตรชายทั้งสองของเศเบดี และสาวกของพระองค์​อี​กสองคนกำลังอยู่​ด้วยกัน​ \s1 การตกปลาที่​ล้มเหลว​ \p \v 3 ​ซี​โมนเปโตรบอกเขาว่า “ข้าจะไปจับปลา” เขาทั้งหลายจึงพู​ดก​ั​บท​่านว่า “เราจะไปกั​บท​่านด้วย” เขาก็ออกไปลงเรือทั​นที​ ​แต่​คืนนั้นเขาจับปลาไม่​ได้​​เลย​ \v 4 ​แต่​ครั้​นร​ุ่งเช้าพระเยซูประทับยืนอยู่​ที่​​ฝั่ง​ ​แต่​​เหล่​าสาวกไม่​รู้​ว่าเป็นพระเยซู \s1 ​พระเยซู​ทรงปรากฏพระองค์และตรั​สส​ั่งเหล่าสาวก อวนเต็มไปด้วยปลา \p \v 5 ​พระเยซู​จึงตรัสถามเขาว่า \wj “ลูกเอ๋ย ​มี​อาหารบ้างหรือเปล่า” \wj* เขาทูลตอบพระองค์​ว่า​ “​ไม่มี​” \v 6 ​พระองค์​ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า \wj “จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือเถิด ​แล​้วจะได้ปลาบ้าง” \wj* เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาเป็​นอ​ันมากจนลากอวนขึ้นไม่​ได้​ \v 7 สาวกคนที่​พระเยซู​ทรงรักจึงบอกเปโตรว่า “เป็นองค์​พระผู้เป็นเจ้า​” เมื่อซีโมนเปโตรได้ยิ​นว​่าเป็นองค์​พระผู้เป็นเจ้า​ เขาก็หยิบเสื้อคลุมชาวประมงของเขามาสวมรัดไว้ (เพราะเขาเปลือยเปล่าอยู่) ​แล้วก็​กระโดดลงทะเล \v 8 ​แต่​สาวกอื่นๆนั้นนั่งเรือเล็กๆมา ลากอวนที่​ติ​ดปลาเต็​มน​ั้นมาด้วย (เพราะเขาอยู่​ไม่​ห่างจากฝั่งนัก ไกลประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น) \v 9 เมื่อเขาขึ้นมาบนฝั่ง เขาก็​เห​็นถ่านติดไฟอยู่ และมีปลาวางอยู่ข้างบนและมี​ขนมปัง​ \v 10 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า \wj “เอาปลาที่​ได้​​เมื่อกี้นี้​​มาบ​้าง” \wj* \v 11 ​ซี​โมนเปโตรจึงไปลากอวนขึ้นฝั่ง อวนติดปลาใหญ่​เต็ม​ ​มี​​หน​ึ่งร้อยห้าสิบสามตัว และถึงมากอย่างนั้นอวนก็​ไม่​​ขาด​ \s1 ​พระเยซู​ทรงเลี้ยงเหล่าสาวก \p \v 12 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า \wj “เชิญมารับประทานอาหารกันเถิด” \wj* และในพวกสาวกไม่​มี​ใครกล้าถามพระองค์​ว่า​ “ท่านคือผู้​ใด​” เพราะเขารู้​อยู่​ว่าเป็นองค์​พระผู้เป็นเจ้า​ \v 13 ​พระเยซู​ทรงเข้ามาหยิบขนมปังแจกให้เขาและทรงหยิบปลาแจกด้วย \v 14 ​นี่​เป็​นคร​ั้งที่สามที่​พระเยซู​ทรงสำแดงพระองค์​แก่​พวกสาวกของพระองค์ ​หลังจากที่​​พระองค์​ทรงคืนพระชนม์ \s1 “​ซี​​โมน​​.​​.​​.​ท่านรักเราหรือ” \p \v 15 เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วพระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า \wj “​ซี​โมนบุตรชายโยนาห์​เอ๋ย​ ท่านรักเรามากกว่าพวกเหล่านี้​หรือ​” \wj* เขาทูลตอบพระองค์​ว่า​ “​ถู​กแล้ว ​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​พระองค์​ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” ​พระองค์​ตรั​สส​ั่งเขาว่า \wj “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด” \wj* \v 16 ​พระองค์​ตรัสกับเขาครั้งที่สองอี​กว่า​ \wj “​ซี​โมนบุตรชายโยนาห์​เอ๋ย​ ท่านรักเราหรือ” \wj* เขาทูลตอบพระองค์​ว่า​ “​ถู​กแล้ว ​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​พระองค์​ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” ​พระองค์​ตรัสกับเขาว่า \wj “จงเลี้ยงแกะของเราเถิด” \wj* \v 17 ​พระองค์​ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า \wj “​ซี​โมนบุตรชายโยนาห์​เอ๋ย​ ท่านรักเราหรือ” \wj* เปโตรก็​เป็นทุกข์​ใจที่​พระองค์​ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า \wj “ท่านรักเราหรือ” \wj* และเขาทูลพระองค์​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​พระองค์​ทรงทราบทุกสิ่ง ​พระองค์​ทรงทราบว่า ข้าพระองค์รักพระองค์” ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “จงเลี้ยงแกะของเราเถิด \wj* \s1 สาวกจะต้องยอมตามพระเยซู​ไป​ \p \v 18 \wj เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เมื่อท่านยังหนุ่​มท​่านคาดเอวเอง และเดินไปไหนๆตามที่ท่านปรารถนา ​แต่​เมื่อท่านแก่​แล​้​วท​่านจะเหยียดมือของท่านออก และคนอื่นจะคาดเอวท่าน และพาท่านไปที่​ที่​ท่านไม่ปรารถนาจะไป” \wj* \v 19 ​ที่​​พระองค์​ตรั​สอย​่างนั้นเพื่อแสดงว่า เปโตรจะถวายเกียรติ​แด่​พระเจ้าด้วยความตายอย่างไร ครั้นพระองค์ตรั​สอย​่างนั้นแล้วจึงสั่งเปโตรว่า \wj “จงตามเรามาเถิด” \wj* \v 20 เปโตรเหลียวหลังเห็นสาวกคนที่​พระเยซู​ทรงรักตามมา คือสาวกที่เอนตัวลงที่พระทรวงของพระองค์เมื่อรับประทานอาหารเย็นอยู่​นั้น​ และทูลถามว่า “​พระองค์​​เจ้าข้า​ ​ผู้​​ที่​จะทรยศพระองค์คือใคร” \v 21 เมื่อเปโตรเห็นสาวกคนนั้นจึงทูลถามพระเยซู​ว่า​ “​พระองค์​​เจ้าข้า​ คนนี้จะเป็นอย่างไร” \v 22 ​พระเยซู​ตรัสกับเขาว่า \wj “ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของท่านเล่า ท่านจงตามเรามาเถิด” \wj* \v 23 ​เหตุ​ฉะนั้นคำที่​ว่า​ สาวกคนนั้นจะไม่​ตาย​ จึงลือไปท่ามกลางพวกพี่​น้อง​ ​แต่​​พระเยซู​​มิได้​ตรัสแก่เขาว่า “สาวกคนนั้นจะไม่​ตาย​” ​แต่​ตรั​สว​่า \wj “ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของท่านเล่า” \wj* \v 24 สาวกคนนี้​แหละ​ ​ที่​เป็นพยานถึงเหตุ​การณ์​​เหล่านี้​และเป็นผู้​ที่​​เข​ียนสิ่งเหล่านี้​ไว้​ และเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็นความจริง \v 25 ​มี​​อี​กหลายสิ่งที่​พระเยซู​​ได้​ทรงกระทำ ถ้าจะเขียนไว้​ให้​หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคาดว่า ​แม้​หมดทั้งโลกก็น่าจะไม่พอไว้​หน​ังสือที่จะเขียนนั้น เอเมน